• Tidak ada hasil yang ditemukan

สารัตถธรรมจากคัมภีร์ปัถเวทน์ของพระเจ้าปเสนทิโกศล

N/A
N/A
Protected

Academic year: 2023

Membagikan "สารัตถธรรมจากคัมภีร์ปัถเวทน์ของพระเจ้าปเสนทิโกศล"

Copied!
15
0
0

Teks penuh

(1)

(ตำาราพุทธทำานาย) : น ัยและท่าทีของ พระพุทธเจ้าต่อการพยากรณ์

The Concept of Patthaveth of King Passendikoson(Prophesied by Lord Buddha) :Viewing of The Lord Buddha on The dream prediction.

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณ กมล ชาวปลายนา***

บทค ัดย่อ

คัมภีร์ปัถเวทน์ เป็นคัมภีร์ที่พูดถึงคำำทำำนำยพระสุบิน(ควำม ฝัน)ของพระเจ ้ำปเสนทิโกศล ๑๖ ข ้อ พระพุทธเจ ้ำทรงเป็นผู ้พยำกรณ์

ชำวพุทธจึงรู ้จักกันในนำม“พุทธทำำนำย” เนื้อหำของคัมภีร์นี้ อยู่ใน พระไตรปิฏกคือปรำกฏในพระสุตตันตปิฏก(ปัญญำสชำดก) บำงที

เรียกว่ำพระเจ ้ำ ๕๐๐ ชำติก็มี เป็นเรื่องที่สอนหลักธรรมที่สำำคัญหลำย เร ื่อง อำท ิเช ่น ควำมไม่ประมำท ควำมกตัญญ ูกตเวท ี ควำม เปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง นับเป็นวรรณกรรมทำงพระพุทธศำสนำที่

สำำคัญเรื่องหนึ่งที่เดียว

Abstract

The Patthaveth is the Buddhist discourse mentioning about the 16 items of the dream prediction of King Passendikoson prophesied by Lord Buddha, well-know as “Buddha –Tamnai” to all Buddhists. Its subject matter is in the Tripitaka, Buddhist Textbook on the part of Sutra Pitaka (Panyasachataka; 500 reincarnation or rebirth stories of Lord Buddha). It says about the important

*

*** .ธ.๙, Ph.D.(Ancient Indian and Asian Studies) Magadh University ; Bodh-gaya.

University of India.

ผู ้ช่วยศำสตรำจำรย์สำขำวิชำศำสนำและปรัชญำ อำจำรย์ประจำำศูนย์วิชำกำรศ ึกษำ ทั่วไป มหำวิทยำลัยศรีปทุม.

(2)

doctrines of Lord Buddha such as carelessness,gratefulness and impermanence of things. It is the most interesting Buddhist literary work.

๑. บทนำา

เรื่องรำวและนัยที่เกี่ยวกับคำำทำำนำยคัมภีร์ปัถเวทน์เป็นเรื่องที่น่ำ สนใจเป็นอย่ำงมำก เป็นควำมมหัศจรรย์ที่ต่อมำคำำทำำนำยหลำยข ้อที่

ปรำกฏอยู่ในคัมภีร์ปัถเวทน์นั้น เกิดปรำกฏเป็นควำมจริงที่ใกล ้เคียงกัน เหตุกำรณ์ในปัจจุบันในระนำบที่แทบจะเป็นภำพจำำลองที่กล่ำวไว ้ใน คำำทำำนำยนั้นก็ไม่ปำน ปรำกฏกำรณ์เหล่ำนี้มีควำมอัศจรรย์เป็นอย่ำง ยิ่ง เป็นควำมอย่ำงยิ่งและยิ่งใหญ่ที่แม ้แต่ปรำชญ์เมธีแห่งยุคสมัยเฉก เช่นพระพุทธทำสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลำรำมก็นำำมำกล่ำวไว ้อย่ำง แยบยล และคำำทำำนำยของปัถเวทน์ล ้วนแต่มีคติธรรมที่สำำคัญต่อกำร ทำำควำมเข ้ำใจพุทธธรรมและกฏแห่งสำมัญญลักษณ์ ที่อธิบำยว่ำ สรรพสิ่งล ้วนเป็นไปตำมกฏแห่งธรรมชำติและกระแสกำรเปลี่ยนแปลง ที่เสมอและเหมือนกัน

คำำทำำนำยนี้เป็นที่แพร่หลำยในหมู่ชำวพุทธเป็นอย่ำงมำกนับ ช่วงเวลำได ้รำว ๑,๕๐๐ ปี ตำมกำรคำำนวณของอำยุคัมภีร์ทำงพุทธ ศำสนำ ในเรื่องนี้มีบุคคลสำำคัญทำงพระพุทธศำสนำปรำกฏชื่อหลำย ท่ำน ไม่ว่ำจะเป็นพระเจ ้ำปเสนทิโกศลซึ่งเป็นเจ ้ำของเรื่องอันเป็นมูล เหตุของข ้อเขียนนี้ รวมถึงพระเจ ้ำพันธุละ พระเจ ้ำมหำลิ พระนำง มัลลิกำและพระเจ ้ำวิฑูฑภะ ผู ้สำำเร็จโทษรำชสกุลศำกยะอันเป็นพระ รำชวงศ์แต่เดิมของพระพุทธเจ ้ำจนหมดสิ้น ตำมประวัติศำสตร์ระบุว่ำ พระเจ ้ำวิฑูฑภะให ้ประหำรทุกคนที่เมื่อทหำรถำมว่ำเป็นเชื้อสำยแห่ง เจ ้ำศำกยะหรือไม่ หำกตอบว่ำใช่ก็ให ้ประหำรเสียให ้สิ้น ในครำวนั้น ปรำกฏว่ำมีเจ ้ำศำกยะบำงพระองค์รอดชีวิตมำได ้ด ้วยกำรพำกันหยิบ ต ้นอ ้อและต ้นหญ ้ำแล ้วกล่ำวว่ำไม่ใช่เจ ้ำศำกยะ แต่เป็นต ้นอ ้อ เป็นต ้น หญ ้ำ จึงรอดชีวิตมำได ้ จนต่อมำรู ้จักกันในนำมกลุ่มเจ ้ำศำกยะอ ้อ เจ ้ำ ศำกยะหญ ้ำ

เรื่องรำวในคำำทำำนำยนี้สอนหลักธรรมหลำยเรื่องไม่ว่ำจะเป็น เรื่องกรรม เรื่องไตรลักษณ์ ควำมไม่ประมำท กำรทำำบุญทำำกุศล กำร สร ้ำงควำมดีให ้ตัวเองและผู ้อื่นเป็นต ้น นับได ้ว่ำเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรแก่

กำรเพ่งพิจำรณำและปัจจเวกขณ์โดยสติปัญญำ โดยควำมเคำรพใน ควำมไม่ประมำท โดยเฉพำะแล ้วเป็นช่วงเทศกำลงำนบุญพิธี ตำม ประเพณีนิยมอำทิเช่นกำรทอดกฐินในปีนี้อยู่ไม่น ้อยทีเดียว

(3)

๒. ประว ัติพระเจ้าปเสนทิโกศล และความเป็นมาของคำาทำานาย ปัถเวทน์

สำำหรับพระรำชประวัติของพระมหำกษัตริย์พระองค์นี้ มีปรำกฏ ในคัมภีร์ทำงพุทธศำสนำหลำยแห่งด ้วยกัน ลักษณะเป็นข ้อมูลที่ไม่ต่อ เนื่องเป็นเรื่องเดียวกันนัก กล่ำวคือมีปรำกฏในธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำคที่ ๓ และภำคที่ ๖ และในพระไตรปิฏกคือในโกศลสังยุตตนิกำย เล่มที่ ๑๕ ซึ่งพอลำำดับเรื่องได ้ดังนี้

