อมตธรรมของพระธรรมปฎก (ประยุทธ ปยุตฺโต)
เลือกสรรเพื่อตีพิมพในสูจิบัตรในโอกาส ที่มหาวิทยาลัยศรีปทุมจัดพิธีถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
ธนภณ ฐิตาภากิตติรัต
1. จริยธรรมของนักวิชาการ
งานวิชาการเปนงานดานเสริมสรางปญญา เพราะฉะนั้น จริยธรรมที่จะตองเนนก็คือจริยธรรมใน ระดับปญญา ซึ่งหมายความวา นอกจากมีความสุจริตใจ ซื่อสัตยตอเรื่องที่ทํา ไมลักไมขโมยเปนตนแลว ก็
ตองมีความรับผิดชอบในการทํางานวิชาการ เริ่มตั้งแตเรื่องขอมูล การจะตีความ วิเคราะห วินิจฉัยตาง ๆ ตองทําดวยความรับผิดชอบ เพื่อมุงจะนําผูอาน ผูฟง ฯลฯ ไปสูความจริง และนําเสนอความจริงใหถองแท...
ความซื่อตรงตอหลักฐานขอมูลขอเท็จจริง ความมีใจใฝรูมุงแสวงหาความจริง ความถูกตองแมนยําในการ นําเสนอ เจตนาที่เปนกุศลมุงปญญา นี้แหละคือตัวจริยธรรมทางวิชาการ
(พระธรรมปฎก(ประยุทธ ปยุตฺโต),กรณีเงื่อนงํา : พระพุทธเจาปรินิพพานดวยโรคอะไร ?, พิมพครั้ง ที่ 3, กรุงเทพฯ : บริษัทพิมพสวยจํากัด, 2544, หนา 177-180)
2. การศึกษากับความสุข
การศึกษาจะตองถือเปนหนาที่ที่จะทําใหคนมีความสุข ปจจุบันนี้มีปญหาวา เราไดถือหนาที่นี้เปนสิ่ง สําคัญหรือไม การศึกษาปจจุบันทําใหคนมีความสุข หรือทําใหคนเปนคนหิวโหยกระหายความสุข ถา ดําเนินการศึกษาผิดพลาดก็จะทําใหคนไมมีความสุข แตการศึกษาจะกลายเปนเครื่องดูดสูบความสุขออกจาก คน
(พระเทพเวที(ประยุทธ ปยุตฺโต), การศึกษาที่สากลบนฐานภูมิปญญาไทย. กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, 2532, หนา 78) 3. จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจเวลานี้ มาถึงขั้นที่ทําใหการบริโภคเปนการสนองความตองการของผูผลิต อันนี้กลายเปน ลักษณะที่เดนขึ้นมา ตามหลักธรรมดานั้น การผลิตยอมจะสนองความตองการของผูบริโภค คือ ผูบริโภคตองการกินใชอะไร ผูผลิตก็ทําการผลิตของกินของใชใหสนองความตองการของผูบริโภค ใหดีที่สุด แตปจจุบันนี้ในยุคธุรกิจเปนใหญ เศรษฐกิจไดกาวมาถึงขั้นที่วา ผูผลิตสามารถใชวิธีการ ตาง ๆ เชน การโฆษณาสินคากระตุนเราความตองการ ตลอดจนปนคานิยมของผูบริโภค ใหเกิด ความตองการหรือเกิดความตื่นเตนที่จะซื้อสินคาที่ตนผลิตหรือคิดจะผลิต ถาผูบริโภคไมรูเทาทัน หรือไมใชปญญา ก็พลานไปตามการปลุกเราของผูผลิต กลายเปนเหยื่อหรือเปนทาสของระบบ แขงขันชวงชิงผลประโยชน
(พระธรรมปฎก(ประยุทธ ปยุตฺโต), ธุรกิจฝาวิกฤติ. พิมพครั้งที่ 2,กรุงเทพฯ : มูลนิธิพุทธธรรม, 2544, หนา 24)
4. ปญญา : ฐานของประเทศมหาอํานาจ
ประเทศที่เรามองเห็นวา มีกําลังเศรษฐกิจ อํานาจการเมือง และมีเทคโนโลยีสูงนั้น อํานาจที่แทจริง ก็ตองอยูที่ปญญานั่นแหละ คือ มีกําลังปญญาเปนฐานและเปนตัวชักเชิดคุมขบวนทั้งหมด ถาจะใหมี
กําลังปญญากันจริง ก็ตองเนนการศึกษาที่ถูกตองที่จะใหมีความเขมแข็งทางปญญากันจริงๆ ใหถึงขั้น เกิดเปนวัฒนธรรมทางปญญา
(พระธรรมปฎก(ประยุทธ ปยุตฺโต), ธุรกิจฝาวิกฤติ. พิมพครั้งที่ 2,กรุงเทพฯ : มูลนิธิพุทธธรรม, 2544, หนา 21)
5. การลมสลายของลัทธิทุนนิยม ?
