• Tidak ada hasil yang ditemukan

Behavioral Intervention for HIV/AIDS Prevention Program among  Students in Khammouane Technical- Vocational College, Lao People’s Democratic Republic

N/A
N/A
Nguyễn Gia Hào

Academic year: 2023

Membagikan "Behavioral Intervention for HIV/AIDS Prevention Program among  Students in Khammouane Technical- Vocational College, Lao People’s Democratic Republic"

Copied!
158
0
0

Teks penuh

(1)

การเสริมสร้างพฤติกรรมในการปูองกันโรคเอดส์ ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวงค าม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

วิทยานิพนธ์

ของ

Souksathaphone Chanthamath

เสนอต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ

เมษายน 2562

สงวนลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

(2)

การเสริมสร้างพฤติกรรมในการปูองกันโรคเอดส์ ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวงค าม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

วิทยานิพนธ์

ของ

Souksathaphone Chanthamath

เสนอต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ

เมษายน 2562

สงวนลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

(3)

Behavioral Intervention for HIV/AIDS Prevention Program among Students in Khammouane Technical- Vocational College, Lao People’s Democratic Republic

Souksathaphone Chanthamath

A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of Requirements for Master of Science (Health Sciences)

April 2019

Copyright of Mahasarakham University

(4)

4

คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ ได้พิจารณาวิทยานิพนธ์ของMs.Souksathaphone Chanthamath แล้วเห็นสมควรรับเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญา วิทยาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์

(รศ. ดร. ปราโมทย์ ทองกระจาย )

ประธานกรรมการ

(อ. ดร. ราณี วงศ์คงเดช )

อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์หลัก

(อ. ดร. นิรันดร์ อินทรัตน์ )

อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ร่วม

(ผศ. ดร. กนกพร ไชยอนันต์พร )

กรรมการ

(รศ. ดร. พรรณี บัญชรหัตถกิจ )

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก

มหาวิทยาลัยอนุมัติให้รับวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญา วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

(ศ.เกียรติคุณ แพทย์หญิง วณิช วรรณพฤกษ์)

รักษาราชการคณบดีคณะแพทยศาสตร์

(ผศ. ดร. กริสน์ ชัยมูล ) คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย

(5)

บทคัดย ่อ ภาษาไทย

ชื่อเรื่อง การเสริมสร้างพฤติกรรมในการปูองกันโรคเอดส์ ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิค วิชาชีพ แขวงค าม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ผู้วิจัย Souksathaphone Chanthamath อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ ดร. ราณี วงศ์คงเดช

อาจารย์ ดร. นิรันดร์ อินทรัตน์

ปริญญา วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา วิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีที่พิมพ์ 2562

บทคัดย่อ

การศึกษาพฤติกรรมการปูองกันโรคเอดส์ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวงค า ม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาวจ านวน 939 คน แบบภาคตัดขวาง ชั้นปีที่ 1 ถึง 3 โดย วิธีการสุ่มอย่างง่าย จากการจับสลากรายชื่อนักศึกษาแต่ละสาขา และการศึกษาผลของโปรแกรมการ เสริมสร้างความรู้การปูองกันโรคเอดส์ เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง ในอาสาสมัคร 84 คน แบ่งเป็น กลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มละ 42 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับการอบรมเข้าค่ายตาม โปรแกรมเสริมสร้างการเรียนรู้การปูองกันโรคเอดส์ จ านวน 2 วัน มี 8 กิจกรรม ทั้งการบรรยายด้วย สไลด์ วีซีดี กิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การเล่นเกม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามก่อน และหลังการท ากิจกรรม วิเคราะห์ข้อมูลการศึกษาพฤติกรรมด้วยสถิติเชิงพรรณนา ด้วยค่าความถี่

ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานเพื่อเปรียบเทียบผลของโปรแกรมด้วย สถิติ paired samples t-test และ Independent t-test ก าหนดระดับนัยส าคัญที่ 0.05

ผลการวิจัยพบว่า ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์และการปูองกันอยู่ในระดับน้อยถึงร้อยละ 44.52 โดยร้อยละ 77.29 ตอบผิดในเรื่องการปูองกันการแพร่เชื้อเอชไอวี คือการไม่มีคู่นอนหลายคน แบบไม่ปูองกัน รองลงมา คือ โรคเอดส์ติดต่อได้ จากการถูกยุงกัด โดยยุงที่ไปกัดผู้ติดเชื้อเอชไอวีมา ก่อนถึงร้อยละ 72.10 ด้านทัศนคติต่อการปูองกันโรคพบว่า อยู่ในระดับปานกลาง โดยร้อยละ 56.34 มีทัศนคติไม่ดีเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อควรเปิดเผยตัวแก่สังคมเพื่อการควบคุมโรค และด้านพฤติกรรมเพื่อการ ปูองกันโรคเอดส์ อยู่ในระดับดีมากร้อยละ 55.59แต่ยังมีการใช้กรรไกรตัดเล็บร่วมกับบุคคลอื่นโดยไม่

ท าความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ก่อนร้อยละ 46.86 ส่วนผลการประเมินหลังการใช้โปรแกรมพบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีความรู้เรื่องโรคเอดส์และการปูองกัน อยู่ในระดับดีมากร้อยละ 97.62 ทัศนคติในการปูองกันการติดเชื้อโรคเอดส์เชิงบวกอยู่ในระดับดีร้อยละ 64.29 และความตั้งใจในการมี

พฤติกรรมการปูองกันโรคเอดส์อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 69.05 สูงขึ้นกว่าก่อนทดลอง และสูง

(6)

จ กว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (p-value<0.001)

สรุป โปรแกรมเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อปูองกันโรคเอดส์ สามารถเพิ่มความรู้ ทัศนคติ