พระเจ ้ำปเสนทิโกศลทรงเป็นศิษย์เก่ำแห่งตักสิลำแห่งคันธำระ รัฐ(๑) โดยได ้เสด็จไปศึกษำกับอำจำรย์ทิศำปำโมกข์ สมัยที่ทรงดำำรง พระยศเป็นมกุฎรำชกุมำร โดยเดินทำงไปพร ้อมกันกับเจ ้ำชำยอีก ๒ พระองค์คือเจ ้ำฟ้ำชำยมหำลิ แห่งแคว ้นลิจฉวี และเจ ้ำฟ้ำชำยพันธุละ แห่งแคว ้นมัลละ โดยเจ ้ำฟ้ำชำยทั้ง ๓ พระองค์นี้ได ้เข ้ำศึกษำยังสำำนัก ตักสิลำเป็นศิษย์รุ่นเดียวกัน ในพระไตรปิฏก อรรถกถำธรรมบทระบุว่ำ หลังจำกท่ำนสำำเร็จกำรศึกษำแล ้ว เจ ้ำชำยทั้ง ๓ พระองค์นี้ ได ้ทรง แยกกันกลับไปยังเมืองของตนเอง โดยเจ ้ำชำยมหำลิได ้แสดงควำม

(๑) รัฐคันธำระ รำว ๕๗ ปี ก่อนพุทธศักรำช ตั้งอยู่ทำงทิศเหนือของอินเดีย เป็น หนึ่งใน ๑๖ รัฐ สำำคัญของอินเดียโบรำณ มีตักศิลำเป็นเมืองหลวง เมืองนี้ตั้งอยู่ทำงทิศ ตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นเมืองแห่งวิทยำกำร มีมหำวิทยำลัยที่มีชื่อเสียงด ้ำนกำรแพทย์

วิชำกำรทหำร และวิชำกำรด ้ำนกำรปกครองหลำยแห่งด ้วยกัน เป็นเมืองที่ผู ้คนไม่ว่ำจะ เป็นรำชบุตร กษัตริย์ พรำหมณ์ และชนชั้นสูงนิยมส่งบุตรหลำยไปเรียนที่เมืองนี้ บุคคล สำำคัญในสมัยพุทธกำลหลำยท่ำน อำทิเช่น พระเจ ้ำปเสนทิโกศล แห่งแคว ้นโกศล เจ ้ำ พันธุละแห่งกุสินำรำ เจ ้ำมหำลิแห่งแคว ้นวัชชี พระองคุลิมำลเถระ หมอชีวกโกมำรภัจจ์

ล ้วนสำำเร็จกำรศึกษำจำกมหำวิทยำลัยตักศิลำทั้งสิ้น กษัตริย์ผู ้ครองรัฐคันธำระในสมัย พุทธกำลคือพระเจ ้ำปุกกุสำติ ซึ่งมีควำมใกล ้ชิดกับพระเจ ้ำพิมพิสำรแห่งรัฐมคธ ต่อมำ พระองค์สละรำชสมบัติเพื่ออกบวชในพระพุทธศำสนำ พระพุทธเจ ้ำทรงประทำนกำร อุปสมบทโดยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทำ แต่เนื่องจำกบำตรและบริขำรไม่ครบ พระพุทธองค์

ทรงรับสั่งให ้ไปหำบำตรและจีวรสำำหรับพระภิกษุ ขณะที่พระองค์ทรงกำำลังหำอยู่ได ้ถูก วัวขวิดสิ้นพระชนม์เสียก่อน สำำหรับคันธำรรัฐแล ้วเป็นที่เจริญของพุทธศำสนำนิกำย อำจริยวำท หรือนิกำยสรวำสติวำทิน โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งในรัชสมัยของพระเจ ้ำกนิษกม หำรำช แห่งรำชวงศ์กุษำณ ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่ำงปี พ.ศ.๖๒๑–๖๔๔.

รัฐทั้ง ๑๖ รัฐในพุทธกำลมีดังนี้คือ ๑.แคว ้นอังคะ เมืองหลวงคือเมืองจัมปำ .แคว ้นมคธ เมืองหลวงคือเมืองรำชคฤห์ ๓.แคว ้นกำลี เมืองหลวงคือพำรำณส ี ๔.แคว ้นโกศล เมืองหลวงคือเมืองสำวัตถี ๕.แคว ้นวัชชี เมืองหลวงคือไพสำลี หรือเว สำลี ๖.แคว ้นมัลละ เมืองหลวงคือกุสินำรำหรือปำวำ ๗.แคว ้นเจตี เมืองหลวงคือโสตถิ

วดี ๘.แคว ้นวังสะ เมืองหลวงคือโกสัมพี ๙.แคว ้นกุรุ เมืองหลวงคืออินทปัตถ์ ๑๐.แคว ้น ปัญจำละ เมืองหลวงคือกัมปิลละและอหิฉัตระ ๑๑.แคว ้นมัจฉะ เมืองหลวงคือสำคลหรือ ไวรำฏ ๑๒.แคว ้นสุรเสนะ เมืองหลวงคือมถุรำ ๑๓.แคว ้นอัสสกะ เมืองหลวงคือโปตลี

๑๔.แคว ้นอวันตี เมืองหลวงคืออุชเชนีและมำหิศมตี ๑๕.แคว ้นคันธำระ เมืองหลวงคือ ตักศิลำ และ ๑๖.แคว ้นกัมโพชะ เมืองหลวงคือ ทวำรกะ.

(4)

สำมำรถทำงศิลปะที่ได ้ศึกษำมำคือกำรยิงธนู และได ้รับอุบัติเหตุใน กำรแสดงศิลปะจนพระเนตรบอดทั้งสองข ้ำง โดยเจ ้ำฟ้ำชำยมหำลิ

ทรงเป็นผู ้ที่มีกำำลังอย่ำงมหำศำสลทีเดียว กล่ำวกันโดยสมญำนำมคือ เฉพำะแต่คันธนูของพระองค์นั้นต ้องใช ้กำำลังของชำยวัยกลำงคนถึง ๕๐๐ คน จึงสำมำรถยกขึ้นได ้ สำยธนูนั้นเมื่อง ้ำงขึ้นแล ้วปล่อยไป เสียงลูกธนูที่กระทบกับสำยลมคล ้ำยเสียงอัสนีบำต สำมำรถยิงทะลุ

ข ้ำศึกแม ้มีจำำนวนถึง ๕๐๐ คนได ้ โดยที่ผู ้ถูกลูกธนูของท่ำนก็ไม่รู ้ว่ำ ต ้องศรธนู ต่อเมื่อด ึงลูกธนูออกจ ึงรู ้และเส ียช ีว ิตในทันท ี โดย เหตุกำรณ์นี้ปรำกฏในกำรทำำศึกของพระองค์หลำยครั้งด ้วยกัน ส่วน เจ ้ำชำยพันธุละทรงแสดงศิลปะกำรฟันดำบ โดยสำมำรถฟันไม ้ไผ่ที่

สอดเหล็กกล ้ำไว ้ภำยในลำำไม ้ไผ่กำำละ ๖๐ ลำำ ขำดทันที ส่วนพระ เจ ้ำปเสนทิโกศลก็เช่นกัน(๒)

หลังจำกแสดงศิลปะแล ้วเจ ้ำฟ้ำชำยทั้งสำมเมืองนี้ต่ำงก็ได ้รับ กำรพระรำชทำนกำรอภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ทุกพระองค์ โดยพระเจ ้ำป เสนทิโกศลทรงปกครองแคว ้นโกศล มีเมืองสำวัตถีเป็นเมืองหลวง ตั้ง อยู่ทำงทิศตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐมคธ ซึ่งเป็นหนึ่งใน ๑๖ รัฐ เป็น รำชธำนีที่มีควำมเกี่ยวข ้องอย่ำงสำำคัญกับพระพุทธเจ ้ำและพุทธ ศำสนำในสมัยพุทธกำลเป็นอย่ำงมำก โดยเป็นแคว ้นที่พระพุทธเจ ้ำ ทรงประทับอย ู่ถ ึง ๒ ๕ พรรษ ำ(๓) ในเม ืองสำว ัตถ ีแห ่งน ี้เอง พระพุทธเจ ้ำทรงได ้ทั้งอุบำสกและอุบำส ิกำที่นับว่ำเป็นกำำลังสำำคัญ

(๒) อ่ำนรำยละเอียดในของเรื่องนี้ได ้ใน ธัมมปทัฏฐกถำ พระธรรมบทฉบับแปล ภำคที่ ๓ เรื่องพระเจ ้ำวิฑูฑภะ และ ธัมมปทัฏฐกถำ พระธรรมบทฉบับแปล ภำค ที่ ๖ เรื่อง ควำมปรำชัยของพระเจ ้ำปเสนทิโกศล หน ้ำ ๑๒๔ และ เรื่อง พระเจ ้ำปเสนทิโกศล หน ้ำ ๑๒๗. จัดพิมพ์โดย คณะกรรมกำรกำรศึกษำ สภำกำรศึกษำมหำมกุฏรำช วิทยำลัย. กรุงเทพมหำนคร : โรงพิมพ์มหำมกุฏรำชวิทยำลัย. ๒๕๒๑ .