ลัทธิทุนนิยมกับลัทธิสังคมนิยม ที่มองเห็นกันโตงๆ วา เปนระบบสองอยางตางกัน ที่ขัดแยงกันอยาง ตรงขามนั้น วาที่จริงแลวก็รวมลงในวัตถุนิยมเปนอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งสองอยางนั่นแหละ และทั้ง สองลัทธินั้นก็ลวนตั้งอยูบนฐานแหงแนวคิดแบบกาวราวแบงแยกทั้งสามดวยกันทั้งคู การลมสลาย ของลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต มิใชเปนเครื่องบงบอกวาลัทธิทุนนิยมจะเปนระบบที่ถูกตองดีงาม แตอยางใด ในทางตรงขาม มันกลับชี้นัยวา ในบรรดาลัทธิวัตถุนิยมที่ครอบงําโลก 2 แบบนั้น เมื่อ ความลมเหลวของลัทธิหนึ่งปรากฏออกมาแลว ความลมเหลวของอีกลัทธิหนึ่งก็เปนที่คาดหมายได
(พระธรรมปฎก(ประยุทธ ปยุตฺโต), พุทธวิธีแกปญหาเพื่อศตวรรษที่ 21. พิมพครั้งที่ 15, กรุงเทพฯ : กลุมขันธ
หา, 2544, หนา 30)
6. การศึกษากับการพัฒนาประชาธิปไตย
การปกครองระบอบประชาธิปไตย จําเปนตองอาศัยการศึกษา เพื่อทําใหคนมีคุณภาพ เพราะคุณภาพ ของประชาธิปไตยขึ้นอยูกับคุณภาพของประชาชน
(พระธรรมปฎก(ประยุทธ ปยุตฺโต), กระบวนการเรียนรูเพื่อพัฒนาคนสูประชาธิปไตย. พิมพครั้งที่ 2,กรุงเทพฯ : มูลนิธิพุทธธรรม, 2543, หนา 35)
7. การแกปญหาการศึกษาของสังคมไทย
การที่จะแกปญหาการศึกษาหรือจะแกปญหาสังคมไทยไดนั้น อาตมภาพถือหลักวา จะตองเขาถึง พื้นฐานของไทยและจะตองไลใหทันความคิดชีวิตสังคมฝรั่ง ตองทั้งสองอยางจึงจะสําเร็จ ในสวนที่
ตองไลหรือตองรูใหทันความคิดชีวิตสังคมอเมริกันนั้น เพราะเหตุวาเรากําลังเอาสังคมอเมริกันเปน แบบอยาง... สวนที่วาจะตองเขาถึงพื้นฐานของไทย ก็เพราะวาเราจะตองรูจักเนื้อตัวของเราเองและ ถิ่นที่เราเปนอยู
(พระราชวรมุนี(ประยุทธ ปยุตฺโต), มองอเมริกามาแกปญหาไทย. พิมพครั้งที่ 5,กรุงเทพฯ : บริษัท ดานสุท ธาการพิมพ จํากัด, 2528, หนา 57)
8. วิทยาศาสตรและเทคโนโลยีกับจริยธรรม
...เมื่อขาดจริยธรรมเสียแลว ความเจริญกาวหนาของวิทยาศาสตรผานทางเทคโนโลยีแมแตที่เปน ประโยชนอยางยิ่ง ก็กลายเปนการเพิ่มชองทางแหงภัยอันตรายที่จะเขามาถึงตัวมนุษยใหมากขี้น จนเกิด ภาวะที่เหมือนกับวา วิทยาศาสตรและเทคโนโลยียิ่งเจริญ ภัยอันตรายของมนุษยก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นและ รายแรงยิ่งขึ้น หรืออาจถึงกับเกิดเปนความหมายใหมขึ้นมาวา ความเจริญกาวหนาของวิทยาศาสตรและ เทคโนโลยี คือ การเพิ่มภยันตรายแกโลกมนุษย
(พระเทพเวที(ประยุทธ ปยุตฺโต), พุทธศาสนาในฐานะเปนรากฐานของวิทยาศาสตร. กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2535, หนา 24)
9. วิกฤติที่แทของสังคมไทย