และความตั้งใจในการปูองกันโรคเอดส์ได้ จึงควรมีการขยายผลการศึกษาในพื้นที่อื่นหรือนักศึกษากลุ่ม อื่น และประเมินผลในระยะ 3 เดือน 6 เดือน เพื่อดูความคงทนของพฤติกรรมเชิงบวกในการปูองกัน โรคเอดส์

ค าส าคัญ : โปรแกรมเสริมสร้างการเรียนรู้, พฤติกรรมการปูองกันโรคเอดส์, สาธารณรัฐ ประชาธิปไตย ประชาชนลาว

(7)

บทคัดย ่อ ภาษาอ ังกฤ ษ

TITLE Behavioral Intervention for HIV/AIDS Prevention Program

among Students in Khammouane Technical- Vocational College, Lao People’s Democratic Republic

AUTHOR Souksathaphone Chanthamath ADVISORS Ranee Wongkongdech , Ph.D.

Nirun Intarut , Ph.D.

DEGREE Master of Science MAJOR Health Sciences

UNIVERSITY Mahasarakham University

YEAR 2019

ABSTRACT

This cross sectional descriptive study behavioral for HIV/AIDS prevention among students in Khammouane Technical-Vocational College, Lao People's Democratic republic. Sample size included 939 cases in 1st to 3rd years via sample random sampling, then random list of students in every branch. Moreover, this Quasi- experimental research to study the effect of HIV/AIDS prevention program. Sample size was total 84 students who were divided into 42 students of an experimental group and 42 students of a comparison group. The intervention obtained an HIV/AIDS prevention program had 8 activities advising knowledge, lecturing with media, VCD slide presentation, group discussion, playing games for 2 days. Data were analyzed and reported by using frequency (percentage) for categorical data, means (standard deviations) for continuous data. We compared the knowledge, attitude, and HIV/AIDS prevention behavior scores by using paired samples t-test (within group) and Independent t-test (between group).

The results showed a low level of knowledge about HIV/AIDS prevention (44.52%) and misunderstood that HIV/AIDS can be prevented by having only a single partner without protection (77.29%), HIV can be transmitted through a mosquito bite (72.10%), moderate level of positive attitudes towards HIV/AIDS prevention (56.34%) and higher level negative attitudes about HIV/AIDS should be revealed to community

(8)

ช for control and protect HIV/AIDS (55.59%), on the contrary, still used nail clipper with other people without sterile by alcohol (46.86%), and also results show that after the invention the experimental group showed a significantly higher level of knowledge (97.72%), positive attitude (64.29%) and intention of HIV/AIDS prevention were moderate (69.05%) than before the intervention and higher than the comparison group with statistical significance (p-value<0.001)

Conclusion: the experimental group received prevention of AIDS program perform high average before acquire program and increase than a comparison group with statistical significance (p-value<0.001). thus it should be developed HIV/AIDS prevention program in other students for effectiveness and evaluation among 3-6 months to follow up durable behavior protecting of HIV/AIDS.

Keyword : Education Program, AIDS Prevention Behaviors, Lao PDR

(9)

ก ิตติก รรมประก าศ

กิตติกรรมประกาศ

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ ส าเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างดียิ่งจาก ดร. ราณี วงศ์คงเดช อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ที่ได้กรุณาให้ค าแนะน าในทุกขั้นตอน ทั้งทางด้าน วิชาการและได้ช่วยให้ก าลังใจ ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องของงานวิจัยให้มีความเรียบร้อยสมบูรณ์ ขอ กราบขอบพระคุณ รศ.ดร.ปราโมทย์ ทองกระจาย ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้เสียสละเวลาเป็นประธานกรรมการ สอบวิทยานิพนธ์ รศ.ดร.พรรณี บัญชรหัตถกิจ ที่ได้ให้ค าแนะน าและตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย และเป็นกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ อ.ดร.นิรันดร์ อินทรัตน์ อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ร่วม ที่ให้

ค าแนะน าและขอเสนอแนะต่างๆ ดร.เจษฎา สุราวรรณ์ ที่ค่อยแนะน าและให้ค าปรึกษาตลอดมาจน งานวิจัยส าเร็จลุล่วงด้วยดี แพทย์หญิง มลัยพร แก้วจันท์ธรา เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนสุขศึกษา ที่ได้ให้ค าแนะน าและตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยพร้อมทั้งเป็นวิทยากรในการอบรมให้ความรู้ตาม โปรแกรมการศึกษา และ ท่าน อาจารย์ เวียงสหวัน ภัธวงค์ ผู้อ านวยการวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวง ค าม่วน ที่ได้ให้ค าแนะน าและตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยพร้อมทั้งให้โอกาสการท าวิจัยที่เป็น ประโยชน์ อาจารย์ ที่ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมจนส าเร็จลุล่วงไปด้วยดี นักศึกษากลุ่มตัวอย่างทุก ท่าน ที่ให้ความร่วมมือในการวิจัยและจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และเพื่อนๆที่ให้ความช่วยเหลือและเป็น ส่วนหนื่งในการจัดกิจกรรมจนส าเส็จ และมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่สนับสนุนทุนการศึกษาในการวิจัย ครั้งนี้

Souksathaphone Chanthamath

(10)

สารบัญ

หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ... ง บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ... ฉ กิตติกรรมประกาศ... ซ สารบัญ ... ฌ สารบัญตาราง ... ฏ สารบัญภาพ... ฑ

บทที่ 1 บทน า ... 1

1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ... 1

1.2 ค าถามการวิจัย... 4

1.3 วัตถุประสงค์การวิจัย ... 4

1.4 สมมติฐานการวิจัย ... 4

1.5 ขอบเขตการวิจัย ... 4

1.6 นิยามศัพท์เชิงปฏิบัติการ ... 6

1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ... 6

บทที่ 2 วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ... 8

2.1 องค์ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์และการปูองกัน ... 8

