รายงานผลการวิจัย
การวิเคราะห์ระบบสินค้าคงคลังโดยใช้ตัวแบบสินค้าคงคลังเชิงสโตคาสติก : กรณีศึกษาอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของไทย
Analysis of Inventory System with a Stochastic Inventory Model : Case Study of Steel Industries in Thailand
ผศ. วัชรินทร์ แสงมา นายพิษณุ ทองขาว
งานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากงบประมาณ ปี พ.ศ. 2555
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
กิตติกรรมประกาศ
การวิจัยเรื่องนี้สําเร็จลุล่วงด้วยดี ด้วยความช่วยเหลือจากหลายท่าน คณะผู้วิจัยขอขอบคุณ รศ. ดวงสุดา เตโชติรส อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
ผศ. จุฑามาศ พีรพัชระ ผู้อํานวยการสถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระ นคร และผศ. ดร. วัลลภ ภูผา คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระ นคร ที่ให้การสนับสนุนการทํางานวิจัยของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร มาตั้งแต่เริ่มต้น ขอขอบคุณ รองกรรมการบริหาร ผู้จัดการ วิศวกร และพนักงานโรงงานผลิตเหล็ก และเหล็กกล้าของโรงงานตัวอย่าง จังหวัดสมุทรปราการ ที่ช่วยในเรื่องของข้อมูล เป็นอย่างดี ท้ายนี้
คณะผู้วิจัยขอขอบคุณมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนครที่ได้ให้ทุนสนับสนุน จนกระทั่ง งานวิจัยฉบับนี้สําเร็จลุล่วงลงได้ด้วยดี
คณะผู้วิจัย
ชื่อเรื่อง : การวิเคราะห์ระบบสินค้าคงคลังโดยใช้ตัวแบบสินค้าคงคลังเชิงสโตคาสติก : กรณีศึกษาอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของไทย
ผู้วิจัย
:วัชรินทร์ แสงมา และ นายพิษณุ ทองขาว พ.ศ.
:2555
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ เลือกวิธีการพยากรณ์ปริมาณความต้องการของเหล็กรีดร้อนที่มี
ความไม่แน่นอน 3 วิธี ได้แก่วิธีพยากรณ์ปรับเรียบแบบเอ๊กซ์โปเนนเชียล วิธีการพยากรณ์
แบบจําลอง Autoregressive integrated moving average model (ARIMA) และวิธีการพยากรณ์ที่
เสนอขึ้นโดยใช้วิธีของเบย์ เพื่อให้ได้ค่าพยากรณ์ที่เหมาะสม เพื่อนําไปใช้ในการหาปริมาณการ สั่งซื้อวัตถุดิบ จุดสั่งซื้อวัตถุดิบ เพื่อทําให้เกิดต้นทุนการผลิตสินค้ารวมตํ่าสุดในการวางแผนและ ควบคุมการผลิต ของโรงงานผลิตเหล็กและเหล็กกล้า ในเขตจังหวัด สมุทรปราการ โดยทําการเลือก ศึกษาเฉพาะผลิตภัณฑ์เหล็กรีดร้อนที่มียอดสั่งสูงและมีความผันผวนบางประเภทเท่านั้น ซึ่งได้แก่
เหล็กเอชบีม เหล็กแผ่นเรียบ เหล็กเส้นกลม เหล็กเพลาดํา ทุกขนาด เพื่อใช้เป็นต้นแบบในการ วิเคราะห์หา ค่าอัตราความต้องการสินค้าของลูกค้าต่อเดือน ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง ต่อหน่วยต่อหน่วยเวลา ค่าใช้จ่ายในกรณีสินค้าขาดมือต่อหน่วยต่อหน่วยเวลา ค่าใช้จ่ายในการ เตรียมการผลิตต่อครั้ง และนําค่าพารามิเตอร์ต่างๆที่คํานวณหามาทําการวิเคราะห์ระบบสินค้าคง คลังโดยใช้ตัวแบบสินค้าคงคลังเชิงสโตคาสติก ภายใต้นโยบาย ( r,Q ) ของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดใน แต่ละขนาด
คําสําคัญ: การพยากรณ์แบบเบย์, ตัวแบบสินค้าคงคลังเชิงสโตคาสติก ,นโยบายสินค้าคงคลังแบบ ( r,Q ) , ปริมาณความต้องการสินค้าที่มีความไม่แน่นอน
Title
: Analysis of Inventory System with a Stochastic Inventory Model : Case Study of Steel Industries in Thailand
Researcher: Watcharin Sangma and Pitsanu Tongkhow
Year :
2012
Abstract
The objectives of this research were to select the most appropriate forecasting model for uncertain demand of hot-rolled steel and to find the purchase amount and the reorder point of some raw materials in order to minimize the total cost of production in an iron and steel production planning. The three forecasting models which were exponential model, ARIMS model, and the proposed Bayesian model were studied. An iron and steel factory in Samutprakarn province was a prototype for this study. Because of their uncertain high demand, the Steel H- Beam, Steel plate, steel round bar, and black steel round bar with various sizes were selected, and their parameters including demand rate, inventory cost, back order cost, and setup cost were collected. The study found that the proposed Bayesian forecasting model is the most appropriate.