เวลานี้ประเทศไทยมีวิกฤติที่สําคัญยิ่งกวาวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งเปนวิกฤติที่แทคือ วิกฤติคุณภาพคน หรือ วิกฤติในการพัฒนามนุษย อยาใหการสูญเสียทางเศรษฐกิจนั้น มาซอนดวยการสูญเสียทรัพยากรมนุษย
ไปอีก เดี๋ยวจะไมมีทุนที่จะไปฟนเศรษฐกิจนั้นขึ้นมา แตถาเราตั้งหลักใหดี เราเอาโอกาสนี้มาใชในการ พัฒนาคน เราก็จะไดและจะเปนการไดที่เปนแกนสารที่ยั่งยืนดีกวา
(พระธรรมปฎก(ประยุทธ ปยุตฺโต), เราจะกูแผนดินกันอยางไร?. พิมพครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ
บริษัท สหธรรมิก จํากัด, 2542, หนา 41) 10. สงครามและสันติภาพ
ความทะยานอยากไดผลประโยชน(ตัณหา) ความมักใหญปรารถนาอํานาจที่จะครอบงําจัดการผูอื่น (มานะ) หรือความใฝเสพอํานาจ และความยึดมั่นคิดแตจะยัดเยียดบังคับความเชื่อถือศาสนา ลัทธินิยม อุดมการณของตนแกผูอื่น (ทิฐิ) ยังคงเปนแรงจูงใจอยูเบื้องหลังพฤติกรรมที่เรียกวา เปนการสรางสรรค
ความเจริญกาวหนาของมนุษยทั้งหลาย พรอมกับที่เปนเหตุใหพวกเขาสูรบทําลายและกอสงครามกันใน อดีตฉันใด ปจจุบันก็ฉันนั้น การสรางความเจริญกาวหนาดวยแรงจูงใจใฝปรารถนาที่จะสรางสรรคสันติ
แกมวลมนุษย ยังคงเปนเพียงคํากลาวอางที่ยากจะหาตัวอยางการปฏิบัติที่เปนจริง
(พระธรรมปฎก(ประยุทธ ปยุตฺโต), “คํานําเสนอ” ใน.ฉัตรนคร องคสิงห. นางาซากิ : เสียงครวญแหงสันติ.
พิมพครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : สํานักพิมพมติชน, 2542, หนา 14) 11. วิชาพื้นฐาน วิชาชีพ
ศิลปศาสตรหรือวิชาพื้นฐานเปนวิชาที่สรางบัณฑิต โดยพัฒนาคนใหมีความเปนมนุษยที่แทจริง สวนวิชาการอื่นๆ จําพวกวิชาเฉพาะและวิชาชีพเปนวิชาการที่สรางเครื่องมือหรือสรางอุปกรณใหแก
บัณฑิต เพื่อผูที่เปนบัณฑิตนั้น จะไดใชความเปนบัณฑิตของตนทําการสรางสรรคประโยชนสุขใก
เกิดขึ้นแกชีวิตและสังคมไดอยางแทจริง... ในการสอนวิชาศิลปศาสตรหรือวิชาพื้นฐานนี้ จึงมีคติ
อยางหนึ่งซึ่งคูเคียงกับการสอนวิชาเฉพาะวา “สอนวิชาชีพวิชาเฉพาะใหใชผูเชี่ยวชาญ แตจะสอน วิชาพื้นฐานตองใชนักปราชญ”
(พระธรรมปฎก(ประยุทธ ปยุตฺโต), ศิลปศาสตรเพื่อการศึกษาที่ยั่งยืน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร
2540, หนา 22,27)
12. ความสําเร็จของมนุษย
ความสําเร็จที่แทคืออะไร? ความสําเร็จของมนุษย เวลานี้คิดกันแควาฉันชนะในการแขงขัน ฉันได
ผลประโยชนสมประสงค นี่คือความสําเร็จของมนุษยจริงหรือ? ความสําเร็จแบบนี้ก็คือความสําเร็จใน การเบียดเบียนกันในหมูมนุษย ดวยการแยงชิงกันและทําลายกัน ความสําเร็จอยูแคนั้น มนุษยมองไมถึง วา ความสําเร็จ คือการที่ชีวิตนี้บรรลุความดีงาม เปนชีวิตที่สมบูรณ สังคมนี้รมเย็น มีสันติสุข โลกนี้อยู