(๓) ช่วงเวลำ ๔๕ พรรษำของพระพุทธเจ ้ำ มีกำรจำำพรรษำในสถำนที่ต่ำงๆ ปรำกฏดังนี้คือ พรรษำที่ ๑ ป่ำอิสิปตนมฤคทำยวัน ใกล ้เมืองพำรำณสี พรรษำที่ ๒ -๔ พระเวฬุวัน ใกล ้กรุงรำชคฤห์ พรรษำที่ ๕ กูฏำคำรในป่ำมหำวัน เมืองกบิลพัสดุ์ เพื่อ โปรดพระญำติ และพระนำงปชำบดีโคตมี บวชเป็นภิกษุณี พรรษำที่ ๖ มกุลบรรพต ภำยหลังจำกแสดงยมกปำฏิหำริย์แล ้ว พรรษำที่ ๗ ดำวดึงสเทวโลก พรรษำที่ ๘ เภสก ลำวัน ใกล ้เมืองสุงสุมำสคีรี พรรษำที่ ๙ โฆสิตำรำม กรุงโกสัมพี พรรษำที่ ๑๐ ป่ำปำริ

เลยยกะ ใกล ้เมืองโกสัมพี พรรษำที่ ๑๑ หมู่บ ้ำนเอกนำลำพรำหมณ์ พรรษำที่ ๑๒ เมือง เวรัญชรำ พรรษำที่ ๑๓ จำลิยบรรพต พรรษำที่ ๑๔ วัดพระเชตวัน (สำมเณรรำหุล อุปสมบทเป็นพระภิกษุในปีนี้) พรรษำที่ ๑๕ นิโครธำรำม กรุงกบิลพัสดุ์ พรรษำที่ ๑๖ เมืองอำฬวี พรรษำที่ ๑๗ พระเวฬุวัน กรุงรำชคฤห์ พรรษำที่ ๑๘ - ๑๙ จำลิยบรรพต พรรษำที่ ๒๐ พระเวฬุวัน โปรดองคุลิมำล และได ้พระอำนนท์เป็นพุทธอุปัฏฐำกพระจำำ พระองค์ พรรษำที่ ๒๑–๔๔ ประทับสลับไปมำ ระหว่ำงวัดพระเชตวัน กับวัดบุพพำรำม กรุงสำวัตถี โดยประทับที่วัดพระเชตวัน ๑๙ พรรษำ และที่วัดบุพพำรำม ๖ พรรษำ รวม ๒๕ พรรษำ และพรรษำที่ ๔๕ เวฬุวคำม ใกล ้กรุงเวสำลี

(5)

อย่ำงเช่น อนำถปิณฑิกเศรษฐีมหำอุบำสก ซ ึ่งเป็นผู ้สร ้ำงวัดเชตวัน มหำวิหำร นำงวิสำขำมหำอุบำสิกำ ผู ้สร ้ำงวัดบุพพำรำม และแม ้แต่

พระเจ ้ำปเสนทิโกศลเองก็ทรงเป็นผู ้สร ้ำงวัดรำชกำรำมถวำยแด่

พระพุทธเจ ้ำด ้วยเช่นกัน

ในส่วนของพระเจ ้ำปเสนทิโกศลนั้น นอกจำกพระองค์จะทรง เป็นกษัตริย์เจ ้ำสำำรำญ ยังทรงเป็นผู ้ที่มีชื่อเสียงในกำรบริจำคทำนเป็น เลิศอีกด ้วย กล่ำวคือพระองค์นอกจำกมีพระมเหสีที่เป็นภคินีของพระ เจ ้ำพิมพิสำรแล ้ว ยังทรงมีมเหสีอื่นอีกหลำยพระองค์ด ้วยกัน ที่

สำำคัญคือพระนำงมัลลิกำ(๔) ตำมประวัติแล ้วกล่ำวว่ำพระนำงเป็นพระ มเหสีที่ไม่ทรงพระสิริโฉม แต่เป็นผู ้ที่มีปัญญำ มีควำมฉลำดเป็นเลิศ โดยเฉพำะกำรจัดกำรถวำยทำนที่สำำคัญๆ โดยพระนำงถือกำำเนิดใน วรรณะแพศย์ พระเจ ้ำปเสนทิโกศลได ้พบนำงเมื่อครั้งนั่งขำยดอกมะลิ

อยู่ที่ร ้ำนในตลำด ทรงพอพระทัยในควำมฉลำดจึงทรงรับไว ้เป็นพระ มเหสี นอกจำกนี้ยังพบว่ำพระองค์ทรงมีพระมเหสีอื่น อำทิเช่น พระ นำงวำสภขัตติยำ พระมำรดำของพระเจ ้ำวิฑูฑภะ ทั้งยังมีพระชำยำ อีกคือพระนำงวำสภขัตติยำผู ้เป็นพระญำติของพระพุทธเจ ้ำ พระเจ ้ำป เสนทิโกศลทรงขอมำอภิเษกด ้วยหวังจะได ้เป็นพระญำติสนิทของ พระพุทธเจ ้ำ

ในส่วนของพระปรีชำสำมำรถของพระองค์ที่สำำคัญอีกประกำร หนึ่ง คือกำรมีกองทัพที่เข ้มแข็งและฉลำดในกำรรบมำกที่สุดพระองค์

หนึ่ง (๕) ในท ้ำยพระชนม์ชีพของพระองค์มีลักษณะคล ้ำยกับพระเจ ้ำ พิมพิสำรผู ้พระสหำย แห่งแคว ้นมคธ(๖) ซึ่งถูกพะรำชโอรสยึดอำำนำจ เหมือนกัน โดยพระเจ ้ำพิมพิสำรถูกพระเจ ้ำอชำตศัตรูยึดอำำนำจด ้วย

(๔) พระนำงมัลลิกำ ทรงเป็นผู ้ริเริ่มในกำรจัดถวำยอสทิสทำน คือทำนที่ไม่มีทำน ใดๆ จะเสมอเหมือนได ้ ในสมัยแห่งพระพุทธเจ ้ำสมณโคดมพระศำสดำของเรำนี้ ในพระ ไตรปิฏกระบุว่ำ อสทิสทำน นี้นั้น สมัยพระพุทธเจ ้ำหนึ่งพระองค์จะมีกำรจัดถวำยเพียง ครั้งเดียวเท่ำนั้น บุคคลที่รับหน ้ำที่ในกำรจัดถวำยทำนนี้จะได ้รับอำนิสงส์แห่งบุญอย่ำง มำก.

