• Tidak ada hasil yang ditemukan

SURVEY OF MUSLIM OPINION ON MIXTURE BETWEEN MEN AND WOMEN DURING THE WORKING IN NORTH KALUWO DISTRICT, NARATHIWAT PROVINCE / ส ำรวจระด ับควำมคิดเห็ นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะปนระหว่ำงช ำยหญิงในช่วงกำรท ำงำนในพื้นที ่ต ำบลกะลุวอเหนื อ จ ังหว ัดนรำธิวำส

N/A
N/A
Protected

Academic year: 2023

Membagikan "SURVEY OF MUSLIM OPINION ON MIXTURE BETWEEN MEN AND WOMEN DURING THE WORKING IN NORTH KALUWO DISTRICT, NARATHIWAT PROVINCE / ส ำรวจระด ับควำมคิดเห็ นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะปนระหว่ำงช ำยหญิงในช่วงกำรท ำงำนในพื้นที ่ต ำบลกะลุวอเหนื อ จ ังหว ัดนรำธิวำส"

Copied!
20
0
0

Teks penuh

(1)

MEN AND WOMEN DURING THE WORKING IN NORTH KALUWO DISTRICT, NARATHIWAT PROVINCE

ตัรมีซี สำและ

1

, นูรมี เซ็ง

2

Tarmisi Salaeh1, Nurmee Seng2

บทคัดย่อ

กำรศึกษำวิจัยนี้เป็นกำรวิจัยเชิงส ำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึ ก ษ ำ บ ท บัญ ญัติ อิ ส ล ำ ม ว่ ำ ด้ ว ย ก ำ ร ป ะ ป น ร ะ ห ว่ ำ ง ช ำ ย ห ญิ ง 2 ) ส ำรวจระดับควำมคิดเห็นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงใ น ช่ ว ง ก ำ ร ท ำ ง ำ น ใ น พื้ น ที่ต ำ บ ล ก ะ ลุ ว อ เ ห นื อ จัง ห วัด น ร ำ ธิ ว ำ ส โดยท ำกำรศึกษำค้นคว้ำข้อมูลจำกอัลกุรอำน อัลฮะดีษ หนังสือต ำรำ เ อ ก ส ำ ร วิ ช ำ ก ำ ร แ ล ะ ง ำ น วิ จั ย ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง และเก็บข้อมูลเชิงส ำรวจของผู้ตอบแบบสอบถำมจำกกลุ่มตัวอย่ำงคือ ประชำกรมุสลิมที่อำศัยอยู่ในพื้นที่ต ำบลกะลุวอเหนือ จังหวัดนรำธิวำส จ ำนวน

3 0 1 ค น

คัดเลือกโดยวิธีกำรสุ่มอย่ำงง่ำยหำค่ำควำมเชื่อมั่นด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟำของค ร อ น บ ำ ค มี ค่ ำ เ ท่ ำ กั บ 0 . 9 9 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถำมแล้วน ำมำวิเครำะห์ค่ำร้อยละ ค่ำเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน

ผ ล ก ำ ร วิ จั ย พ บ ว่ ำ 1) ก ลุ่ ม ตั ว อ ย่ ำ ง ส่ ว น ใ ห ญ่ ร ะ บุ ว่ ำ บ ทบัญญัติอิส ล ำ ม ไ ม่มี ข้อ อ นุ ญ ำต ใ ห้มี ก ำร ป ะ ป นร ะ ห ว่ำ ง ช ำ ย ห ญิง เ ว้ น แ ต่ มี เ ห ตุ จ ำ เ ป็ น เ ท่ ำ นั้ น ด้วยเพรำะกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงนี้จะน ำไปสู่ฟิตนะฮ์รวมถึงกำรห้ำมไม่ให้

ม อ ง ซึ่ ง กั น แ ล ะ กั น ที่ ไ ม่ ใ ช่ ม ะ ฮ์ ร อ ม อีกทั้งอิสลำมได้ส่งเสริมให้ชำยหญิงได้ครองตนตำมกรอบของศำสนำอิสลำมที่ไ ด้ ก ำ ห น ด ไ ว้ อ ย่ ำ ง เ ค ร่ ง ค รั ด 2) กำรส ำรวจระดับควำมคิดเห็นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะปนระหว่ำงชำยห

1 . ผู้ ช่ ว ย ศ ำ ส ต ร ำ จ ำ ร ย์ ด ร . , ส ำ ข ำ วิ ช ำ อิ ส ล ำ ม ศึ ก ษ ำ , ส ถ ำ บัน อิ ส ล ำ ม แ ล ะ อ ำ ห รับ ศึ ก ษ ำ มหำวิทยำลัยนรำธิวำสรำชนครินทร์

2 . นักศึกษำ, สำขำวิชำอิสลำมศึกษำ, สถำบันอิสลำมและอำหรับศึกษำ มหำวิทยำลัยนรำธิวำสรำชนครินทร์

1 . Assistant Professor Dr., Department of Islamic Studies, Academy of Islamic and Arabic Studies, Princess of Naradhiwas University.

2. Student, Department of Islamic Studies, Academy of Islamic and Arabic Studies, Princess of Naradhiwas University.

(2)

2

ญิงในช่วงกำรท ำง ำน ในพื้นที่ต ำบล กะลุ วอเ หนื อ จังหวัดนรำธิว ำส โดยรวมอยู่ในระดับมำก คิดเป็นค่ำเฉลี่ย 4.12 และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน 0.84 แ ล ะ ผ ล ก ำ ร วิ จั ย นี้ ยั ง ชี้ ใ ห้ เ ห็ น อี ก ว่ ำ ประชำชนมุสลิมที่นับถือศำสนำอิสลำมได้ให้ควำมส ำคัญต่อประเด็นกำรปะปน ระหว่ำงชำยหญิงในช่วงกำรท ำงำน แม้นยำกจะหลีกเลี่ยงในสังคมยุคปัจจุบัน

จึงจ ำเป็นต้องครองตนอย่ำงเหมำะสมในระหว่ำงกำรท ำงำนตำมกรอบและขอบเขตของหลัก กำรศำสนำอิสลำมที่ได้ก ำหนดไว้เป็นอย่ำงดี

ค ำส ำคัญ : กำรปะปนระหว่ำงชำยหญิง ช่วงกำรท ำงำน ต ำบลกะลุวอเหนือ

Abstract: This is a survey research of which objectives were to 1) Study the Islamic provisions about mixing between men and women 2) Survey the opinion of Muslims about mixture between men and women during the working in North Kaluwo District, Narathiwat Province. Data were obtained information from Quran, Al- Hadith, books, Academic documents and related research, and collecting data from Muslims population living in North Kaluwa District NarathiwatProvince, and qualitative interviewees total of 301 respondents selected by a simple random method, the confidence value was obtained by Cornbrash’s alpha coefficient was 0.99. The data then was analyzed into percentage, mean and standard deviation. The findings revealed that 1) the most of the samples indicated that The Islamic provisions do not permit the mixing of men and women. Unless there is only a necessity because this mingles between men and women lead to fitnah, including the prohibition of looking at each other that is not Mahrom. In addition, Islam encourages men and women to own themselves in accordance with the established Islamic framework strictly 2) Opinion survey of the Muslim population on mixed-gender mingles during working in the North Kaluwo district Narathiwat Province Overall is at a high level. This is the mean 4.12 and standard deviation of 0.84. The results of this research also suggest that The Muslim community of Islam has made a point of concern to the issue of mixed-up between men and women during their work. Although difficult to avoid in today's society hence, it is imperative to hold ourselves appropriately during the work in accordance with the well-defined framework and scope of Islamic principles.

Keywords:Mixture between men and women, Working range, North Kaluwo District.

