การรับรู และทัศนคติ ของผูใชอินเทอรเน็ตในเขตกรุงเทพมหานคร ที่มีตอพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ. 2550
PERCEPTION AND ATTITUDE OF INTERNET USERS IN BANGKOK AREA ON COMPUTER CRIME ACT B.E. 2550
ณัฐพงศ ยอดดี
นักศึกษา หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีปทุม E-mail: [email protected]
บทคัดยอ
การวิจัยครั้งนี้ เปนการวิจัยเชิงสํารวจ (Survey Research) มีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาถึงการรับรู และทัศนคติ
ของผูใชอินเทอรเน็ตในเขตกรุงเทพมหานคร ที่มีตอพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับ คอมพิวเตอร พ.ศ.2550 โดยใชแบบสอบถาม (Questionnaire) ในการเก็บขอมูลประชากรกลุมตัวอยางที่ใชใน การศึกษาครั้งนี้ คือ ผูใชอินเทอรเน็ตในเขตกรุงเทพมหานคร จํานวน 400 คน โดยใชการสุมตัวอยางแบบหลาย ขั้นตอน (Multistage Sampling) กลาวคือ ขั้นแรกใชวิธีการสุมตัวอยางแบบงาย (Simple Random Sampling) โดยวิธีจับสลากเพื่อใหไดเขตที่เปนตัวแทนมาจํานวน 10 เขต จากจํานวนเขตการปกครองทั้งสิ้น 50 เขต ในกรุงเทพมหานคร จากนั้นใชวิธีการสุมตัวอยางแบบการกําหนดจํานวนตัวอยาง (Quota Sampling)
โดยกําหนดใหแตละเขตที่เปนตัวแทนทั้งหมด 10 เขต มีจํานวนตัวอยางเขตละ 40 คน เมื่อเราไดจํานวนตัวอยาง ตามที่กําหนดแลว ขั้นตอนสุดทายคือใชวิธีการสุมตัวอยางแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยเลือกเฉพาะผูที่
ใชบริการอินเทอรเน็ตที่อาศัยอยูในแตละเขตที่เปนตัวแทนจํานวนเขตละ 40 คน
สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูลแบงออกเปน 2 สวน ไดแก สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) โดยใช คารอยละ (Percentage) คาเฉลี่ย (Means) และสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สถิติเชิง อนุมาน (Inferential Statistics) ใชสถิติไคสแควร (Chi-square) และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธแบบสเปยรแมน (Spearman rank correlation coefficient) เพื่อทดสอบความสัมพันธ และใช T-test, One-way ANOVA เพื่อ ทดสอบความแตกตาง โดยกําหนดระดับนัยสําคัญทางสถิติที่ 0.05
คําสําคัญ
: พระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 ผูใชอินเทอรเน็ตABSTRACT
This research is the survey research with the objective to study the perception and attitude of internet users in Bangkok Area on Computer Crime Act B.E. 2550 by using questionnaire. In collecting the data, the
first stage which the Simple Random Sampling are used by using ballot method in order to receive the 10 representative areas from the total amount of 50 administration areas in Bangkok. After that the sampling by specifying the Quota Sampling are used by specifying the 10 representative area with the sample for 40 people each when we have received the sample amount as specified. The last step is to use the Purposive Sampling by selecting only the Internet Service User living in each area that is the representative of the number for 40 for areas.
The statistics used in analyzing the data are divided into 2 parts which are Descriptive Statistics by using Percentage, Means and the Standard Deviation, Inferential Statistics, Chi-square and the Spearman rank correlation coefficient in order to test the relation and to use T-test, One-way ANOVA in order to test the difference by specifying the statistical significance at 0.05.