2.2 นโยบาย/มาตรการและโครงการปูองกันและแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ ... 17

2.3 หลักการและวิธีของการวิจัยกึ่งทดลอง ... 18

2.4 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวกับพฤติกรรม ... 20

2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง... 27

2.6 กรอบแนวคิดในการวิจัย ... 33

(11)

บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย ... 34

3.1 รูปแบบการวิจัย ... 34

3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ... 36

3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและการทดสอบเครื่องมือ ... 41

3.4 การหาคุณภาพของเครื่องมือ ... 50

3.5 ขั้นตอนการด าเนินการศึกษาวิจัย ... 51

3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล ... 51

3.7 การพิทักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่าง ... 52

บทที่ 4 ผลการศึกษา ... 53

4.1 บริบทของพื้นที่ศึกษา ... 53

4.2 ผลศึกษาพฤติกรรมการปูองกันโรคเอดส์ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวงค าม่วน ปีการศึกษา 2560 ... 54

4.3 ข้อมูลการศึกษาเปรียบเทียบความรู้ ทัศนคติ และความตั้งใจในการมีพฤติกรรมการปูองกันโรค เอดส์ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวงค าม่วน ปีการศึกษา 2560 ... 69

บทที่ 5 สรุปผล การอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ... 84

5.1 สรุปผลการวิจัย ... 84

5.2 อภิปรายผล ... 86

5.3 ข้อเสนอแนะ ... 89

บรรณานุกรม ... 91

ภาคผนวก... 95

ภาคผนวก ก เครื่องมือในการท าวิจัยชุดที่ 1 ... 96

ภาคผนวก ข เครื่องมือในการท าวิจัยชุดที่ 2 ... 106

ภาคผนวก ค เครื่องมือในการท าวิจัยภาษาลาว ชุดที่ 1 และชุดที่ 2... 116

ภาคผนวก ง ภาพกิจกรรมการเสริมสร้างพฤติกรรมในการปูองกันโรคเอดส์ ... 138

(12)

ฎ ประวัติผู้เขียน ... 143

(13)

สารบัญตาราง

หน้า ตารางที่ 1 จ านวนขนาดตัวอย่างที่ค านวณเปรียบเทียบกับประชากร จ าแนกตามรายชั้นปี ... 38 ตารางที่ 2 ลักษณะข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง (n =939) ... 55 ตารางที่ 3 ระดับระดับความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์และการปูองกัน ในเรื่องความหมาย สาเหตุ อาการ การติดต่อ การรักษา การปูองกันเชื้อโรคเอดส์ (n=939)... 59 ตารางที่ 4 จ านวนและร้อยละความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์และการปูองกัน (n=939) ... 60 ตารางที่ 5 ระดับทัศนคติเกี่ยวกับโรคเอดส์ เป็นการประเมินความคิดเห็น ความรู้สึก มุมมองของโรค และการปูองกัน (n=939) ... 61 ตารางที่ 6 ทัศนคติเกี่ยวกับโรคเอดส์การประเมินความคิดเห็น ความรู้สึก มุมมองของโรคและการ ปูองกัน ... 62 ตารางที่ 7 แสดงจ านวนและร้อยละระดับพฤติกรรมการปฏิบัติตนของนักศึกษา ในการปูองกันโรค เอดส์ หรือการเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ ... 65 ตารางที่ 8 จ านวนและร้อยละพฤติกรรมการปฏิบัติตนของนักศึกษา ในการปูองกันโรคเอดส์ หรือ การเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์(n=939) ... 66 ตารางที่ 9 จ านวนและร้อยละของข้อมูลทั่วไปในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ... 70 ตารางที่ 10 จ านวนและร้อยละระดับความรู้เรื่องโรคเอดส์และการปูองกันในกลุ่มทดลองและกลุ่ม เปรียบเทียบ ก่อนและหลังทดลอง ... 75 ตารางที่ 11 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้เรื่องโรคเอดส์และการปูองกัน ภายในกลุ่ม ทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ก่อนและหลังทดลอง ... 76 ตารางที่ 12 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้เรื่องโรคเอดส์และการปูองกัน ระหว่างกลุ่ม ทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ก่อนและหลังทดลอง ... 77 ตารางที่ 13 แสดงจ านวนและร้อยละระดับคะแนนทัศนคติเกี่ยวกับโรคเอดส์ เป็นการประเมินความ คิดเห็น ความรู้สึก มุมมองของโรคและการปูองกันในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ก่อนและหลัง ทดลอง ... 78

(14)

ตารางที่ 14 แสดงเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนทัศนคติเกี่ยวกับโรคเอดส์ เป็นการประเมินความ คิดเห็น ความรู้สึก มุมมองของโรคและการปูองกันภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ก่อนและ หลังทดลอง... 79 ตารางที่ 15 แสดงค่าเฉลี่ยของคะแนนทัศนคติเกี่ยวกับโรคเอดส์ เป็นการประเมินความคิดเห็น ความรู้สึก มุมมองของโรคและการปูองกันระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบก่อนและหลัง ทดลอง ... 80 ตารางที่ 16 แสดงจ านวนและร้อยละคะแนนความตั้งใจในการปฏิบัติตนเพื่อปูองกันโรคเอดส์ก่อน และหลังทดลอง ... 81 ตารางที่ 17 แสดงเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความตั้งใจในการปฏิบัติตนเพื่อปูองกันโรคเอดส์

