การศึกษาทางพารามิเตอรเพื่อหาคาหนวยแรงที่จุดครากสูงสุดที่เหมาะสม สําหรับเหล็กเสนที่ใชเสริมในคอนกรีต
A Parametric Study for Determining an Appropriate Maximum Yield Stress of Rebars in Concrete
ฉัตร สุจินดา (Chatr Suchinda)
11อาจารย มหาวิทยาลัยศรีปทุม และ chatr.su@spu.ac.th
บทคัดยอ : ในปจจุบันการผลิตเหล็กเสนเสริมคอนกรีตดวยวิธี Temper Core สามารถเพิ่มหนวยแรงดึงที่จุดครากของเหล็กเสนที่
ผลิตใหมีคาสูงโดยที่ไมสงผลกระทบตอตนทุนการผลิตมากนัก ซึ่งผูผลิตหลายรายเลือกที่จะผลิตเหล็กเสนดังกลาวใหมีหนวยแรง ดึงที่จุดครากใหสูงกวาคาที่ระบุไวในมาตรฐานมาก อยางไรก็ตามการใชเหล็กเสริมที่มีความสามารถในการรับแรงดึงเกินกวาคาที่
ใชคํานวณออกแบบมากเกินไป อาจทําใหเกิดผลเสียตอชิ้นสวนโครงสรางโดยเฉพาะเหล็กเสริมที่ใชรับโมเมนตดัด สาเหตุ
เนื่องมาจากการที่เหล็กเสนดังกลาว อาจทําใหชิ้นสวนโครงสรางเปลี่ยนพฤติกรรมการพังจากแบบแบบเหนียว (ตามที่ไดออกแบบ ไว) มาเปนแบบเปราะแทน บทความนี้ไดนําเสนอถึงการศึกษาทางพารามิเตอรเพื่อหาคาหนวยแรงที่จุดครากสูงสุด ที่ไมทําใหเกิด การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของการพังของชิ้นสวนโครงสราง จากการศึกษาในครั้งนี้ ไดแนะนําหนวยแรงดึงที่จุดครากสูงสุด จะตองไปเกิน 13% ของคากําลังที่ระบุในชั้นคุณภาพนั้น ๆ
ABSTRACT : Nowadays, the use of Temper core technique in the rebar production could increase the yield stresses without significantly increase the production cost. Therefore, many plants choose to produce the rebars that have much greater yield stresses than those specified by the standard. However, using of the rebars with much greater yield stresses than the values used in the design calculations could impose some drawback to the structural members especially when these bars were used as the reinforcement for flexural resistance because these could change the failure mode of the structural members from ductile (as intended in the design process) to brittle. This article presents a parametric study to determine the maximum yield stress of the rebars which could not alter the failure mode of the structural members. From this study, it is recommended that the maximum yield stresses shall not exceed 13% of the specified values.