ควำมเป็นมำและควำมส ำคัญของปัญหำ

ก ำ ร ป ะ ป น ร ะ ห ว่ ำ ง ช ำ ย ห ญิ ง โ ด ย ห ลั ก ก ำ ร แ ล้ ว ไม่ถือเป็นสิ่งที่ถูกห้ำมโดยสิ้นเชิง ไม่ว่ำจะ พบเจอในสถำนที่ใดก็ตำม แ ต่ จ ำ เ ป็ น ต้ อ ง ด ำ ร ง อ ยู่ ใ น ข อ บ เ ข ต ที่ ถู ก ก ำ ห น ด ที่ ไ ม่ เ กิ น เ ล ย แ ล ะ ต้ อ ง ไ ม่ ลื ม ถึ ง ธ ร ร ม ช ำ ติ ข อ ง ทั้ง ส อ ง เ พ ศ ( ช ำ ย แ ล ะ ห ญิ ง ) ใ ห้ ค ร อ ง ต น อ ยู่ ใ น ค ำ ส อ น ข อ ง ห ลั ก ก ำ ร ท ำ ง ศ ำ ส น ำ อิ ส ล ำ ม ดังควำมข้ำงต้นนี้ยังสำมำรถใช้ได้ตรำบเท่ำที่เจตนำรมณ์ของกำรพบปะกันมีคว ำ ม ป ร ะ ส ง ค์ ข อ ง ก ำ ร พ บ ป ะ ใ น สิ่ ง ที่ เ ป็ น ค ว ำ ม ดี ง ำ ม เ ช่ น กำรพบปะเพื่อกำรแสวงหำองค์ควำมรู้ที่ดีงำม มีคุณค่ำและเป็นประโยชน์

ห รื อ แ ม้ แ ต่ ก ำ ร พ บ ป ะ ใ น ช่ ว ง ข อ ง ก ำ ร ท ำ ง ำ น ที่ ดี

หรือกำรท ำโครงกำรเพื่อกำรกุศล หรือภำระหน้ำที่แห่งกำรญิฮำด และท ำอื่นๆ เ ป็ น ต้น ซึ่ ง ก ำ ร ร่ว ม มื อ แ ล ะ กำ ร ท ำ ง ำ น ร่ว ม กัน ข อ ง เ พ ศ ทั้ง ส อ ง นั้น รวมถึงกำรติดต่อสัมพันธ์กันระหว่ำงชำยหญิงต้องอยู่บนพื้นฐำนแห่งควำมดีงำ ม พ ร้อ ม จ ำเ ป็นต้อง เคร่งครัดในกำรป ฏิบัติตำมค ำสอ นของศำสนำ และทั้งสองฝ่ำยจะต้องปฏิบัติตัวภำยใต้กฎเกณฑ์ที่ว่ำด้วยกำรระงับกำรชำยสำย ตำจ้องมองแบบยำวนำน และต้องไม่มีกำรมองกันด้วยสำยตำที่สื่อถึงควำมใคร่

(3)

3

( ยู ซุ ฟ อั ล ก็ อ ร ฎ อ วี ยฺ , 2549) ดั ง ที่ อั ล ล อ ฮฺ ( ซ . บ . ) ได้ทรงตรัสไว้ในโองกำรหนึ่งว่ำ

ควำมว่ำ “จงกล่ำวเถิดมุฮัมมัด (ศ.ล.) แก่บรรดำผู้ศรัทธำชำย ใ ห้ พ ว ก เ ข ำ ล ด ส ำ ย ต ำ ข อ ง พ ว ก เ ข ำ ล ง ต ่ ำ และให้พวกเขำรักษำอวัยวะเพศของพวกเขำ นั่นเป็นกำรบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขำ แท้จริงอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขำกระท ำ และจงกล่ำวเถิดมุฮัมมัด (ศ.ล.) แก่บรรดำผู้ศรัทธำหญิง ให้พวกเธอลดสำยตำของพวกเธอลงต ่ำ แ ล ะ ใ ห้ พ ว ก เ ธ อ รั ก ษ ำ ท ว ำ ร ข อ ง พ ว ก เ ธ อ และอย่ำเปิดเผยเ ครื่อง ประ ดับ ของพว กเ ธอเว้นแ ต่สิ่ง ที่เ ปิดเ ผยไ ด้ ” (ซูเรำะห์อันนูร, 24: 30-31)

จำกโองกำรดังกล่ำวข้ำงต้นสรุปได้ว่ำ : ไม่ว่ำจะเป็นชำยหรือหญิงก็ตำม เมื่อพวกเขำเจอกันให้ทั้งสองฝ่ำยลดสำยตำลงต ่ำหรือห้ำมจ้องตำกันนั้นเอง เพรำะกำรจ้องตำกันจะท ำให้เกิด ควำมรู้สึกที่ไม่ดีได้ อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ท ร ง ร อ บ รู้ ใ น ทุ ก ๆ ก ำ ร ก ร ะ ท ำ ข อ ง เ ร ำ และส ำหรับผู้หญิงจงปกปิดเอำรัตของนำงให้ดี ก็คือ ให้รักนวลสงวนตัว และเปิดเผยในสิ่งที่ควรเปิดเผยเท่ำนั้น

อิสลำมมีทั้งผู้ชำยและผู้หญิงโดยพื้นฐำนเดิมแล้วฝ่ำยชำยก็ท ำงำนกับผู้ช

ำ ย

ฝ่ำยหญิงก็ท ำงำนกับผู้หญิงจะไม่มีกำรเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันยกเว้นกรณีที่มีคว ำมจ ำเป็นที่จะต้องติดต่อ เช่น ต้องติดต่อประสำนงำนระหว่ำงกันโดยทั่วไป กำรค้ำขำยที่อำจจะต้องมีกำรแลกเปลี่ยนสินค้ำ มีกำรพูดคุยกันเท่ำที่จ ำเป็น หรือกำรรักษำพยำบำล ที่อำจมีกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิง เป็นต้น อันนี้ถือเป็นที่อนุโลม แต่โดยพื้นฐำนเดิมแล้ว คือต่ำงคนต่ำงท ำงำน ต่ ำ ง ค น ต่ ำ ง รับ ผิ ด ช อ บ แ ล ะ ป ร ะ ส ำ น ง ำ น กัน ไ ด้ เ ท่ ำ ที่ จ ำ เ ป็ น หมำยถึงว่ำผู้ชำยก็ท ำในส่วนของผู้ชำยไปเลย ไม่ต้องตั้งเป้ำว่ำจะท ำงำนร่วมกัน ( น ำ อี ม ว ง ศ์ เ ส งี่ ย ม , 2561) เ พ ร ำ ะ ท่ ำ น น บี มุ ฮั ม มัด ( ศ . ล , ) ไ ด้ ห้ ำ ม ไ ม่ ใ ห้ ผู้ ช ำ ย เ ข้ ำ ไ ป อ ยู่ ใ น ห มู่ ข อ ง ผู้ ห ญิ ง คื อ ก ำ ร ป ะ ป น กั น ร ะ ห ว่ ำ ง ช ำ ย ห ญิ ง โดยเฉพำะกำรอยู่ด้วยกันตำมล ำพังสองต่อสอง อันเป็นข้อต้องห้ำมที่หนักยิ่ง เพรำะจะมีมำรชัยฏอนจะเป็นบุคคลที่สำมที่คอยมำกระซิบกระซำบให้กระท ำสิ่ง ที่ไม่ดี ดังมีรำยงำนจำกท่ำนศำสดำมุฮัมมัด (ศ.ล.) ได้กล่ำวว่ำ

ค ว ำ ม ว่ ำ “

ไม่มีชำยคนใดที่อยู่กับหญิงตำมล ำพังเว้นแต่ชัยฏอนจะเป็นคนที่สำมของพวกเ ขำ” (อำบู อีซำ มุฮัมมัด บิน อีซำ อัตติรมีซีย์, 1983)

จ ำ ก ตั ว บ ท ฮ ะ ดี ษ ข้ ำ ง ต้ น ส รุ ป ไ ด้ ว่ ำ : เ มื่ อ ช ำ ย ห ญิ ง อ ยู่ ด้ ว ย กั น ส อ ง ต่ อ ส อ ง ต ำ ม ล ำ พั ง แ น่ น อ น ก ำ ร ง ำ น ข อ ง ม ำ ร ชั ย ฏ อ น จ ะ เ ข้ ำ ม ำ แ ท ร ก ก ล ำ ง เ พื่ อ ล่ อ ห ล อ ม ใ ห้ เ ร ำ ก ร ะ ท ำ สิ่ ง ที่ ไ ม่ ดี ไ ด้ ต ำ ม ที่ เ ข ำ ต้ อ ง ก ำ ร แ ล ะ มี ร ำ ย ง ำ น จ ำ ก ท่ ำ น ศ ำ ส ด ำ มุ ฮั ม มั ด ﷺ ที่ได้กล่ำวถึงกำรไม่อนุญำตให้ชำยหญิงอยู่ตำมล ำพังที่ว่ำ