หลังจากได้รับโปรแกรมการปูองกันโรคเอดส์ภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบก่อนและหลัง ทดลอง ... 82 ตารางที่ 18 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความตั้งใจในการปฏิบัติตนเพื่อปูองกันโรคเอดส์หลังจาก ได้รับโปรแกรมการปูองกันโรคเอดส์ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ก่อนและหลังทดลอง 83

(15)

สารบัญภาพ

หน้า ภาพประกอบที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย ... 33 ภาพประกอบที่ 2 ขั้นตอนการสุ่มตัวอย่าง... 39 ภาพประกอบที่ 3 ขั้นตอนการสุ่มตัวอย่างในการทดลอง ... 41

(16)

1 บทที่ 1

บทน า

1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา

โรคเอดส์เป็นโรคติดต่อในมนุษย์ที่เกิดจากไวรัสเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus : HIV) ที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายชนิด T-cell ท าให้เกิดความบกพร่อง เมื่อไวรัสมี

จ านวนมาก ท าให้ร่างกายอ่อนแอ เสี่ยงต่อการเจ็บปุวยและเกิดภาวะแทรกซ้อนด้วยโรคติดต่ออื่น จน มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ [WHO] (2017) อีกทั้งยังไม่สามารถท าการรักษาให้หายขาดหรือ ปูองกันได้ด้วยวัคซีน เป็นเพียงยาที่ช่วยควบคุมจ านวนไวรัสและปูองกันการติดเชื้อสู่ผู้อื่น จึงเป็น ปัญหาสาธารณสุขที่ส าคัญของทุกประเทศทั่วโลก ที่ต้องมีการจัดการให้เป็นระบบ เนื่องจากท าให้

เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของบุคคล สังคม และค่าใช้จ่ายในการรักษาของครอบครัวและสภาวะ เศรษฐกิจของประเทศอย่างมากมาย

จากรายงานสถานการณ์การระบาดของโรคเอดส์ขององค์การอนามัยโลก [WHO] (2017) พบว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 35 ล้านคน โดย 1 ล้านคนเสียชีวิตจากโรคร่วมและภาวะแทรกช้อน และ ประมาณการว่าเมื่อสิ้นสุดปี ค.ศ. 2016 จะพบผู้ติดเชื้อประมาณ 36.7 ล้านคน โดยเป็นผู้ติดเชื้อราย ใหม่ประมาณ 1.8 ล้านคนซึ่ง 54% เป็นผู้ใหญ่ 43% เป็นเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวีก าลังได้รับการรักษา ด้วยยาต้านไวรัสตลอดชีวิต (Antiretroviral therapy : ART) การคุ้มครองด้วยยา ART ทั่วโลก ส าหรับสตรีที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตรสูงถึง 76% ปัจจัยเสี่ยงส าคัญที่เป็นสาเหตุของการระบาดได้แก่

การมีพฤติกรรมชายรักชาย กลุ่มที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด กลุ่มนักโทษ กลุ่มผู้ขายและชื้อบริการทางเพศ และกลุ่มคนข้ามเพศ (Transgender people) ประเด็นปัญหาส าคัญในเชิงกฎหมายและสังคมที่ส่งผล ต่อการเข้าถึงบริการตรวจรักษา จากเป็นโรคที่มีความเปราะบาง (vulnerability to HIV) แต่อย่างไรก็

ตามเมื่อดูแนวโน้มของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในระหว่างปี ค.ศ. 2000–2016 พบว่าลดลง 39% ซึ่งเป็น ประสิทธิผลจากโปรแกรมการรักษาด้วยยาต้านไวรัส และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคอาเซียน มีชายแดนติดกับหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย มีประชากรประมาณ 6.8 ล้านคน โดย 60% มีอายุต่ ากว่า 25 ปีและ 30% เป็นวัยรุ่นอายุระว่าง 10- 24 ปี Nations (2016) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเอดส์ใน สปป.ลาว พบครั้งแรก ในปี ค.ศ.

1990 ในกลุ่มแรงงานย้ายถิ่น และตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบันพบว่าได้มีการระบาดในกลุ่ม ประชากรทั่วไป ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคเอดส์สูง จากการมีเพศสัมพันธุ์ในกลุ่มหญิงขายบริการทาง เพศ กลุ่มชายรักชาย กลุ่มติดยาเสพติด โดยเกือบ 60% เป็นเพศชายอายุระหว่าง 20-39 ปี

(17)

2 Sheridan (2009) การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ปูองกันเป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อเอชไอวีถึง 88% ใน ปี ค.ศ. 2015 มีผู้ปุวยติดเชื้อเอดส์จ านวน 8,168 คน ผู้หญิง 3,807 คน (47%) และผู้ชาย 4,361 (53%) พบว่า 408 คนเป็นเด็กอายุต่ ากว่า 15 ปีและ 7,760 คน มีอายุ 15 ปีขึ้นไปผู้ปุวยติดเชื้อเอชไอ วี 84% ส่วนใหญ่เป็นแขวงที่มีชายแดนติดกับแม่น้ าโขงได้แก่นครหลวงเวียงจันทน์ (40%) แขวง สะหวันนะเขต (21%) แขวงจ าปาสัก (13%) แขวงหลวงพระบาง (5% ) และแขวงค าม่วน (4%) เป็น เมืองใหญ่ที่มีประชากรกลุ่มเสี่ยงมากที่สุดตามแม่น้ าโขง แขวงเหล่านี้มีการอพยพข้ามพรมแดนอย่าง มากส าหรับประชากรลาวและแรงงานข้ามชาติ การเคลื่อนไหวในประเทศเพื่อนบ้านที่มีอัตราการแพร่

ระบาดของเชื้อเอชไอวีสูงมากท าให้การโยกย้ายถิ่นเป็นไปได้มากขึ้นต่อการระบาดการติดเชื้อเอชไอวี