KEYWORDS : MAXIMUM YEILD STRESSES, OVERLY HIGH YEILD STRESS REBARS, PARAMETRIC STUDY, REBAR STANDARDS, REINFORCED CONCRETE DESIGN CODE IMPROVEMENTS
1. ความนํา
มาตรฐาน มอก. 20-2543 [1] (สําหรับเหล็กเสนกลม) ไดมี
การกําหนดหนวยแรงดึงที่จุดคราก จะตองไมต่ํากวา 2,400 kg/cm2 สวน มาตรฐาน มอก. 24-2548 [2] (สําหรับเหล็กเสน ขอออย) ไดกําหนดหนวยแรงดึงที่จุดครากสําหรับเหล็กเสนไว
สามชั้นคุณภาพคือ ชั้นคุณภาพ SD30 จะตองไมต่ํากวา 3,000 kg/cm2 ชั้นคุณภาพ SD40 จะตองไมต่ํากวา 4,000 kg/cm2 และ ชั้นคุณภาพ SD50 จะตองไมต่ํากวา 5,000 kg/cm2 แตมาตรฐาน มอก. ทั้งสองนี้ ไมมีการกําหนดคาสูงสุดของหนวยแรงดึงที่จุด ครากแตอยางใด
จากการศึกษาเก็บตัวอยางเหล็กเสนจากสถานที่กอสราง จริง [3] แสดงไวในตารางที่ 1
ตารางที่ 1 คาเฉลี่ยและสัมประสิทธิ์ความแปรผันของตัวอยาง เหล็กเสนจากสถานที่กอสรางจริง [3]
ขนาดและชั้น คุณภาพ
จํานวน ตัวอยาง
อัตราสวนหนวยแรงดึงที่จุดคราก ตอคาที่ระบุไวตามมาตรฐาน คาเฉลี่ย สัมประสิทธิ์ความ
แปรผัน
RB6 SR24 53 1.68 0.187
RB9 SR24 84 1.51 0.257
DB12 SD30 66 1.62 0.179
DB16 SD30 62 1.82 0.194
จากตารางที่ 1 พบวาคาเฉลี่ยของหนวยแรงดึงที่จุดครากมี
คาเกินกวาคาที่ระบุไวตามมาตรฐาน มอก. ดังกลาว สูงถึงรอย ละ 51 ถึง 82 ซึ่งหากนําเหล็กเสนเหลานี้มาใชเสริมองคอาคาร คอนกรีต ในขณะที่ผูออกแบบไดคํานวณปริมาณของเหล็ก เสริมAsจากคาของหนวยแรงดึงที่จุดครากตามที่มาตรฐาน ระบุ ก็อาจจะทําใหพฤติกรรมการรับแรงขององคอาคาร เปลี่ยนแปลงไปอยางสิ้นเชิง เชนในกรณีองคอาคารที่รับ โมเมนตดัด เนื่องจากองคอาคารประเภทนี้ไดถูกออกแบบให
คอนกรีตรับแรงอัด ในขณะที่ใชเหล็กเสริมรับแรงดึง ดังนั้น ลักษณะการพังจึงขึ้นอยูกับวาวัสดุใดพังกอน (คอนกรีตหรือ เหล็ก) ดังนั้น ตัวแปรที่จะมาเปนตัวกําหนดวาในองคอาคารจะ
มีการพังเกิดขึ้นในคอนกรีตหรือเหล็ก ก็คือความสามารถใน การรับแรงในสวนของเหล็กเสริมนั้นเอง
เนื่องจากเหตุผลที่กลาวมาขางตน หากหนาตัดสําหรับรับ โมเมนตดัด มีอัตราสวนปริมาณเหล็กเสริม (Reinforcement Ratio)ρ ต่ํากวาอัตราสวนปริมาณเหล็กเสริมสมดุล ρb ก็จะมี
ผลทําใหเกิดการพังเนื่องจากแรงดึง (พังที่เหล็กเสริม) และ เนื่องจากเหล็กเปนวัสดุที่เหนียว (Ductile) จึงทําใหหนาตัดนั้น จะมีลักษณะเปนการพังแบบเหนียวตามไปดวย (ซึ่งเปน ลักษณะที่พึงประสงค) แตถาหนาตัดใดมีอัตราสวนปริมาณ เหล็กเสริม (Reinforcement Ratio)ρ สูงกวาอัตราสวนปริมาณ เหล็กเสริมสมดุล ρb ก็จะมีผลทําใหเกิดการพังเนื่องจาก แรงอัด (พังที่คอนกรีต) และเนื่องจากคอนกรีตเปนวัสดุที่เปราะ (Brittle) จึงทําใหหนาตัดนั้นจะมีลักษณะเปนการพังแบบเปราะ ตามไปดวย (ซึ่งเปนลักษณะที่ไมพึงประสงค)