(4)

4

ควำมว่ำ “ชำยจงอย่ำอยู่กับหญิงโดยล ำพังนอกจำกจะมีมะฮ์รอม”

( มุ ฮั ม มั ด อิ บ นู อิ ส ม ำ อี ล

อัลบุคอรีย์, 2004)

จ ำ ก ตั ว บ ท ฮ ะ ดี ษ ข้ ำ ง ต้ น ส รุ ป ไ ด้ ว่ ำ : ห้ำมให้ผู้หญิงกับผู้ชำยที่ยังไม่ได้แต่งงำนกันอยู่ตำมล ำพังอย่ำงเด็ดขำด นอกจำกเขำทั้งสองจะเป็นสำมีภรรยำกัน

กำรท ำงำนร่วมกันระหว่ำงชำยหญิงในปัจจุบันจะเห็นได้ว่ำชำยและหญิง ในเวลำท ำงำนมีกำรปะปนกัน ซึ่งในช่วงกำรท ำงำนจะมีกำรปรึกษำกัน มี ก ำ ร พู ด คุ ย กั น ทั้ ง เ รื่ อ ง ที่ มี ส ำ ร ะ แ ล ะ ไ ร้ ส ำ ร ะ และในระหว่ำงกำรท ำงำนแน่นอนว่ำจะต้องมีกำรนั่งใกล้กันบ้ำงหรือนั่งเป็นกลุ่

ม บ้ ำ ง ช ำ ย ห ญิ ง ก็ จ ะ ป ะ ป น กั น ไ ป กลำยเป็นควำมเคยชินที่อำจลืมไปว่ำอิสลำมมีขอบเขตในกำรปะปนกันระหว่ำง

ช ำ ย ห ญิ ง ที่ ไ ม่ ใ ช่ ม ะ ฮ์ ร อ ม

อำจจะเกิดควำมไม่เหมำะสมแก่มุสลิมอย่ำงเรำกับกำรกระท ำเหล่ำนี้

ก ำ ร ท ำ ง ำ น ที่ มี ทั้ ง ช ำ ย แ ล ะ ห ญิ ง ไ ม่ พ้ น ใ น ก ำ ร ป ะ ป น กั น กำรท ำงำนในปัจจุบันตำมสถำนที่ต่ำงๆ ไม่ว่ำจะเป็นสถำนที่ท ำงำน สถำนศึกษำ โ ร ง ง ำ น ร้ ำ น ค้ ำ แ ล ะ ห้ ำ ง ส ร ร พ สิ น ค้ ำ เ ป็ น ต้ น จ ะ เ ห็ น ไ ด้ ชั ด ว่ ำ ช ำ ย แ ล ะ ห ญิ ง จ ะ ท ำ ง ำ น ร่ ว ม กั น ในกำรท ำงำนร่วมกันจะท ำให้ชำยหญิงอยู่ใกล้ชิดกันมำกขึ้น สนิทมำกขึ้น จ น ก ล้ ำ ที่ จ ะ ห ย อ ก ล้ อ แ ต ะ เ นื้ อ ต้ อ ง ตั ว กั น นั่ ง ใ ก ล้ กั น กลำยเป็นเรื่องธรรมดำโดยที่ไม่รักษำขอบเขตระหว่ำงกันว่ำควรเข้ำหำกันประ

ม ำ ณ ไ ห น

ซึ่งกำรปฏิบัติตนเหล่ำนี้จะมีบุคลิกภำพที่ไม่เป็นที่น่ำพอใจและนอกขอบเขตของ

อิ ส ล ำ ม

สำเหตุนี้อำจจะเกิดขึ้นจำกผู้คนขำดควำมเข้ำใจในเรื่องกำรปะปนในกำรท ำงำน ร่วมกันระหว่ำงชำยหญิงนั้นอิสลำมมีข้อห้ำมหรือขอบเขตระหว่ำงกันอย่ำงไร ห รื อ ไ ม่ ต ร ะ ห นั ก ถึ ง ห ลั ก ค ำ ส อ น ข อ ง อิ ส ล ำ ม จะน ำมำซึ่งต้นเ หตุของปัญหำและอ ำจ จะกลำยเป็ นปัญหำใหญ่ เช่น ในกำรท ำงำนมีกำรแตะเนื้อต้องตัวกัน นั่งใกล้ชิดกันโดยไม่เห็นระยะห่ำง ก ำ ร ม อ ง ต ำ กัน เ ป็ น เ ว ล ำ น ำ น แ ล ะ ก ำ ร พู ด คุ ย กัน อ ย่ ำ ง ส นิ ท ส น ม จ ะ ท ำ ใ ห้ พ ว ก เ ข ำ อ ยู่ ใ น ส ภ ำ พ ไ ร้ ย ำ ง อ ำ ย ต่ อ อัล ล อ ฮฺ ( ซ . บ . ) จึ ง ส ำ ม ำ ร ถ ท ำ สิ่ ง ที่ น่ ำ อ ำ ย ไ ด้ อ ย่ ำ ง ห น้ ำ ชื่ น ต ำ ช ม สิ่งเหล่ำนี้จะน ำไปสู่ควำมรู้สึกรักใคร่ และอำรมณ์ใฝ่ต ่ำ ก็จะเ กิด ขึ้น และจะน ำไปสู่ฟิตนะห์อันยิ่งใหญ่ได้ในที่สุด

ดังกล่ำวนี้ถือเป็นปัญหำส ำคัญเกี่ยวกับกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงโดยเ ฉ พ ำ ะ ใ น ช่ ว ง ก ำ ร ท ำ ง ำ น ใ น ที่ นี้

ผู้วิจัยจึงสนใจและเห็นว่ำประเด็นนี้จ ำเป็นที่จะต้องส ำรวจระดับควำมคิดเห็นขอ งประชำชนมุสลิม ต่อกำร ปะป นระ หว่ำง ชำยหญิง ในช่วงกำร ท ำง ำน ในพื้นที่ต ำบลกะลุวอเหนือ จังหวัดนรำธิวำส เพื่อรักษำเกียรติของตนเอง แ ล ะ พี่ น้ อ ง มุ ส ลิ ม ส ำ ม ำ ร ถ รั ก ษ ำ คุ ณ ค่ ำ ข อ ง ต น ไ ด้

(5)

5

จ ะ เ ป็ น ผ ล ดี ต่ อ ต น เ อ ง แ ล ะ ศ ำ ส น ำ อี ก ด้ ว ย ซึ่งเป็นแนวทำงกำรพัฒนำและเพื่อเป็นแบบอย่ำงให้ชำยหญิงเห็นถึงควำมส ำคั

ญ ใ น ก ำ ร ศึ ก ษ ำ ค ว ำ ม รู้

ค ว ำ ม เ ข้ ำ ใ จ ต่ อ ก ำ ร ป ะ ป น ร ะ ห ว่ ำ ง ช ำ ย ห ญิ ง ใ น ช่ ว ง ก ำ ร ท ำ ง ำ น และรู้จักวำงขอบเขตระหว่ำงเพศตรงข้ำมในกำรท ำงำนต่อไป

วัตถุประสงค์กำรวิจัย

1. เพื่อศึกษำบทบัญญัติอิสลำมว่ำด้วยกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิง 2.