อนึ่ง สมัยอินเดียโบรำณนั้น มีกำรจัดแบ่งบุคคลในสังคมออกเป็นชนชั้นต่ำงๆ รวม ๔ ชนชั้นด ้วยกันตำมควำมเชื่อของเทพอินเดีย(พระพรหม) คือ ๑.วรรณะพรำหมณ์

ซึ่งเกิดจำกส่วนศีรษะของพรหม มีหน ้ำที่อบรมสั่งสอน และประกอบพิธีกรรม ๒.วรรณะ กษัตริย์ เกิดจำกส่วนแขน ของพรหม มีหน ้ำที่บริหำรรำชกำรแผ่นดิน ๓.วรรณะแพศย์

เกิดจำกส่วนท ้องของพรหม มีหน ้ำที่ทำำงำนด ้ำนกำรค ้ำ ทำำธุรกิจเพื่อเป็นรำยได ้ของ ประเทศรวมไปถึงกำรสร ้ำงงำนในสังคม และ ๔. วรรณะศูทร เกิดจำกส่วนเท ้ำของ พรหม มีหน ้ำที่เป็นผู ้ใช ้แรงงำนเป็นหรือกรรมกรเพียงอย่ำงเดียวเท่ำนั้น.

(๕) พระนำมของพระองค์คือปเสนทิโกศล (ป-แปลว่ำ ทั่วไป+เสน-แปลว่ำ ข ้ำศึก +ทิ(ชิ)-แปลว่ำชัยชนะ+โกสล-แปลว่ำ ควำมฉลำด) โดยรวมแล ้วพระนำมนี้มี

ควำมหมำยว่ำ กษัตริย์ผู ้ฉลำดสำมำรถในกำรชนะศัตรูทั่วสำรทิศ

(6)

กำรสำำเร็จโทษในเรือนจำำ ก่อนพระพุทธเจ ้ำปรินิพพำน ๘ ปี และพระ เจ ้ำปเสนทิโกศล ถูกพระเจ ้ำวิฑูฑภะ พระรำชโอรสที่ประสูติแต่พระ

นำงวำสภขัตติยำยึดอำำนำจในปีที่พระพุทธเจ ้ำทรงปรินิพพำน(๗) ท ี่

กล่ำวมำโดยย่อนี้เพื่อแนะนำำให ้ท่ำนผู ้อ่ำนได ้ทรำบข ้อมูลที่เกี่ยวกับต ้น กำำเนิดของคำำทำำนำยปัถเวทน์ (๘)ของพระองค์(พระเจ ้ำปเสนทิโกศล) คำำทำำนำยพระสุบินของพระเจ ้ำปเสนทิโกศล หรือที่เรียกเพี้ยนไปว่ำ

“ปัถเวนท์” นั้น(๙) เป็นเรื่องที่น่ำคิด จะคิดเพรำะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตำม อย่ำงน ้อยจะทำำให ้พบควำมเพลินในธรรม โดยเฉพำะคือควำมไม่เที่ยง

(๖) แคว ้นมคธ อยู่ทำงอินเดียตอนเหนือ ทำงทิศเหนือติดกับแคว ้นวัชช ี ทิศใต ้ ติดกับเทือกภูเขำวินธัย ทิศตะวันออก ติดกับแคว ้นอังคะ ทิศตะวันตก ติดกับรัฐกำส ี ก่อนพุทธกำล แคว ้นนี้มีเมืองหลวงชื่อเบญจคิรีนคร เพรำะมีภูเขำ ๕ ลูกล ้อมรอบ คือ ภู

เขำอิสิคิลิ ภูเขำอิสินทร ภูเขำเนมินทร ภูเขำคิชฌกูฏ และภูเขำเวภำรบรรพต โดย สถำปนิกผู ้ออกแบบในกำรสร ้ำงเมืองนี้คือมหำโควินท์ ต่อมำรัชสมัยของพระเจ ้ำพิมพิ

สำรได ้ทรงย ้ำยเมืองหลวงออกไปตั้งด ้ำนนอกภูเขำ ทำงด ้ำนทิศเหนือมีช ื่อเมืองหลวง ใหม่ว่ำ เมืองรำชคฤห์ ปัจจุบันแคว ้นนี้เปลี่ยนช ื่อเป็นรำชคีร์(Rajagir)อยู่ในจังหวัด ปัฏนะ(Patna) ในพุทธกำลนั้นเมืองรำชคฤห์เป็นศูนย์กลำงของพุทธศำสนำคือเป็นที่

ตรัสรู ้อริยสัจ ๔ (ตำำบลอุรุเวลำเสนำนิคมหรือพุทธคยำในปัจจุบัน) และเกิดอุบำสกที่ถึง รัตนะ ๒ คือพุทธรัตนะและธรรมรัตนะเป็นครั้งแรกในโลก คือตปุสสะและภัลลิกะ รัฐนี้มี

พระสำวกองค์สำำคัญๆ หลำยท่ำน อำทิเช่น พระสำรีบุตรเถระ พระมหำโมคคัลลำนะเถระ พระมหำกัสสปเถระ ล ้วนแล ้วแต่เป็นชำวมคธทั้งสิ้น ในส่วนของพระเจ ้ำแผ่นดิน ไม่ว่ำจะ เป็นพระเจ ้ำพิมพิสำร พระเจ ้ำอชำตศัตรู ล ้วนมีส่วนสำำคัญอย่ำงมำกในกำรประกำศพระพุ

ทศำสนำ กำรสังคำยนำ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งในรัชสมัยแห่งพระเจ ้ำอโศกมหำรำช กษัตริย์องค์ที่ ๓ แห่งรำชวงศ์โมริยะหรือรำชวงศ์เมำระยะ ในเมื่อรำว พ.ศ.๒๗๐–๓๑๓ ศูนย์กลำงของพระพุทธศำสนำล ้วนตั้งอยู่ในแคว ้นมคธแห่งนี้ทั้งสิ้น.

() อ่ำนรำยละเอ ียดเพ ิ่มใน บรรจบ บรรณรุจ ิ. เล่มน ี้ม ีปัญหา เล ่ม ๑. กรุงเทพมหำนคร : พรบุญกำรพิมพ์. ๒๕๓๘ หน ้ำ ๒๒๓–๒๒๗.

(๘) คำำว่ำ ปัถเวทน์ นี้ เรียกเพี้ยนมำจำก ปเสนทิ กล่ำวคือ เริ่มจำก ปเสนทิ(ปัด- เสน-นะ-ทิ)หรือบำงครั้งก็อ่ำนว่ำ ปัสเสนทิโกศล เมื่ออ่ำนโดยย่อจึงว่ำ ปัด-เสน จำกปัด- เสน จนกลำยเป็น ปัถเวน (ปัถเวทน์) จนปัจจุบัน ซึ่งคำำทำำนำยนี้นับเป็นคำำทำำนำยที่เก่ำ แก่ที่สุดในประวัติศำสตร์ของโลก เป็นคำำทำำนำยที่ปรำกฏอยู่ในคัมภีร์สำำคัญทำง พระพุทธศำสนำ ๒ เล่มด ้วยกันคือ ๑.คัมภีร์ชำตกัฏฐกถำหรืออรรถกถำชำดกซ ึ่งเป็น คัมภีร์ในพระสุตตันตปิฏก คัมภีร์อรรถกถำถือเป็นคัมภีร์ที่อธิบำยควำมแห่งพระไตรปิฏก เกิดขึ้นในรำว ๑,๐๐๐ ปี หลังจำกพระพุทธเจ ้ำปรินิพพำน ปัจจุบันคัมภีร์อรรถกำมีอำยุ

รำว ๑,๕๐๐ ปี และ ๒. คัมภีร์สำรัตถทีปนี เป็นคัมภีร์ในพระวินยปิฏก ในชั้นฏีกำ เป็น คัมภีร์ที่อธิบำยข ้อควำมในอรรถกถำ รวมถึงข ้อควำมในพระไตรปิฏกบำงแห่งบำงตอนที่

คัมภีร์อรรถกถำอธิบำยไม่ชัดเจน มีอำยุรำว ๑,๐๐๐ ปี โดยสรุปแล ้วคำำทำำนำยปัถเวทน์นี้

มีอำยุไม่น ้อยกว่ำ ๑,๕๐๐ ปี ข ้อนี้คำำนวณจำกอำยุของคัมภีร์ทั้งสองที่คำำทำำนำยปัถเวท น์ปรำกฏอยู่