เพื่อเปนการควบคุมความเหนียวของหนาตัดที่รับโมเมนต
ดัด มาตรฐานออกแบบคอนกรีตเสริมเหล็กของประเทศ สหรัฐอเมริกา ACI318-99 [4] จึงไดกําหนดใหผูหนาตัดที่รับ โมเมนตดัดตองมีอัตราสวนปริมาณเหล็กเสริม ρ ไมเกินวา รอยละ 75 ของอัตราสวนปริมาณเหล็กเสริมสมดุลย ρb
จะเห็นไดวาความเหนียวของหนาตัดที่รับโมเมนตดัด จะ ขึ้นอยูกับความสามารถในการรับแรงดึงของเหล็กเสริมในหนา ตัดนั้น ดังนั้นหากมีการใชเหล็กเสริมที่มีหนวยแรงดึงที่จุด ครากสูงกวาคาที่คาดไว จะทําใหความเหนียวของหนาตัดลดลง ซึ่งหากหนวยแรงดึงที่จุดครากสูงไปมาก ก็อาจจะทําใหความ เหนียวของหนาตัดต่ํากวาระดับที่ยอมรับได
บทความนี้ไดนําเสนอถึงการศึกษาสอบเทียบ (Calibrate) ความเหนียวของหนาตัดที่เกิดขึ้นจากการออกแบบกําหนดโดย ขอกําหนดในมาตรฐาน ACI318-99 [4] และขอมูลทางสถิติ
ของการกระจายหนวยแรงดึงที่จุดครากและพื้นที่หนาตัดของ เหล็กเสนที่ใชในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเปนการกําหนดคา ดัชนีความเหนียว (Ductility Index) เปาหมาย จากนั้นจึงจะนํา คาเปาหมายดังกลาวมาเปนตัวสอบเทียบเพื่อหาคาหนวยแรงดึง ที่จุดครากสูงสุด เมื่อกําหนดใหการกระจายของพื้นที่หนาตัด ของเหล็กเสนเปนไปตามขอกําหนดของ มอก. 20-2543 [1]
และ 24-2548 [2] เพื่อใชเปนแนวทางในการปรับปรุงมาตรฐาน ตอไปในอนาคต
2. การทํานายความเหนียวของหนาตัด
ความเหนียวของหนาตัดถูกกําหนดโดยดัชนีความเหนียว (Ductility Index) ประลัยซึ่งเปนอัตราสวนของพลังงานที่
สูญเสียไปในขณะที่หนาตัดมีเกิดการดัดในชวงอิลาสติด (Elastic Energy) ตอพลังงานทั้งหมดที่สูญเสียไปจนถึงจุดพัง (Total Energy at Failure) [5] ดังสมการ 1
rgy ElasticEne
Failure y
TotalEnerg ndex
DuctilityI @
= (1)
ซึ่งการทํานายคาพลังงานดังกลาวอาจทําไดโดยการสรางกราฟ ความสัมพันธระหวางโมเมนตดัดกับความโคงหรือที่นิยม เรียกวา M −φ Curve [6] จุดสําคัญที่กําหนดเสนกราฟ ดังกลาวมีอยูดวยกันสองจุดคือ จุดที่เหล็กเสริมถึงจุดคราก และ จุดประลัย
การคํานวณหาโมเมนตดัด และความโคงที่จุดคราก ผูแตง เลือกใชวิธี Modified Hognestad [7] ซึ่งมีการกําหนด ความสัมพันธระหวาง Stress และ Strain ของคอนกรีตดังแสดง ในภาพที่ 1
ภาพที่ 1 ความสัมพันธระหวาง Stress fcและ Strain εc ของ คอนกรีตสมมุติตามวิธี Modified Hognestad [7]
เมื่อใชสมการสมดุลของหนาตัดจากแผนผังของแรงใน ภาพที่ 2 จะไดคาของโมเมนตดัด และความโคงที่จุดครากดัง แสดงไวในสมการที่ 2 และ 3
ภาพที่ 2 แผนผังของแรงภายในของหนาตัดที่รับโมเมนตดัด ตามวิธี Modified Hognestad [7]