The predicted demand and all parameter values were used to find the purchase amounts and the reorder points of the raw materials under the (r,Q) policy of the stochastic inventory model.
Keyword: Bayesian Forecasting , Stochastic Inventory Model, Stochastic Inventory Model for The (r,Q) Policy , Uncertainty Demand.
สารบัญ
หน้า
กิตติกรรมประกาศ ก
บทคัดย่อภาษาไทย ข
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ค
สารบัญ ง
บทที่ 1 บทนํา 1
ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา 1
วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2
ขอบเขตของการวิจัย 2
สมมุติฐานในการวิจัย 2
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 3
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับสโตคาสติก 4
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคการประมาณค่าในตัวแบบการพยากรณ์ 5
ทฤษฎีเกี่ยวข้องกับสินค้าคงคลัง 16
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของไทย 27
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 30
บทที่ 3 วิธีดําเนินการวิจัย 33
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 33
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 33
การเก็บรวบรวมข้อมูล 34
การวิเคราะห์ข้อมูล 34
การประเมินผลวิจัย และข้อเสนอแนะ 40
บทที่ 4 ผลการวิจัย 41
ผลการเลือกเลือกวิธีการพยากรณ์ที่เหมาะสม 41
ผลการวิเคราะห์ค่าพารามิเตอร์ 46
ผลการวิเคราะห์ระบบสินค้าคงคลังโดยใช้ตัวแบบสินค้าคงคลัง 49
บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ 55
สรุปผลการวิจัย 55
ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 56
บรรณานุกรม 57
ภาคผนวก 58
ประวัติคณะผู้วิจัย 61
ความเป็นมาและสําคัญของปัญหา
เหล็กถือว่าเป็นสินค้าที่มีความต้องการนํามาใช้ในการผลิต และสร้างสิ่งต่างๆตามความ ต้องการในปัจจุบันเพราะว่าไม่ว่าจะเป็นงานโครงสร้าง รถยนต์ เครื่องมือเครื่องใช้ เป็นต้น ใช้เหล็ก เป็นชิ้นส่วนประกอบทั้งนั้น อุตสาหกรรมเหล็กของไทยจัดเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานที่สําคัญของ ประเทศ เนื่องจากเหล็กเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมต่อเนื่องหลายประเภท สําหรับผลิตภัณฑ์
สําคัญที่มีความโดดเด่นในอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ได้แก่ กลุ่มเหล็กทรงยาว เช่น เหล็กเส้น ลวดเหล็ก และกลุ่มเหล็กทรงแบน เช่น เหล็กแผ่นรีดร้อนและรีดเย็น เหล็กแผ่นเคลือบและเหล็ก โครงสร้างรูปพรรณ ซึ่งความต้องการใช้เหล็กในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งความต้องการ ใช้ของอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่มีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เป็นจํานวนมาก เช่น
อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ บรรจุภัณฑ์ของอาหาร กระป๋อง เครื่องจักรกล และอุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศและการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น เป็นเหตุ
ทําให้อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้ามีการใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเช่นกัน จากราคาเหล็กในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และประกอบกับ