ในประเทศลาว2 ซึ่งจากข้อมูลรายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่ามีอัตราชุกค่อนข้างต่ า มีแนวโน้ม เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยใน ปี ค.ศ. 2010 พบ 0.3% (0.2-0.3) [WHO] (2017) เช่นเดียวกับจากรายงาน ของศูนย์ต้านเอดส์และพยาธิติดเชื้อทางเพศสัมพันธุ์ (ปี ค.ศ. 2015) คาดประมาณว่า แต่ละปีจะพบผู้

ติดเชื้อรายใหม่ประมาณ 1,000 คน แต่มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ จากปี ค.ศ. 1990-2020 เมื่อดูจ านวน ผู้ปุวยสะสมพบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆโดยในปี ค.ศ.2015พบว่ามีผู้ปุวยเอดส์สะสม 13,000- 14,000คน ซึ่งได้รับยาARTเพียง 7,000คน และคาดประมาณความชุกในปี ค.ศ. 2016 พบในกลุ่ม เสี่ยง กลุ่มหญิงขายบริการทางเพศมีประมาณ 15,340 คน กลุ่มชายรักชายมีประมาณ 58,320คน กลุ่มใช้ยาเสพติดชนิดฉีดมีประมาณ 1,317คน Nations (2016) และแขวงค าม่วนอยู่ในภาคกลางของ สปปลาว ประกอบด้วย 10 อ าเภอ มีชายแดนติดกับประเทศไทยและประเทศเวียดนาม มีประชากร 392,100 คน เป็นหญิงมากกว่าชายเล็กน้อยในสัดส่วน1.2:1 โดย 70% อายุระหว่าง15-49 ปี 50% มี

อาชีพเกษตรกร และรับจ้างทั่วไป47 ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเอดส์ปี ค.ศ. 2016 มี

จ านวน 271คน โดย 92% อยู่ในกลุ่มอายุ 15 ปีขึ้นไป เกือบครึ่งเป็นผู้ปุวยรายใหม่และ 90% เข้าถึง ยา ART แต่จากการรายงานจ านวนผู้ปุวยล่าสุดตั้งแต่เดือนมกราคม – สิงหาคมปี ค.ศ.2017 มีจ านวน เพิ่มขึ้น14%(309 คน) และผู้ปุวยรายใหม่เพิ่มขึ้น22% (145 คน) ในกลุ่มอายุ<15 ปี 24 คน ชาย 12 คน หญิง 12 คน อายุ>15 ปี 285 คน หญิง 153 คน ชาย 132 คน(ศูนย์ต้านเอดส์แขวงค าม่วน:ปี

2016)47

พัฒนาการของวัยรุ่นตอนปลายถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตเป็นวัยที่มีการ เปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่มีการเจริญเติบโต (ทั้งขนาดและประสิทธิภาพทางเพศ) ด้านอารมณ์ สังคม จิตใจ แม้จะมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น อัญชลี ภูมิจันทึก และ รุจิรา ดวงสงค์ (2554) แต่สิ่งแวดล้อม ทางสังคมและการได้รับการเลี้ยงดู ความสัมพันธ์และการได้รับการตอบสนองจากครอบครัว สังคม มี

ผลต่อการปรับตัวและการแสดงพฤติกรรม ยังมีอยากรู้อยากเห็น อยากทดลอง ชอบเลียนแบบเพื่อน/

ตัวแบบ/สื่อ รวมทั้งปัจจุบันข้อมูลข่าวสารสามารถเข้าถึงได้สะดวกตลอดเวลาและไร้พรมแดน

(18)

3 มีสิ่งยั่วยุ กระตุ้นอารมณ์ทั้งในสื่อและสถานบันเทิงต่างๆมากขึ้นจึงอาจมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการมี

เพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยได้

จากรายงานการส ารวจดัชนีหมายของสังคมลาวพบว่าวัยรุ่นอายุ 15-19ปี ชาย 21% และ หญิง 27% มีเพศสัมพันธ์ในช่วง 12 เดือนก่อนการส ารวจและเพิ่มขึ้น 70% ในกลุ่มอายุ 20-24 ปี

และมีการประเมินหลักสูตรทักษะชีวิตของนักเรียนชั้นมัธยมตอนปลายพบว่า 90% เคยดื่มแอลกอฮอล์

เป็นนักเรียนชาย 53% และหญิง 16% และเริ่มดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่อายุ 13 ปีขึ้นไปและในการศึกษา ครั้งนี้ยังพบพฤติกรรมเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่

ปูองกันอีกด้วยซึ่งวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวงค าม่วน เป็นสถาบันที่จัดการเรียนการสอนด้านอาชีพ กว่า 21 สาขา ทั้งหลักสูตรปกติและพิเศษภาคค่ า ที่มีจ านวนนักศึกษาที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนกลางถึง ตอนปลายเกือบ 3,000คนในแต่ละปีและตั้งอยู่ในเขตเมืองที่มีแหล่งบันเทิง ร้านคาราโอเกะ และ บางส่วนอาศัยในหอพักกับเพื่อนและไม่เคยมีการศึกษาพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับการปูองกัน โรคเอดส์มาก่อน ดังนั้นหากมีโครงการที่วัยรุ่นสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่ส าคัญและมีทักษะ ชีวิตในการเผชิญกับปัญหาต่างๆ และสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสมมีแรงจูงใจใฝุสัมฤทธิ์สูงย่อม ด าเนินชีวิตได้ส าเร็จตามเปูาหมายได้ นอกจากนี้จากการศึกษาพฤติกรรมการปูองกันโรคเอดส์ของ นักเรียนชายระดับมัธยมศึกษาของ สปป.ลาว พบว่าส่วนใหญ่มีความรู้ในระดับดีมาก ยกเว้นใน ประเด็นช่องทางการติดต่อเชื้อเอชไอวียังเข้าใจว่าโรคเอดส์สามารถติดต่อผ่านทางการดื่มน้ าจากแก้ว เดียวกัน ใส่เสื้อผ้าหรือใช้ห้องน้ าร่วมกัน โดยมีความรู้ถูกต้องเพียง 50-60% และติดต่อจากยุงกัดตอบ ถูกเพียง 22% ส่วนทัศนคติเชิงบวกต่อโรค พบเพียง 56%ด้านพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรค พบว่าเคยมี