สำำหรับคัมภีร์ชำตกัฏฐกถำ แต่งโดยพระพุทธโฆษำจำรย์ ชำวอินเดียใต ้ ซึ่งท่ำน นับเป็นพระอรรถกถำจำรย์ ที่มีควำมรู ้ควำมสำมำรถในกำรอธิบำยควำมในพระไตรปิฏกที่

มีชื่อเสียงมำกท่ำนหนึ่ง มีชีวิตอยู่ระหว่ำงพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ต ้นฉบับของคัมภีร์นี้เป็น ภำษำบำลี. อนึ่ง คำำว่ำ ชำดก ที่คนไทยรู ้จักกันมำนำนแล ้วนี้ อธิบำยให ้เข ้ำใจอย่ำงง่ำย

(7)

ของโลก และเห็นสมจร ิงตำมที่ท่ำนกล่ำวนั้นบ ้ำงไม่มำกก็น ้อย ควำมในฝันนั้น มีอยู่ ๑๖ ข ้อ มีที่มำในบำลีคือพระไตรปิฎกสยำมรัฐ เล่ม ๒๗ หน ้ำ ๒๔ มีอธิบำยละเอียดในอรรถกถำของพระบำลีนั้น คือ เอกนิบำตวัณณนำ ภำค ๒ หน ้ำ ๑๔๖ ส่วนที่แปลเป็นภำษำไทยแล ้ว คือชำดกฉบับหอสมุดวชิรำวุธ เล่ม ๒ หน ้ำ ๑๗๙ จะยกเอำหัวข ้อบำลี

ในพระไตรปิฎกมำใส่ไว ้ในที่นี้ก่อนคือ(๑๐)

อุสภำ รุกฺขำ คำวิโย ควำ จ อสฺโส กโส สิคำลี จ กุมฺโภ โปกฺขรณี จ อปำกจนฺทนำ ลำวูนิ สีทนฺติ สิลำ ปลวนฺติ มณฺฑูกิโย กณฺหสปฺเป คิลนฺติ กำก สุวณฺณำ ปริวำรยนฺติ

ตสำวกำ เอฬกำนำ ภำยนติ

วิปริยำโย วตฺตติ นยิธมตฺถิ ฯ

ก็คือชำดก นั้น มีด ้วยกัน ๒ ประเภทคือ ๑. นิบำตชำดก เป็นส่วนหนึ่งของพระบำลีพระ ไตรปิฏก ๒. ปัญญำสชำดก มีเรื่องรำวอยู่ประมำณ ๕๐ เรื่องด ้วยกัน ต ้นฉบับเป็นภำษำ บำลี แต่งโดยพระเถรชำวเหนือของสยำมประเทศ แต่ไม่ปรำกฏนำมว่ำชื่อไร

ต่อมำรำว พ.ศ. ๒๔๙๙ สมเด็จกรมพระยำดำำรงรำชำนุภำพ ทรงวินิจฉัยว่ำ น่ำจะ ได ้เค ้ำเรื่องมำจำกหนังส ือมังคลัตถทีปนีหรือหนังส ือมงคลสูตร ที่มีชื่อเสียงจนถึง ปัจจุบันนี้ ซึ่งนิพนธ์โดยพระสิริมังคลำจำรย์ ชำวเชียงใหม่.

ชำดกที่เป็นต ้นกำำเนิดเรื่องคำำทำำนำยปัถเวทน์ คือนิบำตชำดก เป็นส่วนหนึ่งใน พระไตรปิฏก มี ๕๐๐ เรื่อง บำงทีเรียกว่ำ พระเจ ้ำ ๕๐๐ ชำติก็มี ในชั้นของพระบำลีนั้น ข ้อควำมปรำกฏเป็นพระคำถำ เป็นคำำสุภำษิต คำำพูดของบุคคลต่ำงเพียงสั้นๆ หรือมี

เฉพำะคำำอธิบำยเรื่องสั้นๆ ในชั้นอรรถกำจึงมีพระอรรถกถำจำรย์แต่งเรื่องขึ้นประกอบที่

เรียกว่ำนิทำนชำดกขึ้น ที่เรำทรำบกันโดยมำกก็มำจำกคัมภีร์ชำตกัฏฐกถำหรืออรรถกถำ ชำดกนี้เอง โดยในจำำนวน ๕๐๐ เรื่องดังกล่ำวแล ้วนั้น มีเรื่องหนึ่งชื่อว่ำ มหำสุบินชำดก ปรำกฏใน พระไตรปิฏกเล่มที่ ๒๗ เอกนิบำตชำดก วรุณวรรค เป็นลำำดับที่ ๗ แห่งวรรค นี้ โปรดดูเพิ่มใน นำวำโททองย ้อย แสงส ินชัย. พุทธทำานายโลก. (พิมพ์ครั้งที่ ๒) กรุงเทพมหำนคร : สำำนักพิมพ์ดวงแก ้ว. ๒๕๔๐ หน ้ำ ๑๐–๑๓. และอ่ำนเพิ่มใน โพธิ์ทอง,นำมแฝง. พุทธทำานาย ๑๖ ข้อ. กรุงเทพมหำนคร : สำำนักพิมพ์อำำนวย สำส์น. ๒๕๓๘.

(๙) พุทธทำสภิกขุ. ชุมนุมข้อคิดอิสระ(อนุรักษำต ้นฉบับของธรรมทำนมูลนิธิ).

กรุงเทพมหำนคร : สำำนักพิมพ์ธรรมสภำ ๒๕๔๕ หน ้ำ ๑๒๖–๑๓๔. เกี่ยวกับเรื่องคำำ ทำำนำยในชำดกนี้ สมเด็จกรมพระยำดำำรงรำชำนุภำพ ได ้ทรงวินิจฉัยและนิพนธ์ไว ้ใน งำนของท่ำน ชื่อ ปัญญาสชาดก ฉบ ับหอสมุดแห่งชาต ิ ภาค ๑-๒. ตีพิมพ์โดย สำำนักพิมพ์อักษรบริกำร เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๙๙ ปัจจุบันจัดเก็บไว ้ที่หอสมุดแห่งชำติ.

(๑๐) สำำนวนและกำรวิเครำะห์ที่นำำเสนอนี้เป็นของพระพุทธทำสภิกขุอย่ำงเป็น ด ้ำนหลัก ส่วนผู ้ที่สนใจสำมำรถหำอ่ำนเพิ่มได ้จำกฉบับเดิมในเอกนิบำต ชำดก ขุททก นิกำย พระไตรปิฏกฉบับสยำมรัฐ เล่มที่ ๒๗ ข ้อ ๗๗ หน ้ำ ๒๔.

(8)

คำาแปล. หม่อมฉันได ้ฝันเห็นโคอุสุภรำช ๑ ต ้นไม ้๑ แม่โค๑ โคสำมัญ๑ ม ้ำ๑ ถำดทองคำำ๑ สุนัขจิ้งจอก๑ หม ้อนำ้ำ๑ สระโบกขรณี๑ ข ้ำวสำรที่หุงไม่สุก๑ แก่นจันทน์๑ นำ้ำเต ้ำจมนำ้ำ๑ หินลอยนำ้ำ๑ นำง เขียดกลืนก ินงูเห่ำ๑ หงส ์ทองแวดล ้อมด ้วยกำ๑ เส ือกลัวแพะ๑ ดังนี้ ปริยำยอันผิดนี้จักไม่มีในยุคนี้ฯ

เนื้อหำสำระของควำมเรื่องนี้ เริ่มจำกว่ำพระเจ ้ำปเสนทิโกสล มหำรำชแห่งกรุงสำวัตถี แคว ้นโกศล ทรงพระสุบินไปในคืนวันหนึ่งว่ำ ได ้เห็นเรื่องประหลำดที่ไม่คิดว่ำจะเป็นได ้ถึง ๑๖ เรื่องด ้วยกัน รุ่งขึ้น จึงตรัสถำมพรำหมณ์ในที่ประชุมเสนำมหำอำำมำตย์ว่ำควำมฝันของ พระองค์จะมีผลดีร ้ำยประกำรใด คณะพรำหมณ์กรำบทูลว่ำ ควำมฝัน ครั้งนี้ร ้ำยแรงมำก จะมีภัยต่อรำชบัลลังก์และพระชนมำยุ ต ้องทำำพิธี