KEYWORDS:
Computer Crime Act B.E. 2550,
Internet user1. ที่มาและความสําคัญของปญหา
สืบเนื่องจาการที่เทคโนโลยีอินเตอรเน็ตไดพัฒนากาวหนาอยางไมหยุดยั้ง ขอมูลที่มีอยูในรูปแบบตางๆ ทั่วโลกไดถูกนํามาเผยแพรบนเว็บไซตทําใหทุกคนในโลกนี้สามารถเขาถึงขอมูลตาง ไดอยางรวดเร็วและไร
พรหมแดน ประเทศไทยก็เปนประเทศหนึ่งที่อินเทอรเน็ต เขามามีบทบาทสําคัญในชีวิตหลายๆดาน และมี
จํานวนผูใชอินเทอรเน็ตมากขึ้นทุกป ปญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นพรอมๆ กับการเพิ่มขึ้นของจํานวนผูใชอินเทอรเน็ตก็คือ การกระทําความผิดทางคอมพิวเตอรผานสื่ออินเทอรเน็ต นั้นเอง เชน ไวรัส สื่อลามกอนาจาร การหมิ่นประมาท การพนัน การเจาะระบบ การฉอโกง เปนตน
เมื่อการกระทําความผิดเหลานี้ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และสรางความเดือนรอนตอ เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ รัฐบาลจึงตองหาทางแกไขปญหาเหลานี้ และทางออกก็คือ การรางกฎหมายขึ้นมา ใหม และออกบังคับใช ซึ่งก็คือ พระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 เพื่อ หวังวาจะชวยลดปญหาการกระทําความผิดทางคอมพิวเตอรใหนอยลงและสรางความเกรงกลัวใหแกผูกระทําผิด แตผลลัพธก็คืออัตราการกระทําความผิดทางคอมพิวเตอรเพิ่มมากขึ้น และเกิดขอวิพากษวิจารณในตัวกฎหมาย ฉบับนี้มากมาย เชน 1.) กฎหมายนี้เปนแคเพียงเครื่องมือของภาครัฐในการเอาผิดเทานั้นแตประชาชนไมไดรับรูใน ตัวกฎหมายฉบับนี้เลย 2.) กฎหมายนี้อาจจะไปปดกันเสรีภาพในการรับรูของประชน เพราะโลกอินเทอรเน็ตเปน โลกที่เปดกวางและมีเสรีในการแสดงความคิดเห็น ถาตองลดบทบาทตรงนี้ลงไป อาจทําใหประชาชนไดรับรู
ขาวสารขอเท็จจริงนอยลง 3.) ทําใหภาครัฐมีอํานาจมากเกินไปและอาจจะเปนการละเมิดสิทธิ์สวนบุคคลของ ประชาชน
ดวยเหตุนี้จึงเปนสาเหตุใหผูวิจัยไดทําการศึกษาเรื่อง การรับรู และทัศนคติ ของผูใชอินเทอรเน็ตในเขต กรุงเทพมหานคร ที่มีตอพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 ทั้งนี้เพื่อ สะทอนใหเห็นถึงมุมมองและความรูของประชาชนที่มีตอพระราชบัญญัตินี้ เพราะพระราชบัญญัติ ก็ถือเปน
กฎหมายอยางหนึ่ง ที่กําหนดกฎเกณฑซึ่งมีเนื้อหาเปนการทั่วไป ไมมุงเฉพาะเจาะจงตอบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือ ใชบังคับแกกรณีใดกรณีหนึ่ง แตเปนของสวนรวม ประชาชนทุกคนเปนสวนหนึ่งของสังคมที่จะตองปฏิบัติตาม และยังเปนสวนหนึ่งที่จะทําใหพระราชบัญญัตินี้ประสบความสําเร็จได หากไดรับความรวมมือรวมใจกันเปน แรงผลักดันใหทุกๆ ฝายในการสอดสองดูแลใหปญหาที่สืบเนื่องมาจากความกาวหนาของเทคโนโลยีหมดไปจาก สังคมได
2. วัตถุประสงคของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาการรับรู และทัศนคติ ของผูใชอินเทอรเน็ตในเขตกรุงเทพมหานครที่มีตอพระราชบัญญัติวา ดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550
2. เพื่อศึกษาความแตกตางระหวางลักษณะทางประชากร กับการรับรูและทัศนคติตอพระราชบัญญัติวา ดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550
3. เพื่อศึกษาความสัมพันธระหวางลักษณะทางประชากร กับการรับรูและทัศนคติตอพระราชบัญญัติวา ดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550
3. สมมติฐานการวิจัย
1. ลักษณะทางประชากรที่แตกตางกัน จะมีการรับรูในเรื่องพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 แตกตางกัน
2. ลักษณะทางประชากรที่แตกตางกัน จะมีทัศนคติตอพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร พ.ศ.2550 แตกตางกัน