เพื่อส ำรวจระดับควำมคิดเห็นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะปนระหว่ำงชำยห ญิงในช่วงกำรท ำงำน ในพื้นที่ต ำบลกะลุวอเหนือ จังหวัดนรำธิวำส

วิธีกำรด ำเนินกำรวิจัย

ก ำ ร ศึ ก ษ ำ วิ จั ย เ รื่ อ ง

ส ำรวจระดับควำมคิดเห็นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงใ น ช่ ว ง ก ำ ร ท ำ ง ำ น ใ น พื้ น ที่ ต ำ บ ล ก ะ ลุ ว อ เ ห นื อ จัง ห วัด น ร ำ ธิ ว ำ ส ผู้วิจัยมีวิธีกำรด ำเนินวิจัยดังนี้

1. ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกร

ป ร ะ ช ำ ก ร ที่ ใ ช้ ใ น ก ำ ร วิ จั ย ใ น ค รั้ ง นี้ คื อ ประชำกรมุสลิมที่อำศัยอยู่ในพื้นที่ต ำบลกะลุวอเหนือ จังหวัดนรำธิวำส ทั้งหมด จ ำนวน 17,703 คน นับถือศำสนำอิสลำม จ ำนวน 14,163 คน คิดเป็นร้อยละ 80 % และนับถือศำสนำพุทธ จ ำนวน 3,540 คน คิดเป็นร้อยละ 20 %

กลุ่มตัวอย่ำง

ก ลุ่ ม ตั ว อ ย่ ำ ง ที่ ใ ช้ ใ น ก ำ ร ศึ ก ษ ำ ค รั้ ง นี้ คื อ มุ ส ลิ ม ที่ท ำ ง ำ น แ ล้ ว ใ น พื้ น ที่ต ำ บ ล ก ะ ลุ ว อ เ ห นื อ จัง ห วัด น ร ำ ธิว ำ ส ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงส ำรวจจำกผู้ตอบแบบสอบถำม จ ำนวน 301 คน โดยได้มีกำรด ำเนินคัดเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบบเฉพำะเจำะจง (Purposive sampling) ใ ช้ วิ ธี ก ำ ร สุ่ ม ก ลุ่ ม ตั ว อ ย่ ำ ง โดยใช้กำรค ำนวณตำมสูตรกลุ่มตัวอย่ำงของเครจซี่ และมอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970) ที่ระดับควำมเชื่อมั่นร้อยละ 95 และควำมคลำดเคลื่อน +5

2. เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย

กำรศึกษำวิจัยนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษำข้อมูลจำกคัมภีร์อัลกุรอำน ฮะดีษ หนังสือ ต ำรำวิชำกำร เอกสำร และงำนวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกำรศึกษำ ส ำรวจระดับควำมคิดเห็นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงใ น ช่ ว ง ก ำ ร ท ำ ง ำ น ใ น พื้ น ที่ต ำ บ ล ก ะ ลุ ว อ เ ห นื อ จัง ห วัด น ร ำ ธิ ว ำ ส เ พื่ อ ป ร ะ ก อ บ ใ ช้ เ ป็ น ข้ อ มู ล ใ น ก ำ ร ศึ ก ษ ำ วิ จัย น อ ก เ ห นื อ จ ำ ก นี้

(6)

6

มี เ ค รื่ อ ง มื อ ที่ ใ ช้ ใ น ก ำ ร ร ว บ ร ว ม ข้ อ มู ล วิ จั ย เ ชิ ง ป ริ ม ำ ณ คื อ แบบสอบถำมเกี่ยวกับส ำรวจระดับควำมคิดเห็นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะ ป นร ะ หว่ำง ชำยหญิงในช่วง กำรท ำงำน ในพื้ นที่ต ำบ ล กะ ลุวอเหนือ จังหวัดนรำธิวำส โดยแบบสอบถำมเป็นแบบมำตรำประมำณค่ำ 5 ระดับ (Rating Scale) ตำมแบบของลิเคิร์ด (Likert) ที่ผู้วิจัยจัดท ำขึ้นเป็นเครื่องมือ เพื่อกำรเก็บรวบรวมข้อมูลตำมวัตถุประสงค์ที่ได้ก ำหนดไว้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ตอน ดังนี้

ต อ น ที่ 1

ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถำมเป็นค ำถำมลักษณะแบบเลือกตอบ (Check-list) จ ำนว น 7 ข้อ ไ ด้แ ก่ เ พ ศ ช่ว ง อ ำยุ ส ถำนภ ำพ อ ำชีพ ร ำ ย ไ ด้ ต่ อ เ ดื อ น ร ะ ดั บ ก ำ ร ศึ ก ษ ำ ด้ ำ น อิ ส ล ำ ม ศึ ก ษ ำ และระดับกำรศึกษำด้ำนสำมัญศึกษำ

ต อ น ที่ 2

แบบสอบถำมระดับควำมคิดเห็นเกี่ยวกับควำมคิดเห็นของประชำชนมุสลิมต่อก ำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงในช่วงกำรท ำงำน ในพื้นที่ต ำบลกะลุวอเหนือ จังหวัดนรำธิวำส จ ำนวน 15 ข้อ โดยได้น ำเสนอต่อผู้เชี่ยวชำญ จ ำนวน 3 ท่ำน เ พื่ อ พิ จ ำ ร ณ ำ ห ำ ค่ ำ ค ว ำ ม เ ชื่ อ มั่ น ข อ ง เ ค รื่ อ ง มื อ ไ ด้ ค่ ำ IOC ข อ ง แ บ บ ส อ บ ถ ำ ม ถ ำ ม ดั ง ก ล่ ำ ว = 0.67 – 1.00 โดยก ำหนดเกณฑ์กำรให้คะแนน ดังต่อไปนี้

คะแนน 5 หมำยถึง ระดับควำมคิดเห็นมำกที่สุด คะแนน 4 หมำยถึง ระดับควำมคิดเห็นมำก คะแนน 3 หมำยถึง ระดับควำมคิดเห็นปำนกลำง คะแนน 2 หมำยถึง ระดับควำมคิดเห็นน้อย คะแนน 1 หมำยถึง ระดับควำมคิดเห็นน้อยที่สุด ใช้เกณฑ์กำรประเมินผลโดยกำรหำค่ำเฉลี่ย แบ่งออกเป็น 5 ระดับชั้น โดยกำรหำช่องกว้ำงของอันตรำภำคชั้น (คะแนน 1-5)

และค ำนวณจำกสูตรดังนี้ (กัลยำ วำนิชย์บัญชำ, 2544)

กำรแปลผลค ำถำมแบบประเมินค่ำ (Rating Scale) โดยวิธีค่ำเฉลี่ย (𝑥̅) ค่ำเฉลี่ยระหว่ำง 4.50 – 5.00 หมำยถึง

ระดับควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำกที่สุด

ค่ำเฉลี่ยระหว่ำง 3.50 – 4.49 หมำยถึง ระดับควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำก

ค่ำเฉลี่ยระหว่ำง 2.50 – 3.49 หมำยถึง ระดับควำมคิดเห็นอยู่ในระดับปำนกลำง

ค่ำเฉลี่ยระหว่ำง 1.50 – 2.49 หมำยถึง ระดับควำมคิดเห็นอยู่ในระดับน้อย

ค่ำเฉลี่ยระหว่ำง 1.00 – 1.50 หมำยถึง ระดับควำมคิดเห็นอยู่ในระดับน้อยที่สุด

ได้ค่ำควำมเชื่อมั่นด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟำ (Alpha Coefficient) ของครอนบำค (Cronbach, 1970) มีค่ำเท่ำกับ 0.99

(7)

7

ต อ น ที่ 3 ข้ อ คิ ด เ ห็ น

และข้อเสนอแนะของผู้ตอบแบบสอบถำมเกี่ยวกับส ำรวจระดับควำมคิดเห็นขอ งประชำชนมุสลิม ต่อกำร ปะป นระ หว่ำง ชำยหญิง ในช่วงกำร ท ำง ำน ในพื้นที่ต ำบลกะลุวอเหนือ จังหวัดนรำธิวำส จ ำนวน 3 ข้อ คือ

1. ท่ำนคิดว่ำขอบเขตกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงในช่วงกำรท ำงำน คืออะไร

2 .

ท่ำนคิดว่ำแนวทำงกำรแก้ปัญหำไม่ให้ชำยหญิงมีกำรปะปนในช่วงกำรท ำงำน

ใ น ต ำ บ ล

กะลุวอเหนือ จังหวัดนรำธิวำสเป็นอย่ำงไร

3 .