บูชำยัญด ้วยชีวิตคน สัตว์ และสิ่งของ เป็นจำำนวนมำก เครำะห์ร ้ำยจะ กลำยเป็นเครำะห์ดี และหำยได ้ในที่สุด พระเจ ้ำปเสนทิโกศลทรงตก พระทัย รับสั่งให ้เตรียมกำรทำำพิธีบูชำยัญตำมคำำแนะนำำของคณะ พรำหมณ์ โดยระหว่ำงที่กำำลังเตรียมกำรอยู่นั้น พระนำงมัลลิกำ ทูล แนะนำำให ้ไปขอคำำอธิบำยจำกพระผู ้มีพระภำคเจ ้ำ ซ ึ่งขณะนั้นพระ สัมมำสัมพุทธเจ ้ำทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหำวิหำร ใกล ้กรุงสำ วัตถี พระเจ ้ำปเสนทิโกศลทรงเห็นดีด ้วย จึงเสด็จไปเฝ้ำพระพุทธเจ ้ำ แล ้วกรำบทูลถำมถึงเหตุแห่งมหำสุบินนิมิตนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่ำ ควำมฝันครั้งนี้จะไม่มีผลแก่ตัวพระเจ ้ำปเสนทิโกศล และจะไม่มีผลใน ปัจจุบันนี้ แต่จะมีผลแก่มนุษย์ชำต ิในอนำคตกำล และได ้ทรง พยำกรณ์ควำมฝันของพระเจ ้ำปเสนทิโกศลทีละข ้อจนจบดังนี้ (๑๑)

(๑) อุสภา โคลำ่ำสันสี่ตัววิ่งมำจำกทิศทั้งสี่ มีอำกำรเกรี้ยวกรำด วิ่งเข ้ำหำดุจจะชนกันที่หน ้ำพระลำนหลวง พอเข ้ำใกล ้กัน ก็ถอยห่ำง ออกจำกกันเสีย หำชนกันไม่ ข ้อนี้ทรงทำำนำยว่ำ ไม่เกิดอะไรขึ้นแก่

พระเจ ้ำปเสนทิหรือใครๆในบัดนี้ แต่ว่ำในกำลข ้ำงหน ้ำ เป็นสมัยที่พระ รำชำหรือชนชั้นปกครอง และพลเมืองพำกันประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นธรรม พำกันเดือดร ้อนข ้ำวยำกหมำกแพง กระทั่งฝนก็ไม่ตก มีแต่ลั่นคำำรำม

(๑๑) ข ้อตระหนักคือ ขณะที่ท่ำนผู ้อ่ำนกำำลังอ่ำนเรื่องนี้ คือเรื่องนี้เป็นข ้อควำมที่มี

กำรพูดกันไว ้เมื่อรำว ๒,๕๐๐ ปีที่ผ่ำนมำ ซึ่งสภำพทำงสังคม เศรษฐกิจ เทคโนโลยี

เป็นคนละส่วนกับสภำพปัจจุบัน และสมัยเดิมนั้นยังไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นเครื่องบ่งชี้ให ้เห็น ว่ำสังคมเรำจะพัฒนำกำรมำถึงเฉกเช่นทุกวันนี้ เหตุกำรณ์เหล่ำนี้เป็นคำำทำำนำยที่พบ ตำมคัมภีร์ ผู ้อ่ำนโปรดใช ้วิจำรณญำณในกำรทำำควำมเข ้ำใจและร่วมกันวิเครำะห์ด ้วยจัก เกิดควำมอัศจรรย์ในพระปัญญำธิคุณของพระพุทธเจ ้ำ และดำำรงตนอยู่โดยควำมไม่

ประมำทและมั่นอยู่ในธรรมโดยสุจริต โดยกำรเช่นนี้จักก่อให ้เกิดประโยชน์อย่ำงมำกแก่

สังคมทีเดียว.

(9)

เฉยๆ สำำหรับในบัดนี้ น่ำจะได ้แก่กำรที่มหำประเทศ ทั้งหลำยเข็ดข ้อ ระอำ ในกำรที่จะทำำสงครำมแก่กันได ้แต่คำำรำมกันเฉยๆ

(๒) รุกฺขา ต ้นไม ้ทั้งหลำย พองอกได ้เพียงคืบหนึ่ง หรือศอก หนึ่ง ก็มีดอกและมีลูก ทรงทำำนำยว่ำในกำลข ้ำงหน ้ำสมัยหนึ่ง เด็ก หญิงและชำยจะมีรำคดำำฤษณำไปสู่อำำนำจบุรุษแต่เด็กๆ มีครรภ์และมี

บุตร ทั้งที่วัยยังไม่สมบูรณ์ ข ้อนี้ดูเหมือนว่ำ เท่ำที่ปรำกฏอยู่แก่ตำเรำ ทั่วไปในบัดนี้ ก็พอที่จะรับรองควำมข ้อนี้ได ้แล ้ว

(๓) คาวิโย แม่โคทั้งหลำยต่ำงต ้องพำกันดูดกินนมของลูกโค ที่ตนเพิ่งคลอดออกมำเอง ทรงทำำนำยว่ำ จักมีสมัยหนึ่งซึ่งหมู่มนุษย์

พำกันละเลยต่อเชฎฐำปจำยนกรรม คือกำรนอบน ้อมต่อท่ำนผู ้เจริญ กว่ำ โดยอำยุ โดยชำติและคุณสมบัติ เด็กหนุ่มทั้งหลำยสำมำรถหำ เลี้ยงตัวเองตำมชอบใจ ได ้ทรัพย์มำแล ้ว ชอบใจก็แบ่งให ้บิดำมำรดำที่

แก่เฒ่ำ ไม่ชอบใจก็ไม่แบ่ง ถือลัทธิเสรีภำพแม ้ต่อกฎแห่งกรรม คนแก่

ทั้งหลำยจักต ้องคอยประจบประแจงเอำใจเด็กๆของตน เพื่อขอสิ่งของ มำเพื่อรับประทำนไปวันหนึ่งๆ

(๔) ควา จ หมู่มนุษย์พำกันจับลูกโคอ่อนๆ เข ้ำเทียมแอก ปล่อยโคที่หนุ่มแน่นแข็งแรงเสีย ไม่เอำใจใส่ ผลที่ได ้ก็คือควำมยุ่ง ยำกไม่ลุล่วงสมหมำย ทรงทำำนำยว่ำ จักมีสมัยหนึ่ง ซึ่งพระรำชำ หรือ ชนชั้นปกครอง พำกันมีควำมคิดเห็นตรงกันข ้ำม ปลดอำำมำตย์ที่คงแก่

งำนออกเสียจำกตำำแหน่ง แต่งตั้งหนุ่มคะนองเข ้ำแทนที่ พวกครู

อำจำรย์ต ้องเก็บตัวหุบปำกเงียบ ไม่มีกำรเกี่ยวข ้อง และพวกหนุ่ม คะนองเหล่ำนั้น ลำกเอำกิจกำรของหมู่ของคณะเข ้ำหำควำมยุ่งยำก หนักขึ้นทุกที

(๕) อสฺโส ม ้ำตัวหนึ่ง มีปำกทั้งสองข ้ำงและคงมีหัวสองหัว ด ้วย มหำชนพำกันเอำกล ้ำข ้ำวเหนียวป้อนมันทั้งสองปำกอย่ำง เหลือเฟือ ทรงทำำนำยว่ำ จักมีสมัยหนึ่ง ซ ึ่งผู ้มีอำำนำจตั้งมนุษย์ผู ้ไม่