3. ลักษณะทางประชากรที่แตกตางกัน จะมีการเปดรับสื่อแตกตางกัน
4. ลักษณะทางประชากรมีความสัมพันธกับการรับรูเรื่องพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550
5. ลักษณะทางประชากรมีความสัมพันธกับทัศนคติตอพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร พ.ศ.2550
6. การเปดรับสื่อมีความสัมพันธกับการรับรูเรื่องพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร พ.ศ.2550
7. การเปดรับสื่อมีความสัมพันธกับทัศนคติตอพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร พ.ศ.2550
8. การรับรูเรื่องพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 มีความสัมพันธ
กับทัศนคติตอพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550
4. กรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual Model)
ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) ตัวแปรตาม (Dependent Variable)
5. ระเบียบวิธีวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ เปนการวิจัยเชิงสํารวจ (Exploratory Reseach) ในการศึกษาเกี่ยวกับ การรับรู และทัศนคติ
จึงใชแบบสอบถาม (Questionnaire) เปนเครื่องมือในการเก็บรวบรวมขอมูล โดยกําหนดระยะเวลาในการเก็บ รวบรวมขอมูล ตั้งแตวันที่ 1 – 30 มิถุนายน 2552 ประชากรในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผูใชอินเทอรเน็ตในเขต กรุงเทพมหานคร จํานวน 400 ราย
เครื่องมือที่ใชในการเก็บรวบรวมขอมูลในการวิจัยครั้งนี้ ไดแก แบบสอบถาม (Questionnaire) ซึ่งเปน แบบสอบถามชนิดคําถามปลายปด (Close-Ended Question) ที่ผูศึกษาไดสรางขึ้นเองเปนเครื่องมือในการเก็บ รวบรวมขอมูล จะแบงออกเปน 4 สวน ดังนี้
สวนที่ 1 เปนคําถามเกี่ยวกับขอมูลทั่วไปของผูตอบแบบสอบถาม ไดแก เพศ อายุ สถานภาพ ระดับ การศึกษา อาชีพ ประสบการณใชอินเทอรเน็ต และความถี่ในการใชอินเทอรเน็ต จํานวน 7 ขอ
สวนที่ 2 เปนคําถามเพื่อประเมินการเปดรับขาวสารจากสื่อประเภทตางๆ จํานวน 20 ขอ
สวนที่ 3 เปนคําถามวัดการรับรูในเรื่องพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร
พ.ศ.2550 จํานวน 13 ขอ
สวนที่ 4 เปนคําถามวัดทัศนคติที่มีตอพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร
พ.ศ.2550 จํานวน 10 ขอ
สําหรับการทดสอบความเที่ยงตรงของแบบสอบถามในการวิจัยครั้งนี้ จะใชการทดสอบความเที่ยงตรงตาม เนื้อหา (Content Validity) ของแบบสอบถามที่ใชในการวิจัยจะตองมีเนื้อหาที่ตรงกับเรื่องที่วิจัย สามารถวัดใน เนื้อหาที่ตองการวัดไดอยางถูกตอง โดยใหผูที่มีความชํานาญตรวจสอบความถูกตองของเนื้อหา ปริมาณ โดยใชคา ดัชนีความสอดคลองระหวางขอคําถามกับวัตถุประสงค (Item-Objective Congruence Index : IOC) การหาคาดัชนี
IOC นี้ ผูวิจัยใชวิธีของโรวิเนลลิ และแฮมบิลตัน
หลังจากสรางแบบสอบถามและปรับปรุงเสร็จแลว ผูวิจัยไดนําแบบสอบถามไปทําการทดสอบ (Pilot Test) เพื่อแสดงความเชื่อถือได (Reliability) กับกลุมตัวอยางจํานวน 30 คน เพื่อทดสอบวาคําถามแตละขอ แตละ ตอนในแบบสอบถามสามารถสื่อความหมายไดตรงตามที่ผูวิจัยตองการหรือไม คําถามที่ใชเหมาะสมหรือไม
ยากหรืองายตอความเขาใจ จากนั้นนํามาทดสอบหาความนาเชื่อถือ (Reliability) โดยใชวิธีการดังนี้
ในสวนของคําถาม ตอนที่ 3 การรับรูในเรื่องพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับ
คอมพิวเตอร พ.ศ.2550 ที่มีการใหคะแนนแตละขอแบบ ตอบถูกได 1 ตอบผิดได 0 ผูวิจัยหาคาความเชื่อมั่นโดย ใชสูตรของ Kuder Richardson โดยใชสูตร KR20 และในสวนของคําถาม ตอนที่ 2 การเปดรับสื่อ และตอนที่ 4 ทัศนคติที่มีตอพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 ที่มีการใชแบบสอบถาม ชนิดมาตราสวนประเมินคา (Rating scale) ผูวิจัยจะใชวิธีการวิธีหาความเชื่อมั่นสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของ Cronbach
6. อภิปรายผล
การรับรู และทัศนคติ ของผูใชอินเทอรเน็ตในเขตกรุงเทพมหานคร ที่มีตอพระราชบัญญัติวาดวยการ กระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 จากการศึกษาพบวา กลุมตัวอยางสวนใหญเปนเพศหญิง รอยละ 61.0 อายุระหวาง 26 - 35 ป รอยละ 45.5 มีการศึกษาอยูในระดับปริญญาตรี รอยละ 59.5 มีอาชีพเปนพนักงาน บริษัท/หางรานเอกชน รอยละ 37.8 มีรายไดระหวาง 10,001 - 20,000 รอยละ 27.2 มีประสบการณการใช
อินเทอรเน็ต 7-10 ป รอยละ 40.2 และมีความถี่ในการใชอินเทอรเน็ตมากกวา 20 ชั่วโมง/สัปดาห รอยละ 63.2 ดานการเปดรับสื่อ กลุมตัวอยางที่ไดทําการศึกษาในครั้งนี้มีการเปดรับขาวสารผานสื่อ อินเทอรเน็ต และโทรทัศน อยูในระดับสูง คิดเปนรอยละ 78.2 และรอยละ 57.2 และสื่อที่กลุมตัวอยางคิดวาจะทําใหมีความรู
ความเขาใจในเรื่องพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 ไดดียิ่งขึ้นคือสื่อ อินเทอรเน็ต อยูในระดับสูง คิดเปนรอยละ 51.0
ดานการรับรู กลุมตัวอยางที่ไดทําการศึกษาในครั้งนี้ สวนใหญมีการรับรูอยูในระดับปานกลาง คิดเปน รอยละ 53.5 รองลงมาคือมีการรับรูอยูในระดับสูง คิดเปนรอยละ 33.75 และกลุมที่มีจํานวนนอยสุดคือ กลุม ตัวอยางที่มีการรับรูอยูในระดับต่ํา คิดเปนรอยละ 12.75
ดานทัศนคติ กลุมตัวอยางที่ไดทําการศึกษาในครั้งนี้ สวนใหญมีทัศนคติเปนกลางตอพระราชบัญญัติวา ดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 คิดเปนรอยละ 60.75 รองลงมาคือมีทัศนคติระดับสูงตอ พระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 คิดเปนรอยละ 38.25 และกลุมที่มี
จํานวนนอยสุด คือกลุมตัวอยางที่มีทัศนคติระดับต่ําตอพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับ คอมพิวเตอร พ.ศ.2550 คิดเปนรอยละ 1.0
ผลการทดสอบความแตกตางระหวางคาเฉลี่ย (Independent Sample T-test) และความแตกตางระหวาง กลุม (One-way ANOVA) พบวาลักษณะทางประชากร ไดแก เพศ และประสบการณการใชอินเทอรเน็ต ที่แตกตางกันมีผลทําใหการรับรูตอพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 แตกตางกัน สวนในดานทัศนคติพบวา ระดับการศึกษาที่แตกตางกันจะมีผลทําใหมีทัศนคติตอพระราชบัญญัติ
วาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 แตกตางกัน และในดานการเปดรับสื่อ ไมมีตัวแปรใด ในลักษณะทางประชากร ที่มีผลทําใหการเปดรับสื่อแตกตางกัน
ผลการทดสอบความสัมพันธของตัวแปร โดยใชสัมประสิทธิ์สหสัมพันธแบบ สเปยรแมน (Spearman rank correlation coefficient หรือ Spearman's rho) และไคสแควร (Chi-square) พบวาลักษณะทางประชากร ไดแก เพศ เพศ และประสบการณการใชอินเทอรเน็ต มีความสัมพันธ กับการรับรูเรื่องพระราชบัญญัติวาดวย การกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สวนในดานทัศนคติ
พบวา ระดับการศึกษา และรายไดมีความสัมพันธกับทัศนคติตอพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอรพ
.
ศ.2550
อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และในดานการเปดรับสื่อยังพบวามีความสัมพันธเชิงบวกกับการรับรูและทัศนคติตอพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร
พ
.