ท่ำนคิดว่ำแนวทำงกำรปฏิบัติตนที่ดีด้ำนกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงในช่วงกำร ท ำงำนคืออะไร

3. กำรเก็บรวบรวมข้อมูล

กำรวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ด ำเนินกำรเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ดังนี้

1 ) ด ำ เ นิ น ก ำ ร แ จ ก แ บ บ ส อ บ ถ ำ ม ใ ห้ก ลุ่ ม ตัว อ ย่ ำ ง ใ น พื้ น ที่

ใช้ในกำรศึกษำวิจัย และเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมำณด้วยตนเอง

2 )

ผู้วิจัยตรวจน ำแบบสอบถำมที่บันทึกเสร็จแล้วมำตรวจสอบควำมถูกต้องและคว ำมสมบูรณ์ของข้อมูลที่เก็บเรียบร้อยทั้งหมดเพื่อเตรียมน ำมำวิเครำะห์ผล

4. กำรวิเครำะห์ข้อมูล

กำรส ำรวจระดับควำมคิดเห็นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะปนระหว่ำงชำยห ญิง ในช่ว ง กำร ท ำง ำน ในพื้ นที่ต ำบ ล กะ ลุ ว อ เ หนือ จัง หวัดนร ำธิว ำส ผู้วิจัยท ำกำรวิเครำะห์ข้อมูล ดังนี้

1) วิเครำะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถำมโดยใช้ค่ำร้อยละ วิเครำะห์ผลของข้อค ำถำมเกี่ยวกับส ำรวจระดับควำมคิดเห็นของประชำชนมุส2) ลิมต่อกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงในช่วงกำรท ำงำน ในพื้นที่ต ำบลกะลุวอเหนือ จังหวัดนรำธิวำส โดยใช้ค่ำเฉลี่ย (𝑥̅) และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน (S.D) 3) วิ เ ค ร ำ ะ ห์ ผ ล ข อ ง ข้ อ ค ำ ถ ำ ม เ กี่ ย ว กั บ ข้ อ คิ ด เ ห็ น และข้อเสนอแนะของผู้ตอบแบบสอบถำมเกี่ยวกับส ำรวจระดับควำมคิดเห็นขอ งประชำชนมุสลิม ต่อกำร ปะป นระ หว่ำง ชำยหญิง ในช่วงกำร ท ำง ำน ในพื้ นที่ต ำบ ล กะ ลุ ว อ เ ห นือ จัง หวัดนร ำธิว ำ ส โดยกำร ใช้ก ำ ร ส รุ ป และน ำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องดังกล่ำวมำอธิบำยต่อไป

ผลกำรวิจัย

(8)

8

ผ ล ก ำ ร วิ เ ค ร ำ ะ ห์ ข้ อ มู ล วิ จั ย เ รื่ อ ง ส ำรวจระดับควำมคิดเห็นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงใ น ช่ ว ง ก ำ ร ท ำ ง ำ น ใ น พื้ น ที่ ต ำ บ ล ก ะ ลุ ว อ เ ห นื อ จัง ห วัด น ร ำ ธิ ว ำ ส โ ด ย ใ ช้แ บ บ ส อ บ ถ ำ ม ใ น ก ำ ร เ ก็ บ ร ว บ ร ว ม ข้อ มู ล จ ำ น ว น 3 0 1 ค น สำมำรถสรุปได้ดังนี้

1.ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่ำง

จำกกำรศึกษำข้อมูลทั่วไป พบว่ำ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จ ำนวน 194 คน คิดเป็นร้อยละ 64.5 มีอำยุระหว่ำง 21 - 30 ปี จ ำนวน 179 คน คิดเป็นร้อยละ 59.5 มีสถำนภำพสมรส จ ำนวน 166 คน คิดเป็นร้อยละ 55.1 กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่ส ำเร็จกำรศึกษำด้ำนอิสลำมศึกษำในระดับมุตำวัซซิฏ จ ำ น ว น 1 3 1 ค น คิ ด เ ป็ น ร้ อ ย ล ะ 4 3 . 5 ส ำเร็จกำรศึกษำด้ำนสำมัญศึกษำในระดับมัธยมศึกษำตอนปลำย จ ำนวน 169 คน คิดเป็นร้อยละ 56.1 กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่จะประกอบอำชีพรับจ้ำง จ ำนวน 104 คน คิดเป็นร้อยละ 34.6 และมีรำยได้น้อยกว่ำ 10,000 บำท จ ำนวน 141 คน คิดเป็นร้อยละ 46.8 ดังตำรำงที่ 1

ตำรำงที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่ำง

รำยกำรประเมินกลุ่มตัวอย่ำง ประเภทกำรประเมิน จ ำนวน (301คน

)

ร้อยล (100 ะ

%)

เพศ ชำย

หญิง 107

194 35.5 64.5

อำยุ ต ่ำกว่ำ 20 ปี

21 – 30 ปี

31-40 ปี

41 ปีขึ้นไป

8 179

66 48

2.7 59.5 21.9 15.9

สถำนภำพ โสด

สมรส หม้ำย

103 166 32

34.2 55.1 10.6 ระดับกำรศึกษำด้ำนอิสลำมศึกษ

ำ อิบตีดำอีย์

มุตำวัซซิฏ ซำนำวีย์

ปริญญำตรี

สูงกว่ำปริญญำตรี

35 131

91 37 7

11.6 43.5 30.2 12.3 2.3

(9)

9

ระดับกำรศึกษำด้ำนสำมัญศึกษำ ประถมศึกษำ

มัธยมศึกษำตอนต้น มัธยมศึกษำตอนปลำ ย

ปริญญำตรี

สูงกว่ำปริญญำตรี

9 169 56

61 6

3.0 18.6 56.1 20.3 2.0

อำชีพ นักศึกษำ

แม่บ้ำน รับจ้ำง พนักงำน

อื่ น ๆ ( เ ช่ น รับรำชกำร)

20 48 104 69

60

6.6 15.9 34.6 22.9 19.9 รำยได้ น้ อ ย ก ว่ำ 1 0 , 0 0 0

บำท

1 0 , 0 0 1 - 2 0 ,0 0 0 บำท

20,001-30,000 บำท

30,001 บำทขึ้นไป

141 114 22 24

46.8 37.9 7.3 8.0

2.

ระดับควำมคิดเห็นเกี่ยวกับส ำรวจควำมคิดเห็นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะป น ร ะ ห ว่ำ ง ช ำ ย ห ญิง ใ น ช่ว ง ก ำ ร ท ำ ง ำ น ใ น พื้ น ที่ต ำ บ ล ก ะ ลุ ว อ เ ห นื อ จังหวัดนรำธิวำส

จำกกำรศึกษำระดับควำมคิดเห็นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะปนระห ว่ำงชำยหญิงในช่วงกำรท ำงำน ในพื้นที่ต ำบลกะลุวอเหนือ จังหวัดนรำธิวำส มีระดับควำมคิดเห็น โดยภำพรวมควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำก คิดเป็นค่ำเฉลี่ย

( 𝑥̅ = 4.12, S.D. = 0.84)

เมื่อพิจำรณำรำยประเด็นของผู้ตอบแบบสอบถำมแยกเป็นกำรศึกษำแบบสอบถ ำมระดับควำมคิดเห็นด้ำนบทบัญญัติว่ำด้วยกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงสำมอัน

ดั บ แ ร ก คื อ

ท่ำนให้ควำมส ำคัญกับบทบัญญัติอิสลำมว่ำด้วยกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิง (𝑥̅

= 4.15, S.D.= .83) ค ว ำ ม คิ ด เ ห็ น อ ยู่ ใ น ร ะ ดับ ม ำ ก ร อ ง ล ง ม ำ คื อ ท่ำนมีควำมรู้ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับขอบเขตเมื่อมีกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงในก ำ ร ท ำ ง ำ น ต ำ ม ห ลั ก ก ำ ร อิ ส ล ำ ม ( 𝑥̅ = 4.12, S.D.= .86) ค ว ำ ม คิ ด เ ห็ น อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ม ำ ก และท่ำนคิดว่ำกำรท ำงำนร่วมกันระหว่ำงชำยหญิงจะต้องอยู่ภำยใต้ขอบเขตแล ะ เ งื่ อ น ไ ข ที่ อิ ส ล ำ ม ก ำ ห น ด ไ ว้ ( 𝑥̅ = 4.11, S.D.= .81) ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำก ตำมล ำดับ

ส่วนกำรศึกษำแบบสอบถำมระดับควำมคิดเห็นเกี่ยวกับส ำรวจควำมคิดเ ห็นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงในช่วงกำรท ำงำน

(10)

10

ใ น พื้ น ที่ ต ำ บ ล ก ะ ลุ ว อ เ ห นื อ จั ง ห วั ด น ร ำ ธิ ว ำ ส พ บ ว่ ำ ก ลุ่ ม ตั ว อ ย่ ำ ง ส่ ว น ใ ห ญ่ ร ะ บุ ว่ ำ ท่ำนคิดว่ำกำรปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่ำงชำยหญิงจะน ำไปสู่ควำมสัมพันธ์ที่เกิน ขอบเขต (𝑥̅ = 4.32, S.D.= .73) ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำก รองลงมำคือ ท่ำนทรำบว่ำกำรอยู่ร่วมกันระหว่ำงชำยหญิงโดยไม่มีขอบเขตจะน ำมำซึ่งปัญห ำสังคม และท่ำนทรำบว่ำกำรอยู่ร่วมกันระหว่ำงชำยหญิงโดยไม่มีขอบเขตนั้น เ ป็ น สิ่ ง ที่ ผิ ด ห ลั ก ก ำ ร ศ ำ ส น ำ อิ ส ล ำ ม (𝑥̅ = 4.22, S.D.= .82) เท่ำกัน ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำก ตำมล ำดับ ดังตำรำงที่ 2

ต ำ ร ำ ง ที่ 2

ระดับควำมคิดเห็นเกี่ยวกับส ำรวจควำมคิดเห็นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะป น ร ะ ห ว่ำ ง ช ำ ย ห ญิง ใ น ช่ว ง ก ำ ร ท ำ ง ำ น ใ น พื้ น ที่ต ำ บ ล ก ะ ลุ ว อ เ หนือ จังหวัดนรำธิวำส

รำยกำรประเมิน (𝒙̅) (S.D .)