(d kd y)
f A
My = s y − + (2)
kd
c y
εmax
φ = (3)
หาคา kdไดโดยการแกสมการที่ 4
⎥⎥
⎦
⎤
⎢⎢
⎣
⎡
⎟⎟⎠
⎜⎜ ⎞
⎝
− ⎛
⎟⎟⎠
⎜⎜ ⎞
⎝
′ ⎛
=
2
0 max
0 max
3 1
ε ε ε
εc c
c y
sf bf kd
A (4)
เมื่อεcmax =εy (dkd−kd)
และ
( ) ( )
( )kd ( )kd kd kd
y
c c
c c
2
0 max
0 max
2 2
0 max 2
0 max
3 1 4 1 3
2
⎟⎟⎠
⎜⎜ ⎞
⎝
− ⎛
⎟⎟⎠
⎜⎜ ⎞
⎝
⎛
⎟⎟⎠
⎜⎜ ⎞
⎝
− ⎛
⎟⎟⎠
⎜⎜ ⎞
⎝
⎛
=
ε ε ε
ε
ε ε ε
ε
สวนการคํานวณหาโมเมนตดัด และความโคงที่จุดประลัย นั้นผูแตงเลือกใชวิธี Whitney Rectangular Stress Block [8]
แสดงในภาพที่ 3 ซึ่งเปนที่นิยมใชกันในสมการออกแบบ คอนกรีตเสริมเหล็กดวยวิธีกําลังตามสมการที่ 5 และ 6
⎟⎠
⎜ ⎞
⎝⎛ −
= 2
d a f A
Mult s y (5)
เมื่อ
0.85 1 s y
c
a A f
f βb
= ′
และβ1 =0.85เมื่อ fc′≤280ksc 65 . 70 0
05 280 . 0 85 .
1 0 ⎟≥
⎠
⎜ ⎞
⎝
⎛ ′−
−
= fc
β เมื่อ
ksc fc′>280
cu
ult x
φ =ε (6)
เมื่อ
1
x a
= β และ εcu =0.003
ภาพที่ 3 แผนผังของแรงภายในของหนาตัดที่รับโมเมนตดัด ตามวิธี Whitney Rectangular Stress Block [8]
3. การศึกษาทางพารามิเตอร
จากที่ผูแตงไดทดลองสมมุติคาความกวางของหนาตัด
=
b 40 cm ความลึกประสิทธิผล d = 70 cm คากําลังอัด ประลัยของแทงคอนกรีต fc′=240 ksc และคาหนวยแรงดึงที่
จุดครากของเหล็กเสริม fy =3000 ksc และทดลองแปรเปลี่ยน อัตราสวนปริมาณเหล็กเสริมρใหอยูระหวาง 0.10ρb ไป จนถึง 1.00ρbจะไดกราฟความสัมพันธระหวางโมเมนตดัด กับความโคงหรือ M −φ Curve ดังแสดงในภาพที่ 4
0 50,000 100,000 150,000 200,000 250,000 300,000
0.0000 0.0001 0.0002 0.0003 0.0004 0.0005 0.0006 0.0007
ความโคง
โมเมนตดัด(kg*cm)
0.10ρb
0.25ρb
0.50ρb
0.75ρb
1.00ρb
a
b c
d e
ภาพที่ 4 กราฟความสัมพันธระหวางโมเมนตดัดกับความโคง หรือ M −φ Curve ที่อัตราสวนปริมาณเหล็กเสริมตางๆกัน
กราฟในภาพที่ 4 นี้ จะเห็นไดวาเมื่ออัตราสวนปริมาณ เหล็กเสริม ρ มีคานอย ความโคงที่จุดครากและจุดประลัยจะ แตกตางกันอยางเห็นไดอยางเดนชัด แตเมื่อเพิ่มคา ρ ใหมาก ขึ้น ความแตกตางนี้จะลดลง การคํานวณคาดัชนีของความ เหนียวตามสมการที่ 1 จะได
abe bcde ndex abe
DuctilityI = + (1)
เมื่อ abe และ bcde คือพื้นสามเหลี่ยมและสี่เหลี่ยม คางหมูดังแสดงในภาพที่ 3 (ตัวอยางเฉพาะสําหรับกรณี
0.10 b ρ= ρ )
เมื่อนําคาของดัชนีความเหนียวสําหรับคาอัตราสวนปริมาณ เหล็กเสริม ρ ตางๆ กันมาเขียนเปนกราฟจะไดดังในภาพที่ 5
46.24
14.85
2.43 1.11 5.31
0 5 10 15 20 25 30 35 40 45 50
0.00 0.25 0.50 0.75 1.00
อัตราสวนปริมาณเหล็กเสริม
ดัชนีความเหนียว