เพศสัมพันธ์ 31% โดย 70% ใช้ถุงยางอนามัย แต่มีเพียง 44% ที่ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ าเสมอและ พบว่าการมีความรู้เรื่องโรคเอดส์ในระดับปานกลางและสูง6 และผลการศึกษาความตั้งใจในการมี

เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยในการปูองกันการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ในกลุ่มนักเรียนมัธยมตอนปลายท่าแขก แขวงค าม่วน พบเพียง 64%และ 71% มีบรรทัดฐานของบุคคลอ้างอิงที่มีความส าคัญต่อนักเรียนใน เรื่องการปูองกันการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ในระดับดี และมีเพียง 18% ของนักเรียนที่มีการพูดคุยกับ พ่อแม่ในเรื่องการปูองกันโรค และ 42% ของนักเรียนมีทัศนคติที่ดีในการปูองกันการติดเชื้อ7 เมื่อ เทียบกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงแม้ว่า สปป.ลาว จะมีอัตราชุกที่ต่ ากว่าแต่ด้วยสภาพทาง ภูมิศาสตร์ที่ไปมาหาสู่กันง่ายขึ้น นโยบายเสริมสร้างการท่องเที่ยว AEC ท าให้มีการเคลื่อนย้ายสูง และ มีโอกาสเสี่ยงจากการมีพฤติกรรมทางเพศแบบไม่ปูองกัน ส่งผลต่อการแพร่ระบาดเชื้อเอชไอวี/เอดส์

มากขึ้น ดังนั้นจึงได้ท าการศึกษาวิจัยพฤติกรรมปูองกันเอดส์ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวงค าม่วน และทดลองการใช้โปรแกรมสร้างเสริมความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติเพื่อปูองกันการ ติดเชื่อเอชไอวี/เอดส์เพื่อให้ทราบสถานการณ์ปัญหาของพฤติกรรมปูองกันเอดส์ และพัฒนาเครื่องมือ ที่เหมาะสมในการเรียนรู้และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการปูองกันโรคเอดส์ของวัยรุ่นต่อไป

(19)

4 1.2 ค าถามการวิจัย

พฤติกรรมในการปูองกันโรคเอดส์ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวงค าม่วน ปี

การศึกษา2560 เป็นอย่างไร? และผลของการประเมินความตั้งใจและพฤติกรรมในการปูองกันโรค เอดส์หลังได้รับโปรแกรมการเรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นอย่างไร?

1.3 วัตถุประสงค์การวิจัย 1.3.1 วัตถุประสงค์ทั่วไป

เพื่อศึกษาพฤติกรรมการปูองกันโรคเอดส์ และผลของโปรแกรมเสริมสร้างการเรียนรู้

ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวงค าม่วน ปีการศึกษา 2560 1.3.2 วัตถุประสงค์เฉพาะ

1) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติเพื่อปูองกันโรคเอดส์ของ นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวงค าม่วน ปีการศึกษา 2560

2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความรู้ ทัศนคติ และความตั้งใจในการปฏิบัติเพื่อปูองกันโรค เอดส์ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวงค าม่วน ปีการศึกษา 2560 ภายหลังได้รับโปรแกรม เสริมสร้างการเรียนรู้ของกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ

1.4 สมมติฐานการวิจัย

1. โปรแกรมเสริมสร้างการเรียนรู้ ความรู้ ปรับทัศนคติ และความตั้งใจในการปฏิบัติเพื่อ ปูองกันโรคเอดส์ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวงค าม่วน ปีการศึกษา 2560 ภายในกลุ่มสูง กว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ

2. โปรแกรมเสริมสร้างการเรียนรู้ ความรู้ ปรับทัศนคติ และความตั้งใจในการปฏิบัติเพื่อ ปูองกันโรคเอดส์ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวงค าม่วน ปีการศึกษา 2560 ระหว่างกลุ่ม ทดลองสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ

1.5 ขอบเขตการวิจัย

ด้านเนื้อหาและวิธีการ

โดยการศึกษาพฤติกรรมการปูองกันโรคเอดส์ และมีการพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างความรู้ ปรับ ทัศนคติ และเปลี่ยนพฤติกรรมการปูองกันโรคเอดส์ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรม1) สร้างความตระหนัก

(20)

5 โดยการวิเคราะห์ปัญหาศึกษาสถานการณ์ของโรคร่วมกัน 2) สาระความรู้เกี่ยวกับโรคโดยการให้

ความรู้เกี่ยวกับโรค สาเหตุ อาการ การติดต่อ การวินิจฉัย การรักษารวมถึงการปูองกันโรค 3) สอน และสาธิตการใช้ถุงยางอนามัยในการปูองกันโรค 4) ฝึกทักษะในการแก้ไขปัญหาร่วมกันโดยสร้าง สถานการณ์จ าลองเพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ร่วมกันวิเคราะห์ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน 5) ฝึกทักษะ ในการปฏิเสธเพื่อหลีกเลี่ยงเพื่อสร้างแนวทางในการแก้ไขหรือมาตรการในโรงเรียนร่วมกัน