ในสภาพที่ดี สภาพแวดลอมทุกอยางเรียบรอยนารื่นรมย นี่คือความสําเร็จที่แทจริง
(พระธรรมปฎก(ประยุทธ ปยุตฺโต), จะอยูอยางเปนเหยื่อหรือขึ้นเหนือไปนําเขา. พิมพครั้งที่ 6, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ บริษัท สหธรรมิก จํากัด, 2543, หนา 13)
13. พอแมกับบทบาทในการแสดงโลกแกลูก
พอแมเปนผูแสดงโลกแกลูก เพราะลูกจะพบกับพอแมกอนใครอื่น พอลูกเกิดมา พอแมก็มีบาทบาทนี้
ทันที... พอแมเปนเพื่อนมนุษยคูแรกในโลกที่ลูกไดรูจัก พอเปนตัวแทนของผูชายทั้งหมด แมเปน ตัวแทนของผูหญิงทั้งโลก ทีนี้ พอพบผูชาย-ผูหญิงที่เปนตัวแทนของคนทั้งโลก ก็เปนคนที่มีความรัก มี
เมตตา จึงเปนการเริ่มตนดวยการสรางความรูสึกที่ดี นี่คือตัวแทนของมนุษยในโลก ซึ่งมีความสัมพันธ
ดวยความรูสึกที่ดีงามตอกัน มิใชจะมาพบกันก็จะฆาฟนห้ําหั่นกัน ตอนนี้ความรูสึกเริ่มแรกที่เจอกันก็คือ ไดเจอมนุษยที่ดีกอน ไดเห็นมนุษยที่มีคุณธรรม มีเมตตา มาเปนตัวแทนของมนุษย เปนการสราง ความรูสึกที่ดี พรอมจะเปนมิตรกับคนทั้งหลาย ตอจากนั้นก็เจอกับพี่นอง พอแมก็จะถายผานความรูสึก ใหพี่นองมีความรักตอกัน พอไปเจอเพื่อนมนุษย ความรูสึกฉันญาติก็จะนํามากอน อยางนอยก็มาดุล ไมใหเกิดความรูสึกเปนปฏิปกษ ไมใชเปนศัตรูกัน... แตปจจุบันนี้พอแมกําลังเสียบทบาทนี้ใหกับสื่อ ใหแกทีวี วิดีโอ คอมพิวเตอร อินเตอรเนตเขามาแทน ขณะนี้นาเปนหวงอยางที่เคยใชคําวา เวลานี้ พอ- แมถูกยึดครองดินแดนไปเสีย หมายความวา ครอบครัวเคยเปนดินแดนที่พอแมดูแล เปนผูปกครอง เปน ผูที่นําลูก แตเวลานี้พอแมสูญเสียอํานาจปกครองนี้ไป โดยที่วาบานและครอบครัวไดถูกสื่อ เชน ทีวี และ วิดีโอเขามายึดครองมาทําหนาที่แทนพอแมในการแสดงหรือนําเสนอโลกแกลูก
(พระธรรมปฎก(ประยุทธ ปยุตฺโต), ความสุขของครอบครัว คือสันติสุขของสังคม. พิมพครั้งที่ 13, กรุงเทพฯ : บริษัท พิมพสวย จํากัด, 2543, หนา 15-16)
14. ความรับผิดชอบตอสังคม
การรับผิดชอบตอสังคม ยอมรวมถึงความตระหนักในภาวะที่ตนเปนสวนหนึ่งของสังคมนั้น และการที่
ตนมีสวนรับผิดชอบในปญหาทั้งหลายของสังคมนั้นดวย การรับผิดชอบตอปญหานั้น ไมไดหมายเพียง การรับผิดชอบในการที่จะเปนผูแกปญหาเทานั้น การมองความรับผิดชอบเพียงในแงของการเปนผู
แกปญหานั้น เปนการพรางตนเองอยางสําคัญ เปนการแยกตัวออกไปตางหาก และยกตัวเปนผูกลาหาญ จากภายนอกที่จะมาแกปญหาใหแกผูอื่นในสังคม ความจริงความรับผิดชอบหมายถึง ความสํานึกถึงการ ที่ตนมีสวนรวมในการทําใหเกิดปญหานั้นดวย ไมโดยตรงก็โดยออมในปญหาทุกๆ อยางและในทุกๆ สวนของสังคม
(พระราชวรมุนี(ประยุทธ ปยุตฺโต), สถาบันสงฆกับสังคมไทย. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2527, หนา 123)