ภาพที่ 5 กราฟความสัมพันธระหวางดัชนีความเหนียว กับ อัตราสวนปริมาณเหล็กเสริม ρ ของหนาตัดที่รับโมเมนตดัดมี
ความกวาง 40 cm และมีความลึกประสิทธิผล 70 cm fc′ =240 ksc fy =3000 ksc
จากภาพที่ 5 จะเห็นไดวาเมื่ออัตราสวนปริมาณเหล็ก เสริมρนอยหนาตัดมีดัชนีความเหนียวสูง แตถาอัตราสวน ปริมาณเหล็กเสริมρมากขึ้น หนาตัดมีดัชนีความเหนียวต่ําลง เรื่อยๆ
จากนั้นไดมีการทดลองเปลี่ยนขนาดของหนาตัด ใหมี
ความกวาง 20 cm และมีความลึกประสิทธิผล 55 cm ผลที่ได
คือกราฟความสัมพันธระหวางดัชนีความเหนียว กับอัตราสวน ปริมาณเหล็กเสริมไมแตกตางจากหนาตัดขนาดเดิมแตอยางใด แสดงวาขนาดของหนาตัดไมมีผลตอดัชนีความเหนียว แตเมื่อ ทดลองเปลี่ยนคากําลังอัดประลัยของคอนกรีต fc′จาก 240 ksc ไปเปน 350 kscโดยที่ใหคา fyคงเดิมที่ 3000 ksc จะไดคาดัชนี
ความเหนียวที่อัตราสวนปริมาณเหล็กเสริม ρ =0.75ρb
เพิ่มขึ้น 7.9% และเมื่อทดลองเปลี่ยนหนวยแรงดึงที่จุดคราก
b
ρ ρ
ของเหล็กเสริมไปเปน fy =4000 ksc (คา fc′คงเดิมที่ 240 ksc) คาดัชนีความเหนียวที่อัตราสวนปริมาณเหล็ก
เสริมρ=0.75ρb ลดลง 7.9% แสดงวาทั้งคากําลังอัด ประลัย fc′และหนวยแรงดึงที่จุดครากของเหล็กเสริม fyมีผล ตอความเหนียวของหนาตัด
เพื่อสอบเทียบ (Calibrate) คาดัชนีความเหนียวเมื่อ กําหนดคาอัตราสวนปริมาณเหล็กเสริมที่ 0.75ρbจากขอมูล ของประเทศสหรัฐอเมริกา ผูแตงไดใชแบบจําลองมอนติคารโล (Monte Carlo Simulation) เพื่อสุมการกระจายของหนวยแรง ดึงที่จุดครากของเหล็กเสนโดยใชขอมูลการกระจายจากกลุม ตัวอยางของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งไดคาเฉลี่ย และ สัมประสิทธิ์ความแปรผัน (Coefficient of Variation) ของ อัตราสวนหนวยแรงดึงที่จุดครากตอคาที่ระบุไวตามมาตรฐาน เปน 1.145 และ 0.05 ตามลําดับ [9] (เปนคาที่แนะนําใหใช
สําหรับการสอบเทียบ) สวนคาเฉลี่ย และสัมประสิทธิ์ความ แปรผัน (Coefficient of Variation) ของอัตราสวนพื้นที่หนาตัด ของเหล็กเสนตอคาที่ระบุไว ตามมาตรฐานของประเทศ สหรัฐอเมริกาเปน 1.0 และ 0.015 ตามลําดับ [9]
จากการสอบเทียบดังกลาว สําหรับกรณีหนวยแรงที่ดึงจุด คราก fy =2400, 3000, 4000, 5000 ksc และ fc′= 200, 300, 400, 500 ksc จะไดดัชนีความเหนียวเปาหมาย (Target Ductility Index) ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% เมื่อดัชนีความ เหนี่ยวที่เกิดขึ้นจากการสุมจะไมต่ํากวาคาที่กําหนด (1-Tail Normal Distribution) ดังแสดงในภาพที่ 6
1.838
1.725
1.813
1.900
1.737
1.638
1.718
1.796
1.621
1.535
1.609
1.675
1.544
1.467
1.535
1.592
1.4 1.5 1.6 1.7 1.8 1.9 2.0
200 300 400 500
กําลังอัดประลัย fc' (ksc)