อุตสาหกรรมก่อสร้างที่มีการขยายตัวสูงขึ้นอย่างมาก จากข้อมูลการเก็บรวบรวมของสถาบันเหล็ก และเหล็กกล้าของประเทศไทย และผลกระทบจากราคาเหล็กในตลาดโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น อย่างต่อเนื่องนั้น ผู้ผลิตจึงได้ทําการเร่งการผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กไว้เพื่อเก็บไว้เป็นสินค้าคงคลังกัน มาก จากข้อมูลดังที่ได้กล่าวมานั้น การที่ราคาเหล็กของตลาดโลก และปริมาณการใช้เหล็กทําให้
ปริมาณการนําเข้าเหล็กที่มีแนวโน้มสูงขึ้น รวมถึงปริมาณการผลิตและปริมาณการส่งออกที่ลดลง นั้น ทําให้ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาถึงการวิเคราะห์ระบบสินค้าคงคลังเพื่อไปใช้ใการวางแผนการผลิต ของระบบอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของประเทศไทย โดยพิจารณากรณีที่เมื่อปริมาณความ ต้องการเหล็กแต่ละชนิดมีค่าไม่แน่นอน (Random Variable) แต่สามารถรู้ค่าได้ว่าอยู่ในช่วงใด มี
ระยะเวลาในการนําส่งสินค้า (Lead Time) มีการเกิดสินค้าขาดมือ (Shortage) ได้ เพื่อใช้เป็นข้อมูล ที่สําคัญอย่างหนึ่งในการวางแผนตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผนการผลิตของโรงงานตัวอย่าง และใช้
เป็นต้นแบบให้กับผู้ผลิตอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของประเทศไทย และอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อหาวิธีการประมาณค่าพารามิเตอร์ในตัวแบบพยากรณ์สําหรับหาปริมาณความ ต้องการเหล็กภายใต้ความไม่แน่นอนที่มีความแม่นยําขึ้น
2. เพื่อวิเคราะห์ระบบสินค้าคงคลังภายใต้ปริมาณความต้องการสินค้าที่มีความไม่
แน่นอนในตัวแบบสินค้าคงคลังเชิงสโตคาสติก สมมุติฐานของการวิจัย
ทราบฟังก์ชันการแจงแจงความน่าจะเป็นของปริมาณความต้องการเพื่อนําไปสร้างตัวแบบ การพยากรณ์ปริมาณความต้องการที่ไม่แน่นอนในข้อมูลที่เป็นอนุกรมเวลาที่ผู้วิจัยเสนอขึ้นโดยใช้
วิธีของเบย์ที่มีค่าตํ่ากว่าตัวแบบพยากรณ์ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปอีกสองวิธีคือ ตัวแบบการพยากรณ์แบบ ปรับเรียบเอ็กซ์โปเนนเชียล และตัวแบบการพยากรณ์แบบจําลอง Autoregressive integrated moving average model (ARIMA) หลังจากนั้นนําค่าที่ประมาณที่ได้มาวิเคราะห์ระบบสินค้าคงคลัง เชิงสโตคาสติกโดยทําให้เกิดค่าใช้จ่ายตํ่า เมื่อนํามาเปรียบกับข้อมูลจริงในอดีต
ขอบเขตของโครงการวิจัย
ศึกษาข้อมูลจากโรงงานตัวอย่างเท่านั้น โดยมีข้อจํากัดของการศึกษาคือ มีสินค้าขาดมือ โดยคิดค่าใช้จ่ายสินค้าขาดมือ มีระยะเวลาในการนําส่งสินค้า ปริมาณความต้องการสินค้ามีค่าไม่
แน่นอนแต่รู้ฟังก์ชันการแจกแจงความน่าจะเป็น
ข้อตกลงเบื้องต้น
1. สินค้าที่ผลิตมี 1 รายการ
2. อัตราความต้องการสินค้ามีค่าไม่แน่นอนและต่อเนื่อง
3. อัตราความต้องการสินค้าในช่วงเวลานําส่งสินค้ามีค่าไม่แน่นอนและต่อเนื่อง 4. ปริมาณสินค้าที่ผลิตในแต่ละครั้งเป็นตัวแปรต่อเนื่อง
5. มีอัตราการผลิตเป็นค่าคงตัวและต่อเนื่อง
6. ค่าใช้จ่ายในการตระเตรียมการผลิต ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง และ ค่าใช้จ่ายต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตแต่ละหน่วยเป็นค่าคงตัวที่มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ ศูนย์และไม่ขึ้นกับปริมาณที่ผลิตในแต่ละครั้ง