ยุติธรรมไว ้ในฐำนเป็นผู ้วินิจฉัยคดี เขำพำกันเรียกเอำสินบนเอำจำกคู่

ควำมทั้งสองข ้ำงเสียก่อน แล ้วจึงตัดสินเอำตำมพอใจตน

(๖) กโส มนุษย์พำกันขัดสีถำดทองคำำรำคำตั้งแสน ให ้สวย สะอำดแล ้ว นำำไปหำสุนัขจิ้งจอกให ้ถ่ำย ปัสสวะใส่ ทรงทำำนำยว่ำ จักมีสมัยหนึ่ง ซึ่งคนตระกูลสูงตกอยู่ในควำมประมำท พวกตระกูล หรือวรรณะตำ่ำๆพำกันยกตัวเองขึ้นได ้ด ้วยกำรศึกษำ จนพระรำชำทรง

(10)

แต่งตั้งแทนพวกตระกูลสูง พวกตระกูลสูงจักต ้องยอมให ้บุตรธิดำของ ตนทำำกำรสมรสกับพวกตำ่ำ ข ้อนี้ทรงจัดชั้นมนุษย์ด ้วยตระกูลแทนกำร จัดด ้วยเอำควำมดีเป็นหลักซึ่งเป็นเพียงกำรกล่ำวถึงควำมเป็นไปของ มนุษย์เท่ำนั้น

(๗) สิคาลี ชำยผู ้หนึ่งเอำหนังมำฟั่นเชือกอยู่บนม ้ำนั่ง ห ้อย ส่วนที่ฟั่นแล ้วลงไปใต ้ม ้ำ นำงสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งอยู่ใต ้นั้น มันกิน เชือกที่ฟั่นแล ้วนั้นเสียรำ่ำไป ไม่เป็นเชือกขึ้นมำได ้ ทรงทำำนำยว่ำ จักมี

สมัยหนึ่งซ ึ่งเด็กหญิงพำกันเสื่อมเสียศีลธรรม สำละวนแต่ในกำร ตกแต่งร่ำงกำยให ้สวยงำมโลเลในชำยหนุ่มดื่มนำ้ำเมำ ศึกษำวิชำกำร ยั่วยวนบุรุษให ้หลงใหล ไม่ใส่ใจต่อกำรเรียนของตน ไปหำชู ้โดยกำรก ระโดดข ้ำมรั้วไปบ ้ำง เข ้ำทำงหน ้ำต่ำงบ ้ำง ทรัพย์ที่สำมีตนหำมำได ้สัก เท่ำไร ก็รั่วไหลไปด ้วยกำรหน ้ำไหว ้หลังหลอกนั้นๆ ไม่มีเวลำเหลือ ทำำงำนเรือนสักว่ำพอเป็นที ใช ้เวลำทั้งหมดนอกนั้นเพื่อควำม เพลิดเพลินส่วนเดียว ในยุคที่เรำกำำลังก่อร่ำงสร ้ำงกำำลังให ้แก่ชำตินี้

ขออย่ำให ้สมัยนี้มำถึงแก่พวกเรำชำวไทยเลย

(๘) กุมฺโภ มีโอ่งนำ้ำใหญ่ตั้งอยู่ใบหนึ่ง โอ่งนิดๆล ้อมอยู่เป็นอัน มำกโดยรอบ มนุษย์ทั่วทุกทิศพำกันตักนำ้ำมำใส่แต่โอ่งใบใหญ่นั้นท่ำ เดียวจนหกล ้นไปแล ้วก็ยังใส่ ไม่มีใครใส่ในโอ่งเล็กๆนั้นบ ้ำงเลย ทรง ทำำนำยว่ำ จักมีสมัยหนึ่ง ซึ่งรำษฎรจักต ้องทำำงำนหำรำยได ้ บำำรุง ชนชั้นปกคอรงหรือรัฐบำลโดยส่วนเดียว โดยไม่ต ้องนึกถึงกำรเก็บกำร มีของตนเอง ข ้อนี้ถ ้ำหำกว่ำบำำรุงชำติประเทศด ้วยควำมจำำเป็นใน สมัย ต ้องทำำกำรป้องกันตัวอย่ำงเต็มที่ก็ไม่น่ำจะถือว่ำเป็นข ้อเสียหำย และอีกอย่ำง ควำมข ้อนี้น่ำจะได ้แก่กำรที่ทุกวันนี้ กำรเศรษฐกิจและ อุตสำหกรรมเป็นต ้น มันช่วยให ้คนมั่งมีมั่งคั่งยิ่งขึ้น เครื่องจักรแย่ง แรงงำนของคนจนเสียหมด โอ่งน ้อยๆ จึงว่ำงพร่อง โอ่งใหญ่ๆเต็มล ้น ได ้แก่ปัญหำคนจนไม่มีงำนทำำนั่นเอง

(๙) โปกฺขรณี มีสระนำ้ำใหญ่ ฝูงสัตว์ทุกชนิดพำกันลงกินนำ้ำ แต่นำ้ำลึกๆ ที่กลำงสระกลับขุนเป็นต ้น ส่วนริมขอบสระใสแจ๋วเย็น สะอำด ทรงทำำนำยว่ำ จักมีสมัยหนึ่งซ ึ่งในเมืองหลวงไม่เป็นที่อยู่

อำศัยอันผำสุก มหำชนพำกันหลีกออกไปหำที่อำศัยอันสำำรำญตำม ชนบท ในเมืองหลวงมีแต่ควำมยุ่งยำก ชนบทมีควำมเยือกเย็นสบำยดี

เมื่อในเมืองหลวงกำำลังถูกบีบคั้นจำกโจรภัย เป็นต ้น ที่บ ้ำนนอกเต็มไป ด ้วยควำมเมตตำกรุณำโดยไม่ต ้องอำศัยอำำนำจอำชญำนี้ ท่ำนคง

(11)

หมำยถึงควำมยุ่งยำกทำงกำรเมืองหรือปัญหำเศรษฐกิจ เป็นต ้น มำก กกว่ำควำมป่ำเถื่อน ที่จะเกิดขึ้นในเมืองหลวง

(๑๐) อปากำ ข ้ำวสุกที่บุคคลหุงในหม ้อเดียวกัน ซีกหม ้อข ้ำง หนึ่งสุกดี ข ้ำงหนึ่งสุกๆ ดิบๆ อีกข ้ำงหนึ่งดิบแท ้ ทรงทำำนำยว่ำ จักมี

สมัยหนึ่งซึ่งชนชั้นปกครอง รัฐบำล รำชตระกูล อำำมำตย์ รำษฏรทุกคน พำกันถืออำำนำจเป็นธรรม ไม่เคำรพหลักธรรม กระทั่งพวกเทวดำที่

เนื่องอยู่กับมนุษย์ก็พลอยเป็นไปด ้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น ฝนจักตกไม่

เสมอ ในรัฐสีมำอันเดียวกัน ส่วนหนึ่งมีฝนตก ส่วนหนึ่งไม่ตกเลย อีก ส่วนหนึ่งตกเล็กๆ น ้อยๆ ข ้อนี้คงหมำยถึงชนิดที่มิใช่ธรรมชำติอุตินิยม คือเป็นเพรำะเหตุนั้นๆ บันดำลจริงๆ อีกอย่ำงคือ คำำว่ำ ฝน อำจเป็น ชื่อของควำมผำสุกของประชำชนก็ได ้ โดยเฉพำะนักวิทยำศำสตร์

ธรรมชำติวิทยำ ก็ยังไม่ควรหัวเรำะเยำะเร็วเกินไป เพรำะน่ำจะมีอะไรๆ อยู่มำกที่เรำยังคำดไม่ถึง