ระดับ

1 .

ท่ำนมีควำมรู้ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับบทบัญญัติอิสลำมว่ำ กำรปะปนระหว่ำงชำยหญิง

3.96 0.92 มำก

2 .

ท่ำนให้ควำมส ำคัญกับบทบัญญัติอิสลำมว่ำด้วยกำรปะ ปนระหว่ำงชำยหญิง

4.15 0.83 มำก

3 .

ท่ำนมีควำมรู้ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับขอบเขตเมื่อมีกำรปะ ปนระหว่ำงชำยหญิงในกำรท ำงำนตำมหลักกำรอิสลำม

4.12 0.86 มำก

4 .

ท่ำนคิดว่ำกำรท ำงำนร่วมกันระหว่ำงชำยหญิงจะต้องอ ยู่ภำยใต้ขอบเขตและเงื่อนไขที่อิสลำมก ำหนดไว้

4.11 0.81 มำก

5 .

ท่ำนเห็นด้วยกับหลักกำรอิสลำมที่ห้ำมไม่ให้ชำยหญิงอ ยู่ตำมล ำพังขณะท ำงำน

4.08 0.84 มำก

6 .

ท่ำนมีแนวทำงในกำรปฏิบัติตนที่ดีด้ำนกำรปะปนระห ว่ำงชำยหญิงในช่วงกำรท ำงำน

4.19 0.87 มำก

7 .

ท่ำนทรำบว่ำกำรอยู่ร่วมกันระหว่ำงชำยหญิงโดยไม่มี

ขอบเขตจะน ำมำซึ่งปัญหำสังคม

4.22 0.82 มำก

(11)

11

8 .

ท่ำนทรำบว่ำกำรอยู่ร่วมกันระหว่ำงชำยหญิงโดยไม่มี

ขอบเขตนั้น เป็นสิ่งที่ผิดหลักกำรศำสนำอิสลำม

4.22 0.82 มำก

9 .

ท่ำนคิดว่ำกำรปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่ำงชำยหญิงจะ น ำไปสู่ควำมสัมพันธ์ที่เกินขอบเขต

4.32 0.73 มำก

1 0 .

ท่ำนคิดว่ำชำยหญิงควรมีกำรวำงตัวในช่วงกำรท ำงำน อย่ำงส ำรวมและเหมำะสม

4.14 0.78 มำก

1 1 .

ท่ำนมักจะหลีกเลี่ยงเมื่อต้องอยู่ตำมล ำพังกับเพศตรงข้

ำมในห้องท ำงำน

4.13 0.86 มำก

1 2 .

ท่ำนมักจะหลีกเลี่ยงเมื่อเพศตรงข้ำมเข้ำมำพูดคุยในเรื่

องที่ไม่จ ำเป็นหรือไม่เกี่ยวกับเรื่องงำน

4.09 0.87 มำก

1 3 .

ท่ำนมีกำรพูดคุยปรึกษำกับเพศตรงข้ำมในช่วงกำรท ำ งำนเมื่อมีควำมจ ำเป็นเท่ำนั้น

4.01 0.87 มำก

1 4 .

ท่ำนคิดว่ำกำรท ำงำนร่วมกับเพศตรงข้ำมเป็นกำรเพิ่ม ควำมสะดวกในกำรท ำงำนให้ง่ำยขึ้น

4.05 0.89 มำก

1 5 .

ท่ำนคิดว่ำกำรปะปนกันระหว่ำงชำยหญิงเป็นเรื่องไม่ป กติและไม่เหมำะสม

4.18 0.81 มำก

โดยรวม 4.12 0.84 มำก

3. ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของกลุ่มตัวอย่ำง

เป็นผลของข้อมูลจำกข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของกลุ่มตัวอย่ำง ซึ่งผู้วิจัยได้น ำเสนอผลในเรื่องดังกล่ำว ดังนี้

1 .

ผลของข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะด้ำนขอบเขตกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงใน ช่ ว ง ก ำ ร ท ำ ง ำ น คื อ อ ะ ไ ร ข อ ง ก ลุ่ ม ตัว อ ย่ ำ ง ส่ ว น ใ ห ญ่ พ บ ว่ ำ ก ลุ่ ม ตัว อ ย่ ำ ง ส่ว น ใ ห ญ่ มี ก ำ ร รัก ษ ำ ข อ บ เ ข ต ร ะ ย ะ ห่ำ ง ร ะ ห ว่ำ ง กัน ห ลี ก เ ลี่ ย ง ก ำ ร อ ยู่ ต ำ ม ล ำ พัง ส อ ง ต่อ ส อ ง ก ำ ร ใ ห้เ กี ย ร ติกัน แ ล ะ กัน ท ำ ง ำ น ใ น ส่ ว น ข อ ง ตั ว เ อ ง อ ย่ ำ ง เ ห ม ำ ะ ส ม โ ด ย ก ำ ร ที่ ไ ม่ ไ ป ยุ่ ง กั บ เ พ ศ ต ร ง ข้ ำ ม ห ำ ก ไ ม่ มี ค ว ำ ม จ ำ เ ป็ น เว้นแต่มีควำมจ ำเป็นเท่ำนั้นที่สำมำรถพูดคุยและช่วยเหลือกันได้

2.

ผลของข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะด้ำนแนวทำงกำรแก้ปัญหำไม่ให้ชำยหญิงมี

ก ำ ร ป ะ ป น ใ น ช่ ว ง ก ำ ร ท ำ ง ำ น ใ น ต ำ บ ล ก ะ ลุ ว อ เ ห นื อ

(12)

12

จั ง ห วั ด น ร ำ ธิ ว ำ ส ข อ ง ก ลุ่ ม ตั ว อ ย่ ำ ง ส่ ว น ใ ห ญ่ พ บ ว่ ำ กำรท ำงำนปะปนกันระหว่ำงชำยหญิง ในปัจจุบันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แ ต่ค ว ร ที่จ ะ อ ยู่ใ น ก ร อ บ ห รื อ ข อ บ เ ข ต ข อ ง ศ ำ ส น ำ แ ล ะ ใ น ที่ท ำง ำน โ ต๊ ะ ท ำ ง ำ น ค ว ร แ บ่ ง เ ป็ น โ ซ น ช ำ ย แ ล ะ ห ญิ ง ใ น ก ำ ร ท ำ ง ำ น ใ ห้ต่ำ ง ค น ต่ ำ ง ท ำ ง ำ น เ ช่ น ฝ่ ำ ย ห ญิ ง ใ ห้อ ยู่ ฝั่ง ห ญิ ง ส่วนชำยก็ให้อยู่ฝั่งชำย เป็นตน และส ำหรับสตรีควรแต่งกำยให้มิดชิด แต่งกำยให้เหมำะสม ถูกที่ สมควร และมีสติในกำรอยู่ร่วมกันในที่ท ำงำน ผลของข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะด้ำนแนวทำงกำรปฏิบัติตนที่ดีด้ำนกำรปะป3.