ด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

1.5.1 การศึกษาพฤติกรรมการป้องกันเอดส์

ประชากรที่ใช้ในการศึกษาได้แก่นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวงค าม่วน ปีการศึกษา 2560 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ แขวงค าม่วน สปป.ลาว ทั้ง 3 หลักสูตรจาก 21 สาขา ปีการศึกษา 2560 จ านวน 2,734 คน

กลุ่มตัวอย่างได้แก่อาสาสมัครที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้าที่ได้รับการสุ่มอย่าง เป็นขั้นตอน (Multistage random sampling) จากประชากร โดยมีการค านวณขนาดตัวอย่างแบบ ประมาณการค่าเฉลี่ยประชากร กรณีที่ทราบจ านวนประชากรและเผื่อส าหรับปูองกันสูญหายระหว่าง ท าการศึกษารวมทั้งสิ้น 938 คนและสุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่ายตามสัดส่วนของประชากรในแต่ละหลักสูตร โดยมีขั้นตอนในการสุ่ม ดังนี้

1.เปรียบเทียบสัดส่วนระหว่างประชากรเปูาหมายและจ านวนกลุ่มตัวอย่างของแต่ละ ชั้นปี โดยให้กลุ่มตัวอย่างกระจายตามสัดส่วนของจ านวนประชากร เพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างเป็นตัว แทนที่ดีของประชากร แยกรายชั้นปีและเลือกตัวอย่างที่ได้จากการเปรียบเทียบสัดส่วน

2.น ารายชื่อห้องของแต่ละสาขามาสุ่มโดยวิธีสุ่มอย่างง่าย (simple random sampling) มาท าการฉลากแบบไม่ใส่คืนจนได้กลุ่มตัวอย่างครบตามจ านวนที่ต้องการ แล้วให้ท า แบบสอบถาม

1.5.2 การศึกษาผลของการใช้โปรแกรมการเรียนรู้เพื่อป้องกันโรคเอดส์

ในการศึกษาครั้งนี้ใช้กลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มละ 50คน โดยมีการ ค านวณขนาดตัวอย่างแบบเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยในประชากรสองกลุ่ม กรณีที่ทราบจ านวนประชากร

ด้านระยะเวลาระหว่าง 10-11 มิถุนายน ปี พ.ศ. 2560

เริ่มด าเนินกิจกรรมตามขั้นตอนการด าเนินงาน หลังจากได้รับการพิจารณาอนุมัติจริยธรรม การวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามและหลังจากได้รับอนุญาตจากผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้อง ของแขวงค าม่วน สปป.ลาว

(21)

6 ด้านพื้นที่

แบ่งเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มทดลองใช้พื้นที่วิทยาลัยเทคนิคการอาชีพในแขวงค าม่วน และกลุ่ม เปรียบเทียบจากวิทยาลัยเทคนิคการอาชีพแห่งที่ 2 ที่ตั้งห่างออกไป 22 กิโลเมตร โดยเลือกห้องใน สาขาเดียวกัน

1.6 นิยามศัพท์เชิงปฏิบัติการ

1.6.1 โรคเอดส์ หมายถึง กลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายเสื่อม หรือบกพร่อง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส HIV (Human Immuno-deficiency Virus) สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทาง เลือด สารคัดหลั่ง และจากแม่สู่ลูกผ่านทางรก

1.6.2 นักศึกษา หมายถึง บุคคลที่ก าลังศึกษาในหลักสูตรของวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพ ในระบบ การเรียนแบบ ปวส. ปวช.ทั้ง 3 ชั้นปี ทุกสาขา ปีการศึกษา 2560 ในแขวงค าม่วน ประเทศลาว

1.6.3 พฤติกรรมในการปูองกันเอดส์ หมายถึง ความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัติ โดยการด าเนิน ชีวิตประจ าวันของนักศึกษาที่ไม่เสี่ยงหรือส่งผลต่อการน าไปสู่การรับเชื้อเอดส์

1.6.4 ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวโรค สาเหตุการเกิด การ ติดต่อ การตรวจวินิจฉัย การดูแลรักษา และการปูองกันการติดเชื้อเอชไอวี

1.6.5 ทัศนคติ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ เกี่ยวกับโรคเอดส์และการปูองกันการ ติดต่อและการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น

1.6.6 โปรแกรมเสริมสร้างการเรียนรู้ หมายถึง การออกแบบกิจกรรม/เครื่องมือหรืออุปกรณ์

เพื่อให้กลุ่มเปูาหมายมีความรู้ในการปูองกันเชื้อโรคเอดส์ที่ถูกต้องเหมาะสมมีทัศนคติที่ดีต่อการ ปูองกันโรคและมีความตั้งใจในการมีพฤติกรรมปูองกันโรคเอดส์โดยมีการปรับปรุงมาจากงานวิจัยที่มี

ความเกี่ยวข้องและผลการศึกษาที่มีความแตกต่างอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติระหว่างก่อนและหลังการ ทดลองและระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มเปรียบเทียบ โดยมีการอบรมจ านวน 2 วัน 8 กิจกรรม

1.6.7 ความตั้งใจในการมีพฤติกรรมปูองกันโรคเอดส์ หมายถึง สิ่งที่นักศึกษามีความตั้งใจและ คาดหวังว่าจะมีพฤติกรรมในการปูองกันโรคเอดส์ โดยมีการวัดหลังการเข้าร่วมโปรแกรม

1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

1.7.1 ใช้เป็นข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์พฤติกรรมปูองกันเอดส์ เสนอหน่วยงาน/สถาบันที่

เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในการวางแผน/ออกแบบกิจกรรมโครงการในการแก้ไขปัญหาโรคเอดส์

(22)

7 1.7.2 น าโปรแกรมมาใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมปูองกันโรคเอดส์ในวัยรุ่นทั้งในระบบทีมี

ลักษณะคล้ายกลุ่มที่ศึกษา

(23)