ศ.2550
อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.057. ขอเสนอแนะ
จากการวิจัยครั้งนี้พบวากลุมผูใชอินเทอรเน็ตมีการรับรู และทัศนคติ ตอพระราชบัญญัติวาดวยการกระทํา ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 อยูในระดับปานกลาง ซึ่งกลุมผูใชอินเทอรเน็ตที่มีประสบการณใน การใชอินเทอรเน็ตมานาน และมีระดับการศึกษาสูง ยอมมีการรับรู และทัศนคติที่สูงตาม ดังนั้นการที่ภาครัฐ และหนวยงานที่เกี่ยวของตองการที่จะเผยแพรและสรางความรูความเขาใจแกประชาชน ควรเริ่มจาก
กลุมเปาหมายที่เปนผูใชอินเทอรเน็ตรายใหม ที่ยังมีประสบการณการใชอินเทอรเน็ตไมมาก หรือยังไมเคยเลย โดยเริ่มจากลุมที่มีระดับการศึกษานอยเชน ระดับประถม หรือเริ่มตั้งแตวัยเยาว เพื่อเปนการปลูกฝงจริยธรรม การใชไอทีตั้งแตเริ่มตนจากจิตสํานึกวัยเยาวในโรงเรียน วาสิ่งที่ไหนควรทํา หรือไมควรทํา โดยการประยุกตเขา กับระบบการศึกษาเพื่อใหเหมาะสมกับเด็ก เชน ทําเปนรูปการตูน เรื่องราวที่คลายกับใหความรูทางออม อยูที่
รูปแบบและวิธีการนําเสนอ ซึ่งจะเปนการสรางจิตสํานึกใหผูใชเกิดความตระหนักถึงการใชงานและใชอยางมี
คุณคาตอไป
ถึงแมวากลุมผูใชอินเทอรเน็ตที่มีประสบการณในการใชอินเทอรเน็ตมานาน และมีระดับการศึกษาสูง จะเปนกลุมที่มีการรับรู และทัศนคติอยูในระดับสูงก็ตาม แตในภาพรวมก็คืออยูในระดับปานกลาง
ซึ่งหมายความวายังมีกลุมผูใชอินเทอรเน็ตบางกลุมที่ยังไมมีการรับรูในเรื่องพระราชบัญญัติวาดวยการกระทํา ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 หรือมีการรับรูในระดับต่ํา ดังนั้นการที่จะเผยแพรและสรางความรูความ จึงอาจทําไดงายกวาเนื่องดวยคุณวุฒิ และวัยวุฒิ ซึ่งผูวิจัยเห็นวาตัวพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 ซึ่งมีเนื้อหาเปนภาษาในทางกฎหมาย และศัพทเฉพาะทาง อาจทําใหเขาใจได
ยาก ถาไมใชผูที่มีความรูหรือเกี่ยวของเฉพาะทาง การที่จะเผยแพรและสรางความรู ควรมีการใชภาษาที่เขาใจ งาย พรอมยกตัวอยางประกอบ แตยังคงไวซึ่งตัวบทกฎหมาย
สําหรับสื่อที่จะใชในการเผยแพรนั้น จากการศึกษาในครั้งนี้ สื่ออินเทอรเน็ตเปนสื่อที่กลุมตัวอยางใชมาก ที่สุดและมีความคิดเห็นวาจะเปนสื่อที่จะชวยใหเขาใจและรับรูในตัวพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 ไดดียิ่งขึ้น เพราะในปจจุบันนี้สื่ออินเทอรเน็ต ไดมีการพัฒนาเปนสื่อใหม ที่
เรียกวา New Media ซึ่งเกิดจากการใชเทคโนโลยีจากสื่อหลาย ๆ ประเภทมารวมกัน เนื่องจากรูปแบบการดําเนิน ชีวิตของคนที่ใชชีวิตอยูนอกบานมากขึ้น ทําใหสื่อมีการพัฒนาชองทางและรูปแบบเพื่อใหเขาถึงผูบริโภคมาก ที่สุด “สื่อนอกบาน” จึงเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ทุกตารางนิ้ว ที่สามารถจับกลุมเปาหมายมากที่สุด นอกจากนี้ New Media หรือดิจิตอลมีเดีย ก็เติบโตขึ้นเปนทางเลือกใหมในยามที่สื่อเกาอยางโทรทัศน วิทยุ และสิ่งพิมพ มีขอจํากัด จากอํานาจรัฐ ทําใหทั้งผูชม ผูผลิต และนักโฆษณาหันไปหา “สื่อใหม” อยางทีวีดาวเทียมและเว็บไซต อยางที่ไม
เคยเปนมากอน นับเปนการเปลี่ยนแปลงที่สั่นสะเทือนสภาพเศรษฐกิจและสังคมอยางเห็นไดชัด
ดังนั้นทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และหนวยงานที่เกี่ยวของ จะตองอาศัยความรวมมือจากผูประกอบการ เว็บไซตใหชวยเผยแพรและสรางการรับรูเกี่ยวกับตัวพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับ
คอมพิวเตอร พ.ศ.2550 แกผูใชอินเทอรเน็ต โดยใหหนาโฮมเพจของทุกเว็บมีคอนเทนต ที่แสดงถึงเนื้อหาสาระ เกี่ยวกับตัวพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550 ในจุดใดจุดหนึ่งของหนา เว็บ เพื่อใหผูใชอินเทอรเน็ตไดตระหนักในการใชงานที่ถูกตองและมีคุณคา
8. รายการอางอิง
กรองกาญจน ชนะเสรีชัย, 2543. การรับรู และ ทัศนคติของกลุมรักตางเพศและกลุมรักรวมเพศที่มีตอโฆษณา รักรวมเพศในสื่อสิ่งพิมพและพฤติกรรมรักรวมเพศสังคมไทย. วิทยานิพนธมหาบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร
จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
กาญจนา แกวเทพ, 2541. สื่อสารมวลชน: ทฤษฎีและแนวทางการศึกษา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพภาพพิมพ.