นระหว่ำงชำยหญิงในช่วงกำรท ำงำนคืออะไร ของกลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่ พบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่มีแนวทำงในกำรปฏิบัติตนเมื่อมีกำรปะปนระหว่ำงชำยห ญิ ง โ ด ย ห ลี ก เ ลี่ ย ง ก ำ ร อ ยู่ ต ำ ม ล ำ พัง ส อ ง ต่ อ ส อ ง ใ น ห้ อ ง ท ำ ง ำ น ไ ม่ พู ด คุ ย กั น น อ ก เ ห นื อ จ ำ ก เ รื่ อ ง ง ำ น และหลีกเลี่ยงกำรอยู่ใกล้กับเพศตรงข้ำมในเวลำท ำงำน และแต่งตัวให้เรียบร้อย ให้เหมำะสม ปกปิดเรือนร่ำง วำงตัวให้ดี มีควำมรับผิด ชอบต่อหน้ำที่

แ ล ะ ท ำ ง ำ น ใ น ส่ว น ข อ ง เ ร ำ ใ ห้ดีที่สุ ด อ ย่ำ ใ ก ล้ชิด กับ เ พ ศ ต ร ง ข้ำ ม รัก ษ ำ ร ะ ย ะ ห่ ำ ง ใ น ก ำ ร พู ด คุ ย แ ล ะ ป รึ ก ษ ำ แ ค่ เ รื่ อ ง ง ำ น เ ท่ ำ นั้น อยู่ในขอบเขตที่อิสลำมก ำหนดไว้ และค ำนึงถึงสิ่งที่ควรและไม่ควรอยู่เสมอ อี ก ทั้ ง ยั ง ใ ห้ ข้ อ เ ส น อ แ น ะ ใ ห้ มี ก ำ ร เ ชิ ญ ผู้ รู้

มำบรรยำยหรือมำให้ควำมรู้เกี่ยวกับกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงในช่วงกำรท ำง ำนที่ถูกต้องตำมหลักอิสลำมอีกด้วย

กำรอภิปรำยผล

ผ ล จ ำ ก ก ำ ร ศึ ก ษ ำ เ รื่ อ ง

ส ำรวจระดับควำมคิดเห็นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงใ นช่วงกำรท ำงำนในพื้นที่ต ำบลกะลุวอเหนือ จังหวัดนรำธิวำส ในครั้งนี้

ผู้วิจัยสำมำรถอภิปรำยผลกำรวิจัยที่เป็นไปตำมวัตถุประสงค์ของ กำรวิจัย ดังต่อไปนี้

1 .

กำรศึกษำข้อมูลจำกแบบสอบถำมระดับควำมคิดเห็นของประชำชนมุสลิมต่อกำ รปะปนระหว่ำงชำยหญิงในช่วงกำรท ำงำนในพื้นที่ต ำบลกะลุวอเหนือ จังหวัดนรำธิวำส

จำกกำรศึกษำแบบสอบถำมระดับควำมคิดเห็นของประชำชนมุสลิมต่อก ำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงในช่วงกำรท ำงำนในพื้นที่ต ำบลกะลุวอเหนือ จังหวัดนรำธิวำส โดยรวมควำมเห็นอยู่ในระดับมำก (𝑥̅ = 4.12, S.D. = .84) และหำกแยกเป็นกำรศึกษำแบบสอบถำมระดับควำมคิดเห็นด้ำนบทบัญญัติว่ำด้

วยกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิง พบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่ วนใหญ่ระบุว่ำ

(13)

13

ท่ำนให้ควำมส ำคัญกับบทบัญญัติอิสลำมว่ำด้วยกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิง (𝑥̅

= 4.15, S.D.= .83) ค ว ำ ม คิ ด เ ห็ น อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ม ำ ก ส่วนใหญ่แล้วเข้ำใจถึงบทบัญญัติเกี่ยวกับกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงที่ว่ำทั้งสอ งฝ่ำยจะต้องปฏิบัติตัวภำยใต้กฎเกณฑ์ที่ว่ำด้วยกำรระงับกำรชำยสำยตำจ้องมอ งแบบยำวนำนและต้องไม่มีกำรมองกันด้วยสำยตำที่สื่อถึงควำมใคร่

ตำมบัญชำของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ดังมีโองกำรในคัมภีร์อัลกุรอำนที่ว่ำ ควำมว่ำ

“จ ง ก ล่ ำ ว เ ถิ ด มุ ฮั ม มั ด ( ศ . ล . ) แ ก่ บ ร ร ด ำ ผู้ ศ รั ท ธ ำ ช ำ ย ใ ห้ พ ว ก เ ข ำ ล ด ส ำ ย ต ำ ข อ ง พ ว ก เ ข ำ ล ง ต ่ ำ และให้พวกเขำรักษำอวัยวะเพศของพวกเขำ นั่นเป็นกำรบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขำ แท้จริงอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขำกระท ำ และจงกล่ำวเถิด มุฮัมมัด (ศ.ล.) แก่บรรดำผู้ศรัทธำหญิง ให้พวกเธอลดสำยตำของพวกเธอลงต ่ำ แ ล ะ ใ ห้ พ ว ก เ ธ อ รั ก ษ ำ ท ว ำ ร ข อ ง พ ว ก เ ธ อ และอย่ำเปิดเผยเ ครื่อง ประ ดับ ของพว กเ ธอเว้นแ ต่สิ่ง ที่เ ปิดเ ผยไ ด้ ” ( ซู เ ร ำ ะ ห์ อั น นู ร , 24 :30-31) ร อ ง ล ง ม ำ คื อ ท่ำนมีควำมรู้ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับขอบเขตเมื่อมีกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงในก ำ ร ท ำ ง ำ น ต ำ ม ห ลั ก ก ำ ร อิ ส ล ำ ม ( 𝑥̅ = 4.12, S.D.= .86) ค ว ำ ม คิ ด เ ห็ น อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ม ำ ก อิ ส ล ำ ม เ มื่ อ เ ข้ ำ ใ จ ข อ บ เ ข ต ท ำ ใ ห้ ผู้ ค น ต ร ะ ห นัก ใ น เ รื่ อ ง นี้ ม ำ ก ขึ้น รู้ จั ก ว ำ ง ตั ว ที่ ดี เ มื่ อ ต้ อ ง ป ะ ป น ร ะ ห ว่ ำ ง กั น แ ล ะ รู้ ก ำ ร เ ว้ น ร ะ ย ะ ห่ ำ ง ร ะ ห ว่ ำ ง กั น อี ก ด้ ว ย ทั้งนี้ยังสอดคล้องกับวิจัยเรื่องศึกษำบทบัญญัติขอบเขตกำรปฏิสัมพันธ์ระหว่ำง

ช ำ ย ห ญิ ง ใ น ทั ศ น ะ อิ ส ล ำ ม

พ บ ว่ ำ ช ำ ย ห ญิ ง จ ะ ต้ อ ง รู้ จั ก ก ำ ร ว ำ ง ข อ บ เ ข ต ร ะ ห ว่ ำ ง กั น อย่ำได้ใกล้ชิดกันจนเกินไป เพรำะนั้นคือสิ่งที่ไม่เหมำะสมส ำหรับอิสลำม และผิดหลักของอิสลำม ที่อิสลำมวำงขอบเขตเป็นเพรำะให้ห่ำงไกลจำกฟิตนะห์

จึ ง ต้อ ง มี ข อ บ เ ข ต ร ะ ย ะ ห่ำ ง ร ะ ห ว่ ำ ง กัน ( ใ ส สุ นี ย์ เ ด มิ ง , 2 5 6 2 ) และท่ำนคิดว่ำกำรท ำงำนร่วมกันระหว่ำงชำยหญิงจะต้องอยู่ภำยใต้ขอบเขตแล ะ เ งื่ อ น ไ ข ที่ อิ ส ล ำ ม ก ำ ห น ด ไ ว้ ( 𝑥̅ = 4.11, S.D.= .81) ค ว ำ ม คิ ด เ ห็ น อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ม ำ ก และท่ำนเห็นด้วยกับหลักกำรอิสลำมที่ห้ำมไม่ให้ชำยหญิงอยู่ตำมล ำพังขณะท ำง

ำ น ( 𝑥̅ = 4.08,

S.D.= .84 ) ค ว ำ ม คิ ด เ ห็ น อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ม ำ ก และท่ำนมีควำมรู้ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับบทบัญญัติอิสลำมว่ำกำรปะปนระหว่ำงชำ ยหญิง (𝑥̅ = 3.96, S.D.= .92) ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำก ตำมล ำดับ