ดัชนีความเหนียว
fy=2400 fy=3000 fy=4000 fy=5000
ภาพที่ 6 กราฟดัชนีความเหนียวเปาหมายที่ระดับความเชื่อมั่น 95% สําหรับคา fyและ fc′ตาง ๆ กัน
จากการลองผิดลองถูก (Trial and Error) เพื่อที่จะหาคาหนวย แรงดึงที่จุดครากสูงสุด fy,maxที่ควรจะกําหนด (ใชที่ความ เชื่อมั่น 95% เชนกัน และเปน 2-Tail Normal Distribution เนื่องจากตามมาตรฐาน มอก. ไดกําหนดคาต่ําสุด fy,min ก็คือ คา fyที่ระบุนั่นเอง) ที่ทําใหคาดัชนีความเหนี่ยวที่เกิดจากการ สุมมีคาไมต่ํากวาคาดัชนีความเหนียวเปาหมายไดแสดงไวใน ตารางที่ 2 (สมมุติใหอัตราสวนพื้นที่หนาตัดของเหล็กเสนตอ คาที่ระบุมีคาเฉลี่ยและสัมประสิทธิ์ความแปรผันเปน 1.0 และ 0.036 (คํานวณจากขอกําหนด 4.2 ใน มอก. 20-2543 [1] และ 24-2548 [2] คือ ±6% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% 2-Tail Normal Distribution)
จากตารางที่ 2 จะเห็นไดวาสําหรับแตละคา fy ที่ศึกษา จะได fy สูงสุดที่ยอมใหหรือ fy,max สําหรับกรณี fc′ =300, 400, 500 ksc เทากันหมด แตคา fy,maxสําหรับกรณี fc′ =200 ksc จะสูงกวาสําหรับ fc′คาอื่นๆ อยู 10 ถึง 20 ksc ดังนั้น เนื่องจากเปนการกําหนดคาสูงสุด ผูแตงจึงเลือกใช fy,maxคา เดียวสําหรับ fyแตละคาจากกรณี fc′ =300, 400, 500 ksc เปน ตัวแทนของทุกคา fc′ ซึ่งคา fy,max ตัวแทนนี้ไดแสดงไวใน ตารางที่ 3
4. สรุปและขอเสนอแนะ
จากการศึกษาทางพารามิเตอรเพื่อกําหนดคา fyสูงสุดที่
ยอมให โดยการทําแบบจําลองมอนติคารโลเพื่อหาดัชนีความ เหนียวของหนาตัดที่รับโมเมนตดัด เมื่อกําหนดอัตราสวน ปริมาณเหล็กเสริมเทากับคาสูงสุดที่กําหนดใน ACI318-99 และใชขอมูลการกระจายทางสถิติของหนวยแรงดึงที่จุดคราก และพื้นที่หนาตัดของประเทศสหรัฐอเมริกา มาเปนตัวกําหนด ดัชนีความเหนียวเปาหมาย จากนั้นไดทดลองกําหนด กําหนดคา fyสูงสุดที่ยอมให และใชคาการกระจายของหนวย แรงดึงที่จุดครากและพื้นที่หนาตัดซึ่งตีความจากขอกําหนดใน มาตรฐาน มอก. 20-2543 และ 24-2548 จากหลักฐานขอมูลและ การวิเคราะหนี้ ผูแตงขอเสนอแนะใหใช fyสูงสุดที่ยอมใหคือ 2710, 3390, 4520, 5650 ksc สําหรับคา fyที่ระบุ 2400, 3000,
4000, 5000 ksc หรือประมาณ 13% ของคาทีระบุ ซึ่งคาดังกลาว ควรนําไปเพิ่มไวในมาตรฐาน มอก. 20 และ 24 ฉบับถัดไป
ตารางที่ 2 คา fyสูงสุดที่ยอมใหหรือ fy,maxสําหรับกรณี fy
และ fc′ตาง ๆ กัน รวมทั้งการเปรียบเทียบดัชนีความเหนียว เปาหมาย และดัชนีความเหนียวเมื่อกําหนด fy,max
min , y
y f
f =
(ksc)
fc′ (ksc)
max ,
fy
(ksc)
ดัชนีความ เหนียว เปาหมาย
ดัชนีความ เหนียวเมื่อ กําหนด
,max
fy