7. ช่วงเวลานําส่งสินค้าเป็นค่าคงตัว
8. ระยะเวลาการวางแผนการดําเนินงานของระบบเป็นแบบอนันต์
9. มีพื้นที่ในการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง กําลังการผลิตและเงินทุนเพียงพอ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ทําให้ทราบค่าพยากรณ์ปริมาณความต้องการในอนาคตของความต้องการเหล็กใน โรงงานตัวอย่างและนําไปใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจของอุตสาหกรรมเหล็กและ เหล็กกล้าของประเทศไทยได้
2. ทําให้ทราบค่าปริมาณการผลิตเหมาะที่สุดในแต่ละครั้ง จํานวนการสั่งซื้อที่ประหยัด ที่สุด จุดสั่งซื้อสินค้า ระยะเวลาการสั่งซื้อและคาบการใช้สินค้า เพื่อใช้เป็นข้อมูลใน วางแผนการตัดสินใจในอนาคตของโรงงานตัวอย่าง และใช้เป็นแนวทางสําหรับผู้ผลิต เหล็กและเหล็กกล้าอื่นๆในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. นําวิธีการที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้กับปัญหาในโรงงาน และ อุตสาหกรรมอื่น ๆได้
การวิเคราะห์ระบบสินค้าคงคลังโดยใช้ตัวแบบสินค้าคงคลังเชิงสโตคาสติก: กรณีศึกษา อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของไทยในครั้งนี้ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องตาม หัวข้อดังต่อไปนี้
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
2.1 สโตคาสติก (Stochastic)
สโตคาสติกจะเกี่ยวข้องกับตัวแปรสุ่ม (Random Variable) เช่น การประมาณค่าพารามิเตอร์ใน ตัวแบบการพยากรณ์ การวิเคราะห์ระบบสินค้าคงคลัง โดยที่ค่าพารามิเตอร์ในตัวแบบนั้นเป็นตัวแปร สุ่ม ซึ่งอยู่ในรูปของฟังก์ชันของความน่าจะเป็น วิธีการประมาณค่าที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไป เช่น การ ประมาณค่าความควรจะเป็นสูงสุด (Maximum Likelihood Estimation) วิธีนี้นิยมใช้ประมาณ ค่าพารามิเตอร์ที่เป็นตัวแปรสุ่มโดยที่ตัวแปรสุ่มแต่ละตัวมีค่าของ prior distribution แค่ระดับเดียวหรือ ถ้ามีหลายระดับ ฟังก์ชั่นต้องไม่มีความซับซ้อนเท่าไรจึงจะคํานวณหาค่าพารามิเตอร์มาได้ แต่ถ้าตัวแปร สุ่มแต่ละตัวมีค่าของฟังก์ชันความน่าจะเป็นหรือ prior distribution หลายระดับซึ่งจะเรียกว่า hyperprior distribution และเมื่อหา joint distribution มาแล้ว ได้ฟังก์ชันที่มีความซับซ้อนมาก เราก็จะนิยมใช้วิธีการ ประมาณค่าที่สามารถประมาณฟังก์ชันที่มีความซับซ้อนได้ เช่น วิธีการประมาณแบบเบย์ (Bayesian Estimation) มาประมาณซึ่งวิธีนี้จะเรียกว่าวิธีกระบวนการสโตคาสติก (Stochastic Process) เพราะ กระบวนการประมาณค่าพารามิเตอร์นอกจากจะมีตัวแปรสุ่มแล้ว ยังมีเวลามาเข้าเกี่ยวข้องใน กระบวนการด้วย วิธีของเบย์จะใช้หลักการของห่วงโซ่มาร์คอฟ (Markov Chain) มาช่วยในการ ประมาณ ซึ่งวิธีการของห่วงโซ่มาร์คอฟ ถือว่าเป็นวิธีการของกระบวนการสโตคาสติกที่ได้รับนิยมมาก พอสมควร และถูกนําไปประยุกต์ใช้ในหลายหลายสาขาวิชา ในที่นี้จะขอกล่าวกระบวนการสโตคาสติก คร่าวๆ โดยมี S เป็นเซตของสถานที่เป็นไปได้ทั้งหมด (State Space) ก็คือเซตของตัวแปรสุ่ม
X tt, T โดยที่Xtจะมีค่าความน่าจะเป็น และสามารถหาค่าความน่าจะเป็นของมันได้ โดยจะ