ส่วนกำรศึกษำแบบสอบถำมระดับควำมคิดเห็นเกี่ยวกับส ำรวจควำมคิดเ ห็นของประชำชนมุสลิมต่อกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงในช่วงกำรท ำงำน ใ น พื้ น ที่ ต ำ บ ล ก ะ ลุ ว อ เ ห นื อ จั ง ห วั ด น ร ำ ธิ ว ำ ส พ บ ว่ ำ ก ลุ่ ม ตั ว อ ย่ ำ ง ส่ ว น ใ ห ญ่ ร ะ บุ ว่ ำ ท่ำนคิดว่ำกำรปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่ำงชำยหญิงจะน ำไปสู่ควำมสัมพันธ์ที่เกิน ข อ บ เ ข ต ( 𝑥̅ = 4.32, S.D.= .73) ค ว ำ ม คิ ด เ ห็ น อ ยู่ ใ น ร ะ ดับ ม ำ ก

(14)

14

ทั้ ง นี้ ก ำ ร ที่ ช ำ ย ห ญิ ง มี ก ำ ร ป ฏิ สั ม พั น ธ์ ใ ก ล้ ชิ ด นั้ น แน่นอนว่ำจะท ำให้เกิดกำรสนิทสนมกัน โดยที่ไม่รักษำขอบเขตระหว่ำงกัน จึงมีกำรให้ชำยและหญิงไม่ควรที่จะอยู่ร่วมกันถ้ำหำกไม่มีควำมจ ำเป็น ซึ่งให้ชำยหญิงมีควำมระมัดระวัง รักษำเกียรติของตัวเองให้มีคุณค่ำ เ พื่ อ ต่ ำ ง ค น ต่ ำ ง อ ยู่ ใ น ก ร อ บ ที่ อิ ส ล ำ ม ไ ด้ ก ำ ห น ด ไ ว้ เ ป็ น อ ย่ ำ ง ดี

( สุ ภ ำ ว ดี เ ล ำ ะ แ ว , 2 5 6 0 ) ร อ ง ล ง ม ำ คื อ ท่ำนทรำบว่ำกำรอยู่ร่วมกันระหว่ำงชำยหญิงโดยไม่มีขอบเขตจะน ำมำซึ่งปัญห ำสังคมและท่ำนทรำบว่ำกำรอยู่ร่วมกันระหว่ำงชำยหญิงโดยไม่มีขอบเขตนั้น เ ป็ น สิ่ ง ที่ ผิ ด ห ลั ก ก ำ ร ศ ำ ส น ำ อิ ส ล ำ ม ( 𝑥̅ = 4.22, S.D.= .82) เ ท่ ำ กัน ค ว ำ ม คิ ด เ ห็ น อ ยู่ ใ น ร ะ ดับ ม ำ ก ท่ำนมีแนวทำงในกำรปฏิบัติตนที่ดีด้ำนกำรปะปนระหว่ำงชำยหญิงในช่วงกำร ท ำ ง ำ น ( 𝑥̅ = 4.19, S.D.= .87) ค ว ำ ม คิ ด เ ห็ น อ ยู่ ใ น ร ะ ดับ ม ำ ก ท่ำนคิดว่ำกำรปะปนกันระหว่ำงชำยหญิงเป็นเรื่องไม่ปกติและไม่เหมำะสม (𝑥̅

= 4.18, S.D.= .81) ค ว ำ ม คิ ด เ ห็ น อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ม ำ ก ท่ำนคิดว่ำชำยหญิงควรมีกำรวำงตัวในช่วงกำรท ำงำนอย่ำงส ำรวมและเหมำะส ม ( 𝑥̅ = 4.14, S.D.= .78) ค ว ำ ม คิ ด เ ห็ น อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ม ำ ก ท่ำนมักจะหลีกเลี่ยงเมื่อต้องอยู่ตำมล ำพังกับเพศตรงข้ำมในห้องท ำงำน (𝑥̅ = 4.13, S.D.= .86) ค ว ำ ม คิ ด เ ห็ น อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ม ำ ก ท่ำนมักจะหลีกเลี่ยงเมื่อเพศตรงข้ำมเข้ำมำพูดคุยในเรื่องที่ไม่จ ำเป็นหรือไม่เกี่ย

ว กั บ เ รื่ อ ง ง ำ น ( 𝑥̅ = 4.09,

S.D.= .87) ค ว ำ ม คิ ด เ ห็ น อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ม ำ ก ซึ่งกำรหลีกเลี่ยงในกำรพูดคุยกับเพศตรงข้ำมเป็นสิ่งที่ดียิ่งส ำหรับอิสลำม เพื่อให้ห่ำงไกลจำกฟิตนะห์ ควำมรู้สึกเคยชิน หลีกเลี่ยงจำกกำรพูดคุยที่ไร้สำระ จำกกำรพูดคุยที่ไม่จ ำเป็นเพื่อให้ห่ำงไกลจำกกำรละโมบที่จะท ำอะไรให้ผิดแผ ก แ ต ก ต่ ำ ง จ ำ ก ธ ร ร ม ช ำ ติ ข อ ง เ ธ อ ต ร ำ บ ใ ด ที่ มี ก ำ ร อ ยู่ ป ะ ป น ร ะ ห ว่ ำ ง ช ำ ย ห ญิ ง ม ำ ก เ ท่ ำ ใ ด บุตรนอกสมรสก็ยิ่งเพิ่มมำกขึ้นเท่ำนั้น และนี่คือ ควำมหำยนะอันใหญ่หลวง ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันให้เธอห่ำงไกลจำกสิ่งที่อำจเป็นสำเหตุท ำให้เธอตกเป็นเหยื่อแ ละพลำดพลั้งต่ออำรมณ์ใฝ่ต ่ำของเพศชำยซึ่งไม่ใช่สำมีของตนและควำมสูญเสีย ในเกียรติของเธอจำกหลุมพรำงอันชั่วร้ำย (อับดุรเรำะห์มำน อับดุลกำรีม, 2558)

ท่ำนคิดว่ำกำรท ำงำนร่วมกับเพศตรงข้ำมเป็นกำรเพิ่มควำมสะดวกในกำรท ำงำ น ใ ห้ง่ ำ ย ขึ้น ( 𝑥̅ = 4.05, S.D.= .89) ค ว ำ ม คิด เ ห็น อ ยู่ใ น ร ะ ดับ ม ำ ก และท่ำนมีกำรพูดคุยปรึกษำกับเพศตรงข้ำมในช่วงกำรท ำงำนเมื่อมีควำมจ ำเป็

น เ ท่ ำ นั้ น ( 𝑥̅ = 4.01,

S.D.= .87) ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำก มำก ตำมล ำดับ

2. กำรศึกษำข้อมูลจำกข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะของกลุ่มตัวอย่ำง

Referensi

Dokumen terkait

[r]

Peristiwa bencana senantiasa disertai dengan cerita tragis penderitaan manusia yang tidak habis-habisnya.Korban yang paling mengkhawatirkan adalah yang berasal dari

Hubungan Internasional bukan lagi merupakan disiplin yang hanya ditandai dengan ’recurrence and repetition.’ Hubungan Internasional tidak lagi hanya terbatas pada teorisasi

Skripsi, Jakarta : Program Studi Pendidikan Tata Niaga, Jurusan Ekonomi dan Administrasi, Fakultas Ekonomi, Universitas Negeri Jakarta, 2012.. Penelitian ini bertujuan

Kondisi bordes di gedung rektorat, laboratorium terpadu, NRC dan rusunawa sesuai dengan peraturan yang ada dalam SNI 03-1746-2000 yaitu dilihat dari lebar,. material,

Praktik jual beli pisang dan talas yang terjadi di Desa Gunung Batu merugikan pihak petani karena terjadi manipulasi timbangan pada saat penimbangan berlangsung,

Skripsi dengan judul “ Isolasi dan Karakterisasi Fungi Endofit Daun Sembung (Blumea balsamifera) yang Mempunyai Aktivitas Antibakteri Terhadap Staphylococcus aureus ” ini

Berdasarkan hasil penelitian didapatkan sebanyak 55% responden yang mempunyai kebiasaan konsumsi makanan manis dengan kategori tinggi memiliki skor DMF-T rata-rata 3,81