2400 200 2720 1.838 1.839 300 2710 1.725 1.731 400 2710 1.813 1.814 500 2710 1.900 1.900 3000 200 3400 1.742 1.742 300 3390 1.635 1.635 400 3390 1.715 1.715 500 3390 1.791 1.791 4000 200 4540 1.621 1.617 300 4520 1.535 1.532 400 4520 1.609 1.606 500 4520 1.675 1.670 5000 200 5660 1.544 1.549 300 5650 1.467 1.464 400 5650 1.535 1.531 500 5650 1.592 1.587
เอกสารอางอิง
[1] สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม, 2543. มาตรฐาน อุตสาหกรรม มอก. 20-2543 เหล็กเสนเสริมคอนกรีต: เหล็กเสน กลม. กทม: สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม.
ตารางที่ 3 fyสูงสุดที่ยอมใหหรือ fy,maxที่แนะนําโดยผูแตง สําหรับคา fyที่ระบุหรือ fy,minตางๆ กัน
fyที่ระบุ
หรือ fy,min
fyสูงสุดที่ยอมให
(คาที่แนะนํา) หรือ fy,max
รอยละของ fy สูงสุดที่ยอมใหที่
เกินไปจาก fyที่
ระบุ
2400 2710 12.9
3000 3390 13.0
4000 4520 13.0
5000 5650 13.0
[2] สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม, 2548. มาตรฐาน อุตสาหกรรม มอก. 24-2548 เหล็กเสนเสริมคอนกรีต: เหล็กขอออย.
กทม: สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม.
[3] ฉัตร สุจินดา, 2547. รายงานวิจัยของมหาวิทยาลัยศรีปทุม
“ผลกระทบของเหล็กเสริมไมไดมาตรฐานที่มีตอพฤติกรรมและ กําลังขององค อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กที่รับแรงดัด”. กทม:
มหาวิทยาลัยศรีปทุม.
[4] ACI Committee 318, 1999. Building Code Requirements for Structural Concrete (ACI318-99) and Commentary (ACI318R-99).
Farmington Hill, Michigan: American Concrete Institute.
[5] Jo, B., Tae, G. and Kwon B., 2004. Ductility Evaluation of Prestressed Concrete Beams with CFRP Tendons. Journal of Reinforced Plastics and Composites, 23(8), 843-859.
[6] MacGregor, J. G., 1992. Reinforced Concrete – Mechanics and Design. 2nd ed. Englewood Cliffs: New Jersey: Prentice-Hall.
[7] Hognestad, E., Hansen, N. M., and Mc Henry, D., 1955. Concrete Stress Distribution in Ultimate Strength Design. ACI Journal, Proceedings, 52(4), 455–479.
[8] Whitney, C. S., 1937 Design of Reinforced Concrete Members Under Flexure Or Combined Flexure And Direct Compression.
ACI Journal Proceedings, 33(4), 483-498.
[9] Nowak, A. S. and Szerszen, M. M., 2003. Calibration of Design Code for Building (ACI318): Part 1 – Statistical Models for Resistance. ACI Structural Journal. 100(3), 377-382.