เหมือนกับเซตของตัวแปรสุ่มที่เราใช้กันอยู่ทั่วๆไป เช่น f(x), p(x) เป็นต้น เซต T จะถูกเรียกว่าเซต พารามิเตอร์ของกระบวนการ ถ้า T 0,1, 2,... กระบวนการนี้จะเรียกว่ากระบวนการหนึ่งของ การประมาณพารามิเตอร์แบบไม่ต่อเนื่อง (A discrete parameter process) แต่ถ้า T ไม่สามารถนับได้
กระบวนการนี้เรียกว่ากระบวนการหนึ่งของการประมาณพารามิเตอร์แบบต่อเนื่อง (A continuous parameter process) โดยทั่วๆไป T จะเป็นจํานวนจริงบวกโดยที่ T 0,และ
,
T a b เมื่อค่า t คือเวลา และเมื่ออยู่ในรูปของ Xt ก็จะเรียกว่า สถานะ หรือ ตําแหน่ง หรือ กระบวนการ ณ เวลา t ถ้า S อยู่ใน ก็จะเรียกว่าเซตของจํานวนเต็มทั้งหมด หรือ เซตจํากัดเซตหนึ่ง สําหรับค่าคงที่ การจับคู่จะได้ดังนี้
t( )
t X (1) สมการข้างบนได้กําหนดบนเซตของพารามิเตอร์ T ซึ่งจะถูกเรียกว่า A realization หรือ trajectory เป็นเส้นทางตัวอย่าง หรือฟังก์ชันตัวอย่างของกระบวนการ ให้ X tt, Tเป็น กระบวน การสโตคาสติกแบบที่มีค่าเป็นจํานวนจริงกระบวนการหนึ่ง ( real-valued) และ t1 ... tnT
ดังนั้น ฟังก์ชันความน่าจะเป็น Pt1,...,P o Xtn ( t1,...,Xtn)1 ของเวคเตอร์ที่เป็นตัวแปรสุ่ม
ซึ่งหลักการของกระบวนการสโตคาสติกที่กล่าวมาข้างต้นได้มีการนําไปประยุกต์ใช้อย่างทั่ว โลกอย่างกว้างขวางตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน
2.2
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับ
เทคนิคการประมาณค่าในตัวแบบการพยากรณ์ก่อนที่จะทําการตัดสินใจเลือกวิธีการพยากรณ์ใดๆควรจะพิจารณาถึงลักษณะของข้อมูลการ ตัดสินใจว่ามีความสอดคล้องกับลักษณะของวิธีการพยากรณ์ที่จะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับข้อมูลหรือไม่
สําหรับการพยากรณ์ที่เหมาะสมกับงานวิจัยนี้ จะใช้วิธีการพยากรณ์ข้อมูลที่เป็นแบบอนุกลมเวลา( Time Series) ซึ่งเป็นวิธีการพยากรณ์โดยคาดการณ์ในอนาคต ว่าจะมีลักษณะเช่นเดียวกับในปัจจุบันหรือ อนาคต เช่น ยอดขายหรืออุปสงค์ในความเป็นจริงได้รับอิทธิพลจากแนวโน้น ( Trend ) ฤดูกาล ( Seasonal ) วัฏจักร ( Cycle ) และเหตุการณ์ผิดปรกติ ( Irregular Variation ) วิธีการพยากรณ์แบบ อนุกรมเวลา ยังมีหลายวิธี และที่นิยมใช้มีดังต่อไปนี้
2.2.1 วิธีพยากรณ์แบบปรับเรียบเอ็กซ์โปเนนเชียล (Exponential Smoothing)
(Montgomery,2008)
เป็นการหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงนํ้าหนักที่จัดค่าพยากรณ์ออกมาในรูปการใช้
สมการคํานวณ ซึ่งจะใช้ข้อมูลเริ่มต้นค่าเดียวและถ่วงนํ้าหนักโดยใช้สัมประสิทธิ์เชิงเรียบ ที่มี
ค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1.00 ของค่าสังเกตก่อนหน้านั้น มี 3 แบบคือ 1) Single exponential smoothing
ตัวแบบการพยากรณ์แบบ Single exponential smoothing นิยามดังนี้
ให้ Stแทนค่าพยากรณ์ของค่าสังเกต Yt ณ เวลา t เมื่อ t1,...,n
1,
(1 ) 0 1
t t t
S Y S (2) ค่าพยากรณ์ S1 ไม่เกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีเทอม S0 นอกเสียจากจะกําหนดค่าเริ่มต้นให้
S0 เทคนิคนี้ใช้สําหรับข้อมูลที่ ไม่มี trend และ seasonal ถ้าข้อมูลมี trend จะใช้ Double exponential smoothing และถ้ามีทั้ง trend และ seasonal จะใช้ Triple Exponential Smoothing
2) Double exponential smoothing หรือ Holt’s method
ตัวแบบการพยากรณ์แบบ Double exponential smoothing ได้จากขยายตัว แบบของ Single exponential smoothing ออกไปดังนี้