8 บทที่ 2

วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

การวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาพฤติกรรมการปูองกันโรคเอดส์และผลของโปรแกรมการเรียนรู้เพื่อ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการปูองกันโรคเอดส์ ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพแขวงค าม่วนปี

การศึกษา 2560 ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร ต ารา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อน ามาเป็นแนวทางใน การศึกษา ดังนี้

2.1 องค์ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์และการปูองกัน ประกอบด้วย 2.1.1 สาเหตุของการเกิดโรคและการติดต่อ

2.1.2 ผลกระทบของโรคต่อสุขภาพและสังคม 2.1.3 การวินิจฉัยและการรักษา

2.1.4 การปูองกันโรคเอดส์

2.2 นโยบาย/มาตรการและโครงการปูองกันและแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ ประกอบด้วย 2.2.1 ระดับโลก

2.2.2 สปป.ลาวและแขวงค าม่วน 2.3 หลักการและวิธีวิจัยแบบกึ่งทดลอง 2.4 แนวคิด/ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.6 กรอบแนวคิดในการวิจัย

2.1 องค์ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์และการป้องกัน ความหมายของโรคเอดส์

โรคเอดส์ (AIDS) ย่อมาจาก Acquired Immuno Deficiency Syndrome โดย A Acquired หมายถึง ภาวะที่เกิดขึ้นภายหลัง มิได้เป็นมาแต่ก าเนิดหรือสืบทอดทางกรรมพันธุ์

I - Immuno หมายถึง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย D - Deficiency หมายถึง ความบกพร่อง เสื่อม

S - Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการ คือ มีอาการหลาย ๆ อย่างไม่เฉพาะที่ระบบใดระบบ หนึ่งได้มีการกล่าวถึงความหมายของโรคเอดส์ไว้ ดังนี้

(24)

9 องค์การอนามัยโลก [WHO] (2017) ได้ให้ความหมายว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV) เป็นเปูาหมายท าลายระบบภูมิคุ้มกันและท าให้ระบบการปูองกันลดลงจากการติดเชื้อ เนื่องจากไวรัสท าลายและยับยั้งการท างานของเซลล์ภูมิคุ้มกันท าให้บุคคลที่ติดเชื้อค่อยๆกลายเป็นผู้ที่

มีภูมิคุ้มกันบกพร่องโดยทั่วไปจะวัดโดยการนับเซลล์ CD4

สถาพร มานัสสถิต (2538) กล่าวได้ว่า โรคเอดส์เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกายจะมีการฟักตัวอยู่ระยะหนึ่งซึ่งอาจกินเวลาหลายปีโดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ต่อมาไวรัสจะมีการเพิ่มจ านวนมากขึ้นจนสามารถท าลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย จนในที่สุดร่างกายจะ ไม่สามารถปูองกันตนเองจากการติดเชื้อโรคท าให้เกิดโรคติดเชื้ออื่นๆ แทรกซ้อนเข้ามาได้ง่าย และ ปรากฏเป็นโรคเอดส์ขึ้น นอกจากนี้ในบางรายยังอาจเกิดมะเร็งบางชนิดได้ ผลสุดท้ายคนไข้จะเสียชีวิต ในเวลาไม่นานนัก โดยที่ในขณะนี้ยังไม่มียาใดๆ ที่จะสามารถรักษาให้หายขาดและไม่มีวัคซีนปูองกัน

กระทรวงสาธารณสุข (2542) ให้ความหมายไว้ว่า เอดส์เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจาก การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งจะเข้าไปท าลายเม็ดเลือดขาว แหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ท าให้ติดโรคชนิด อื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ

อาการจะรุนแรง และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว

สรุปความหมายโรคเอดส์ได้ว่า เป็นกลุ่มอาการของโรคฉวยโอกาสที่เกิดขึ้นหลังจากเข้าไป ท าลายภูมิคุ้มท าให้ภูมิคุ้มกันเสื่อมหรือบกพร่องซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวีที่เข้าไปท าลายเม็ดเลือด ขาวแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค อาการจะรุนแรงและเสียชีวิตในที่สุด

2.1.1 สาเหตุของการเกิดโรคและการติดต่อ

เอดส์ หรือกลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม (acquired immunodeficiency syndrome - AIDS) เป็นโรคของระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (human immunodeficiency virus, HIV) ท าให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ปุวยมีการท างานบกพร่องเสี่ยงต่อการ ติดเชื้อฉวยโอกาส

พิไลพันธ์ พุธวัฒนะ (2541) ได้แบ่งเชื้อไวรัสเอชไอวีมีคุณสมบัติที่ส าคัญ คือ

1. มีสายพันธุกรรม (Genome) เป็นอาร์เอ็นเอสายเดี่ยว (Single - stranded RNA) จ านวน2 สายพันธุ์

2. มีเอ็นไซม์ รีเวิส์สทรานสคริปเตส (Reverse transcriptase) ท าหน้าทีสร้างดีเอ็นเอ (Deoxyribo nucleic acid หรือ DNA) เข้าไปแฝงตัวเชื่อมกับดีเอ็นเอมนุษย์ (Host DNA) ในเม็ด เลือดขาวชนิด ลิมไฟโซต์ (Lymphocyte) หรือเซลล์อย่างอื่นของมนุษย์

3. มีไอโคซาฮีดรอลแคปชิด (Icosaheadral capsid) ล้อมรอบด้วยเปลือกหุ้ม (Envelope) ซึ่งมีส่วนโปรตีนยื่นออกไปโดยรอบ (spike)

Referensi

Dokumen terkait

Of these, 15,224 4,719 households from the DRC, 1,620 478 households from Zambia and 182 79 households from the Republic of Congo.9 In May 2013, following a Cabinet decision, the South