(๑๑) จนฺทนำ คนพวกหนึ่ง เอำแก่นจันทน์แดงอย่ำงดีรำคำสูงสุด เป็นอันมำก ไปแลกนมเปรี้ยวอย่ำงเลวๆ หม ้อเดียวท่ำนั้น ทรงทำำนำย ว่ำ จักมีสมัยหนึ่งซึ่งนักบวชในศำสนำนี้ได ้ศึกษำเล่ำเรียนธรรมวินัย ของตถำคตซึ่งมีวิมุติเป็นคุณค่ำอันเลิศ เป็นอันมำกแล ้ว พำกันไปแลก ลำภผลด ้วยเห็นแก่ปำกแก่ท ้องเล็กๆ น ้อยๆ เขำจะนำำเอำคำำของ ตถำคตที่ติเตียนควำมโลภไปแสดงแก่มนุษย์ทั้งหลำย ให ้มนุษย์ละ ควำมโลภนั้นๆ โดยสละปัจจัยถวำยตน อลัชชีเหล่ำนั้นเมื่อไม่อำจถอน ตนออกจำกควำมเป็นทำสในลำภ หรือตั้งอยู่ในฝักฝ่ำยแห่งพระ นิพพำนได ้ก็ได ้อำศัยควำมรู ้ในทำงอรรถพยัญชนะหรือเสียงอันไพเรำะ แสดงธรรม ทำยกผู ้หลงใหลในควำมรู ้หรือเสียงก็ถวำยปัจจัยเป็นอัน มำก อลัชชีบำงพวก จักนั่งแสดงธรรมเรื่องพระนิพพำน ตำมข ้ำงถนน ทำงสี่แพร่งและประตูของพระรำชำ(ประตูวัง) เพื่อเห็นแก่เงินเพียง มำสกหนึ่ง(ประมำณยี่สิบสตำงค์) เป็นอย่ำงตำ่ำ เขำพำกันนำำเอำธรรม ที่ตถำคตแสดงอันประกอบด ้วยคุณค่ำสูงสุด เพรำะอำจยังสัตว์ให ้ถึง พระนิพพำน ที่เขำทั้งหลำยเรียนเอำแล ้วเหล่ำนี้ไปแลกเงินเพียงเล็ก น ้อยเท่ำนั้นเอง ข ้อนี้ ทรงหมำยถึงกำรกระทำำของผู ้ที่มุ่งลำภโดยส่วน เดียว เพรำะคนประเภทนี้เป็นผู ้ก่อให ้เกิดประเพณีว่ำจ ้ำงให ้แสดงธรรม ทั้งที่กำรแสดงธรรมเป็นหน ้ำที่ของบุตรตถำคตโดยตรง

(๑๒) ลาวูนิ สีทนฺติ นำ้ำเต ้ำแห ้ง กลวง เปล่ำ ซึ่งตำมธรรมดำ ย่อมลอยนำ้ำ กลับจมดิ่ง ทรงทำำนำยว่ำจักมีสมัยหนึ่งซึ่งโลกแปรปรวน จนถึงกับนิยมเชื่อถือถ ้อยคำำของคนคดโกง ในรำชสำำนัก ในที่ประชุม

(12)

ที่วินิจฉัยควำม ถ ้อยคำำของคนเท็จ คนประจบ ได ้รับกำรเช ื่อถือ ใน ท่ำมกลำงสังฆสันนิบำต(ที่ประชุมภิกษุสงฆ์ทั้งหมด) คนทุศีลที่อำศัย ศำสนำหำกิน ย่อมมีเสียงดัง มีคนเชื่อฟัง คำำของเขำเป็นดุจว่ำนำำสัตว์

ออกจำกทุกข ์ไปสู่พระนิพพำนได ้ ส ่วนคนที่มีศ ีล ประพฤต ิตรง ประพฤติชอบ ไม่มีเสียง ดุจไม่เป็นถ ้อยคำำที่ยังผู ้ฟังให ้ออกจำกทุกข์

ได ้ แม ้ในกำรตัดสินอธิกรณ์เป็นต ้น ก็ทำำนองเดียวกัน เรื่องนี้ย่อมก่อ ให ้เกิดควำมสังเวชเป็นอันมำกและจะมียุคหนึ่งเสมอที่อธรรมพูดจ ้อ แต่ธรรมเป็นใบ ้

(๑๓) สิลา ปลวนฺติ สิลำแท่นทึบ โตเท่ำเรือน พำกันลอยฟ่อง อยู่เหนือนำ้ำ เหมือนเรือสำำเภำที่มิได ้บรรทุกสินค ้ำ ทรงทำำนำยว่ำ จักมี

สมัยหนึ่งซึ่งโลกแปรปรวน ทำำคนตระกูลสูงตกยำกโดยมำก คนตระกูล ตำ่ำกลับมั่งคั่งและไม่เคำรพคนตระกูลสูง ในที่ประชุมก็คือที่ที่คนไพร่

ตระกูลตำ่ำพูดเยำะเย ้ยถำกถำงคนผู ้ดีตระกูลสูง ในท่ำมกลำงสังฆ สันนิบำตก็คือที่ที่พวกอลัชชี พูดกดขี่ข่มเหง เยำะเย ้ยถำกถำงภิกษุผู ้ เป็นลัชชี ข ้อนี้ ถ ้ำเรำจักเพ่งในฝ่ำยดี ควรเข ้ำใจว่ำ คนตระกูลสูง ประมำทจนเคยตัว วงกลมที่หนักมำกก็หมุนไปตำมกฎแห่งกรรม จน คนตระกูลสูงตกยำก คนตระกูลตำ่ำที่ไม่ประมำทยกตัวเองขึ้นได ้ ด ้วย ควำมรู ้ ควำมสำมำรถของตน จนมีฐำนะดีกว่ำคนชั้นสูง

(๑๔) มณฺฑูกิโย กณฺหสปฺเป คิลนฺติ นำงเขียดน ้อย ไล่ตำม งูเห่ำตัวมหึมำ ทันแล ้วกลืนกินเสียเหมือนที่มันกลืนกินก ้ำนหน่อบัวอัน อ่อน ฉะนั้น ทรงทำำนำยว่ำ จักมีสมัยหนึ่งที่บุรุษพำกันตกอยู่ในอำำนำจ สตรี เพรำะควำมหลงใหลในกำมคุณ บรรดำทรัพย์สมบัติ ข ้ำทำส กรรมกรอยู่ในมือหญิงผู ้เป็นแม่เรือนหมดเลยเป็นเหตุให ้เล่นตัว มี

อำำนำจเด็ดขำดในมือ สำมีไม่กล ้ำปริปำกอะไรแม ้แต่นิดเดียว ข ้อนี้

จะเป็นได ้ในเมื่อสตรีเจริญด ้วยศิลปะในกำรยั่วยวนถึงขีดสุด สำมำรถ ผูกมัดบุรุษไว ้อยู่มือด ้วยประกำรทั้งปวง ถ ้ำจะมีผลดีบ ้ำงก็เป็นผลดีต่อ กำรป้องกันสงครำมของโลกเท่ำนั้น เพรำะเชื่อว่ำบำงทีสตรีอำจห ้ำม บุรุษไม่ให ้รบกันได ้ สตรีไม่ปรำกฏว่ำชอบรบ ถึงจะรบก็ต ้องเป็นกำรรบ ที่อ่อนแอเหมือนเพศของตน

(๑๕) กากำ สุวณฺณา ปร ิวารยนฺต ิ รำชหงส์สีทองทั้งหลำย เที่ยวแห่ห ้อมล ้อมอีกำสีดำำไปทั่วๆ ทรงทำำนำยว่ำ จักมีสมัยหนึ่งซ ึ่ง รำชตระกูลไม่ได ้รับกำรเลี้ยงดูจำกพระรำชำ โดยที่พระรำชำระแวง คิด ตัดกำำลังเสียงหรือด ้วยเหตุอื่นๆ ก็ตำม รำชตระกูลเหล่ำนั้นต ้องหันไป

Referensi

Dokumen terkait

เป็นตัวกำาหนดกลไกทางสังคม ผู้ที่มีอำานาจน้อยต้องเชื่อฟัง ผู้มีอำานาจ ซึ่งสะท้อนได้จากองค์กรต่าง ๆ ของรัฐ รวมถึง สำานักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่มีระบบตำาแหน่ง การกำาหนด

หนังสือแสดงเจตนาตามกฎกระทรวงนี้ ก็คงไมตางอะไรกับหนังสือขอลาตาย ที่ทําไดถูกตองตาม กฎหมาย โดยที่แพทย พยาบาล ไมตองคิดมากหรือไมสบายใจ หรือตองรูสึกขัดแยงกับมโนธรรม