StYt (1 )(St1At1),0 1 (3) โดยที่ At(StSt1) (1 )At1, 0 1 (4) เมื่อ คือค่าคงที่แสดง trend
3) Triple Exponential Smoothing หรือ Holt-Winters method
ตัวแบบการพยากรณ์แบบ Triple exponential smoothing ได้จากขยายตัวแบบ ของ Double exponential smoothing ออกไป มี 2 แบบคือ
- Multiplicative Seasonal Model
St(Yt/Bt s)(1)(St1At1),0 1, (5) At(StSt1) (1 )At1,0 1, (6)
/ ,
( ) (1 ) 0 1,
t t t t s
B Y S B (7) เมื่อ คือค่าคงที่แสดง seasonal และ s คือความยาวช่วงของ seasonal ใช้ตัว แบบการพยากรณ์นี้เมื่อข้อมูลมี seasonal เป็นแบบการคูณ (multiplicative seasonality)
คือในเวลาเดียวกันของแต่ละฤดูกาล ค่าสังเกตจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็นค่าร้อยละ ตัวอย่างเช่นข้อมูลรายเดือน 5 ปี ความยาวช่วงของ seasonal คือ 12 และข้อมูลปรากฏ ให้เห็นว่าในเดือนธันวาคมของแต่ละปี ค่าสังเกตจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 ไม่ใช่เพิ่มขึ้น หรือลดลงเป็นค่าคงที่
- Additive Seasonal Model
1 1
) ),
( t s (1 )( t 0 1
t t B t A
S Y S , (8) At(StSt1) (1 )At1,0 1, (9) Bt(YtSt) (1 )Bt s ,0 1, (10) เมื่อ คือค่าคงที่แสดง seasonal และ s คือความยาวช่วงของ seasonal ใช้ตัว แบบการพยากรณ์นี้เมื่อข้อมูลมี seasonal เป็นแบบการบวก (additive seasonality) คือ ในเวลาเดียวกันของแต่ละฤดูกาล ค่าสังเกตจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็นค่าคงที ในทาง ปฏิบัติเราไม่ทราบว่าจะต้องกําหนดค่า moving average length เท่าไรดี จึงจะทําให้ ค่า error หรือ mean square error (MSE) หรือ ค่าวัดความผิดพลาดอื่นๆ ให้ค่าตํ่าที่สุด ดังนั้นเราควรจะต้องกําหนดค่า ให้เหมาะสม
2.2.2 แบบจําลอง Autoregressive integrated moving average model (ARIMA)
แบบจําลอง ARIMA เป็นแบบจําลองที่ได้รับความนิยม และเป็นวิธีที่ให้ค่าพยากรณ์ในระยะ สั้นที่ดี เนื่องจากวิธีนี้มีค่าเฉลี่ยของความคลาดเคลื่อนกําลังสอง (Mean Square Error : MSE) ของการพยากรณ์ที่ได้จะตํ่ากว่าวิธีอื่นๆ เช่น การวิเคราะห์แนวโน้ม วิธีการปรับเรียบแบบเอ็กซ์
โปเนนเชียล และวิธีถดถอยเชิงพหุ เป็นต้น อีกทั้งในการจัดทําสมการและการพยากรณ์ยังมี
ขั้นตอนที่ยุ่งยาก และซับซ้อนน้อยกว่าแบบมหภาคที่อยู่ในลักษณะระบบสมการหลายชั้น สําหรับแบบจําลอง ARIMA เป็นแบบจําลองที่พัฒนาโดย George E.P.Box และ Gwilym M.
Jenkins ในปี ค.ศ. 19702 โดยพื้นฐานแล้วแบบจําลอง ARIMA เป็นวิธีที่ให้ค่าพยากรณ์ในระยะ สั้นที่ดี3 หรือเหมาะกับการพยากรณ์ไปข้างหน้าในช่วงเวลาสั้นๆ และต้องมีช่วงของข้อมูลที่
ยาวพอสมควร แบบจําลอง ARIMA(p,d,q) ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ แบบจําลอง Auto Regressive (AR(p)) กระบวนการIntegrated (I(d)) และแบบจําลอง Moving Average (MA(q)) โดยรายละเอียดของแต่ละส่วนมีดังนี้
1) แบบจําลอง Auto Regressive (AR(p))
แบบจําลอง Auto Regressive เป็นรูปแบบที่แสดงว่าค่าสังเกต yt ถูกกําหนด จากค่าของ yt,...,yt p หรือ ค่าสังเกตที่เกิดขึ้นก่อนหน้า p โดยกระบวนการหรือระบบ AR(p) คือกระบวนการหรือระบบ Auto Regressive ที่มีอันดับที่ p ซึ่งเขียนอยู่ในรูป สมการได้ดังนี้
AR(p) คือ xt 1xt12xt1 ... pxt p t (11) โดยที่
คือ ค่าคงที่ (Constant Term)
j คือ พารามิเตอร์ตัวที่ j
t คือ ความคลาดเคลื่อน ณ เวลา t
ในกรณี ของ AR(1) สามารถเขียนรูปแบบสมการได้ดังนี้
1 1
t t t
x x (12) หรือ
1 1
t t t
x x (13) หรือ
(1 1 )xt t (14) เมื่อ B คือ Backward shift operation5
และในกรณี ของ AR(2) สามารถเขียนรูปแบบสมการได้ดังนี้
1 1
t t t
x x (15) หรือ
1 1 2 2
t t t t
x x x (16) หรือ
2
1 2
(1 )xt t (17)
2) แบบจําลอง Moving Average (MA(q))
แบบจําลอง Moving Average (MA) เป็นรูปแบบที่แสดงว่าค่าสังเกต ytถูก กําหนดจากค่าความคลาดเคลื่อน t1,...,t p หรือค่าความคลาดเคลื่อนที่อยู่ก่อนหน้า โดยกระบวนการหรือระบบ MA(q) คือกระบวนการหรือระบบ Moving Average ที่มี
อันดับ q ซึ่งเขียนในรูปของ MA (q) ได้ดังนี้
MA (q) คือ xt t 1 t1 2 t2 ... q t q (18) โดยที่
คือ ค่าคงที่ (Constant Term)
j คือ พารามิเตอร์ตัวที่ j
t คือ ความคลาดเคลื่อน ณ เวลา t
ในกรณี MA(1) สามารถเขียนรูปแบบสมการได้ดังนี้
1 1
t t t
x x (19) หรือ
(1 1 )
t t
x (20) และในกรณี MA(2) สามารถเขียนรูปแบบสมการได้ดังนี้
1 1 2 2
t t t t
x x x (21) หรือ
2
1 2
(1 )
t t
x (22) 3) แบบจําลอง Auto Regressive Moving Average (ARMA(p,q))
แบบจําลอง Auto Regressive Moving Average (ARMA) เป็นแบบจําลองที่
นําเอากระบวนการ Auto Regressive และ Moving Average มาใช้รวมกัน โดย กระบวนการหรือระบบ ARMA(p,q) คือกระบวนการหรือระบบ Auto Regressive ที่มี
อันดับที่ p และ Moving Average ที่มีอันดับ q ซึ่งเขียนอยู่ในรูปสมการได้ดังนี้
แบบจําลอง ARMA (p,q)
1 2 ... 1 1 ...
tyt yt yt yt p t t q t q
(23)
โดยที่
yt คือ ค่าสังเกตในอนุกรมเวลา ณ เวลา t
p คือ อันดับของ Autoregressive
q คือ อันดับของ Moving Average
คือ ค่าคงที่ (Constant Term)
t คือ เวลา
คือ พารามิเตอร์ของ Auto Regressive
คือ พารามิเตอร์ของ Moving Average
t คือ กระบวนการ white noise ซึ่งก็คือ ค่าความคลาดเคลื่อน ณ เวลา t 4) กระบวนการ Integrated (I(d))
กระบวนการ Integrated (I(d)) เป็นการหาผลต่างของอนุกรมเวลาระหว่าง ข้อมูล ณ ปัจจุบันกับข้อมูลถอยหลังไป d คาบเวลา โดยสาเหตุที่ต้องทําการหาผลต่าง ของอนุกรมเวลา เนื่องจากแบบจําลอง ARIMA ต้องใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลอนุกรม เวลาทีมีคุณสมบัติคงที่ (Stationary) เท่านั้น โดยในกรณีข้อมูลอนุกรรมเวลาที่ใช้ใน การวิเคราะห์มีคุณสมบัติไม่คงที่ (Nonstationary) จะต้องทําการแปลงข้อมูลดังกล่าว ให้เป็นข้อมูลที่มีคุณสมบัติคงที่ก่อน โดยการ
หาผลต่างของข้อมูลอนุกรมเวลาก่อนที่นําไปสร้างแบบจําลอง ARIMA ซึ่งโดยทั่วไป แล้วถ้าต้องหาผลต่างอันดับที่ d สามารถเขียนในรูปของ I(d) ได้ดังนี้
I(d) คือ dxt d1(xtxt1) หรือ (1)dxt (24) ในกรณี I(1) สามารถเขียนรูปแบบได้ดังนี้
I(1) คือ xt (xtxt1) หรือ (1)xt (25) ในกรณี I(2) สามารถเขียนรูปแบบได้ดังนี้
I(2) คือ 2xt (xtxt1) หรือ (1)2xt (26) โดยที่
t คือ พจน์ความคลาดเคลื่อน ณ เวลา t
(1)dxt คือ ผลต่างอันดับที่ d
คือ Backward shift operation
จากรายละเอียดต่างๆ ที่กล่าวในข้างต้นถ้านําแบบจําลอง Auto Regressive แบบจําลอง Moving Average และ กระบวนการ Integrated มาพิจารณารวมกัน สามารถนํามากําหนดเป็นรูปแบบทั่วไปของแบบจําลอง ARIMA ที่ใช้ในการประมาณ การคือ
แบบจําลอง Autoregressive integrated moving average model (ARIMA)
1 2 ... 1 1 ...
tyt dyt dyt dyt p t t q t q
(27) โดยที่
yt คือ ค่าสังเกตในอนุกรมเวลา ณ เวลา t
d คือ จํานวนครั้งของการหาผลต่างเพื่อให้อนุกรมเวลามีคุณสมบัติคงที่
(Stationary)
p คือ อันดับของ Autoregressive
q คือ อันดับของ Moving Average
คือ ค่าคงที่ (Constant Term)
t คือ เวลา
d คือ ผลต่างอันดับที่ d
1,..., p
คือ พารามิเตอร์ของ Auto Regressive
1,..., q
คือ พารามิเตอร์ของ Moving Average
t คือ กระบวนการ white noise ซึ่งก็คือ ค่าความคลาดเคลื่อน ณ เวลา t ภายใต้ข้อ สมมติที่ว่าความคลาดเคลื่อนที่คนละเวลาเป็นตัวแปรสุ่ม ที่เป็นอิสระต่อกัน โดยมี การแจง แจงปกติที่มีค่าเฉลี่ยเป็นศูนย์ และ ความแปรปรวนคงที่
นอกจากส่วนประกอบต่างๆ ของแบบจําลอง ARIMA ที่กล่าวในข้างต้นนั้น ก่อนที่จะสร้างแบบจําลองจําเป็นต้องเข้าใจในเรื่องของ Autocorrelation Function และ Partial Autocorrelation Function ซึ่งรายละเอียดของฟังก์ชันทั้ง 2 แสดงในหัวข้อ ต่อไป
5) Autocorrelation Function (ACF)
Autocorrelation Function เป็นฟังก์ชันของการวัดสหสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล ณ เวลา t ( )xt และ ข้อมูล ณ เวลา tk x( t k ) ของช่วงเวลาห่างกัน kหน่วย ซึ่งแทนด้วย สัญลักษณ์ k หรือ rk ในกรณีสหสัมพันธ์ในตัวเองของตัวอย่าง ซึ่งสามารถคํานวณ ได้ดังนี้
k หรือ rk 1
2 1
( )( )
( )
n
t t k
t k n
t t
x x x x x x
(28)เมื่อ
1
1 n
t t
x x
n
และ k = 0,1,2,3,...โดยความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของ rk (Standard error of rk) ซึ่งมีสูตรในการ คํานวณดังนี้
1
rk
se n (29)
สหสัมพันธ์ในตัวเองของข้อมูลสุ่ม (random data) มีการแจกแจงเชิงตัวอย่างที่
สามารถประมาณได้ โดยการแจกแจงปกติด้วยค่าเฉลี่ย (mean) เท่ากับศูนย์ และ ความคลาดเคลื่อนมาตรฐานเท่ากับ 1
n
ในการศึกษาจะใช้สหสัมพันธ์ในตัวเองเป็นเครื่องมือที่สําคัญสําหรับสืบค้น คุณสมบัติของข้อมูลอนุกรมเวลาเชิงประจักษ์ โดยมี 2 วิธีสําหรับทดสอบว่าค่า r
k มีค่า แตกต่างไปจากศูนย์หรือไม่โดย ใช้การแจกแจงปกติมาตรฐาน (Standard Normal Distribution) หรือ ใช้ค่าสถิติ Box-Pierce Q statistic ซึ่งมีรูปแบบดังนี้
การแจกแจงปกติมาตรฐาน (Standard Normal Distribution)
(0, 1 ) rk N
n (30) ค่าสถิติ Box-Pierce Q statistic
2 2
1
( )
m
k
Q n r m p q
(31) โดยที่ m คือค่าล่าหรือค่าล้าหลังสูงสุด (Maximum Lag) ที่พิจารณา6) Partial Autocorrelation Function (PACF)
การพิจารณาสหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร xtกับ xt k อาจเป็นไปได้ว่า สหสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นผลเนื่องมาจากสหสัมพันธ์ระหว่าง 2 ตัวแปรนี้กับตัวแปร
1,..., 1
t t k
x x ดังนั้นเพื่อที่จะได้สหสัมพันธ์ระหว่าง xtกับ xt k ที่ได้ขจัดความ เกี่ยวข้องระหว่างตัวแปรทั้งสองตัวนี้กับตัวแปร xt1,...,xt k 1 ดังกล่าว จึงต้องทําการ วัดสหสัมพันธ์ของทั้งสองตัวแปรในรูปแบบของการสหสัมพันธ์แบบมีเงื่อนไข
1 1
( ,t t k t ,..., t k )
Corr x x x x ซึ่งเรียกว่า Partial Autocorrelation โดยแทนด้วย สัญลักษณ์ kk แต่ถ้านําสหสัมพันธ์ในตัวเองบางส่วนมาพิจารณาในรูปแบบฟังก์ชัน จะเรียกว่า Partial Autocorrelation Function (PACF) ซึ่งkkสามารถคํานวณได้ดังนี้
ˆ , ˆ
ˆ ˆ
t t t k t k
kk
t t t k t k
Cov x x x x
Var x x Var x x
(32) โดยที่ xˆt 1xt12xt2 ... kxt k 1 (33)