เชาวลิต นาสา, 2548. การรับรูขาวสาร ความรู และทัศนคติที่มีตอพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาทองถิ่น หรือผูบริหารทองถิ่น พ.ศ.2545: ศึกษาเฉพาะกรณีสมาชิกสภาเทศบาลและผูบริหารทองถิ่นในเขตจังหวัด นครปฐม. วิทยานิพนธ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสังคมศาสตรเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม.
ณรงค สมพงษ, 2543. สื่อมวลชนเพื่องานสงเสริม. กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.
บุญชม ศรีสะอาด, 2543. การวิจัยเบื้องตน. พิมพครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สุวีริยสาสน.
ประคอง กรรณสูตร, 2542. สถิติเพื่อการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร. พิมพครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพแหง จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
ผูจัดการออนไลน, 2551. ประเมิน พ.ร.บ.คอมพิวเตอรแคเครื่องมือของรัฐ. [ออนไลน]. เขาถึงเมื่อ 22 กรกฎาคม 2551 จาก http://www.manager.co.th/CyberBIZ/ViewNews.aspx?NewsID=9510000085990
พรเพชร วิชิตชลชัย, 2550. คําอธิบายพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.
2550. [ออนไลน]. เขาถึงเมื่อ 6 มีนาคม 2552 จาก http://www.mict.go.th/ewtadmin/ewt/mict_web /download/law/38_.pdf
พระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550, 2550. ในราชกิจจานุเบกษา.
เลม 124 ตอนที่ 27 ก.
พัชนี เชยจรรยา, เมตตา วิวัฒนานุกูล และถิรนันท อนวัชศิริวงศ, 2534. แนวคิดหลักนิเทศศาสตร. กรุงเทพฯ:
คณะนิเทศศาสตร, จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
เพชรา บุดสีทา, 2549. การวิจัยธุรกิจ. กําแพงเพชร: คณะวิทยาการจัดการ, มหาวิทยาลัยราชภัฏกําแพงเพชร.
เนคเทคพีเดีย, 2550. รางพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร. [ออนไลน]. เขาถึงเมื่อ 27 มกราคม 2552 จาก http://wiki.nectec.or.th/nectecpedia/index.php
วัลลภา เพ็ชรใสประเสริฐ, 2547. การรับรู ทัศนคติ แนวโนมพฤติกรรมการเขารวมในโครงการฝากบานกับ ตํารวจ ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธมหาบัณฑิต คณะวารสารศาสตร และ สื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.
วิชิต อูอน, 2550. การวิจัยและการสืบคนขอมูลทางธุรกิจ. กรุงเทพฯ: พรินทแอทมี.
ศิญานิลท ศักดิ์ดุลยธรรม, 2551. ความรู การประเมินผลกระทบและแนวโนมพฤติกรรมของผูใชอินเทอรเน็ต เกี่ยวกับพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร พ.ศ.2550. วิทยานิพนธ
มหาบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร สาขาวารสารสนเทศ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
ศูนยวิจัยกสิกรไทย, 2551. บังคับใชกฎหมายจัดเก็บขอมูลจราจรทางคอมพิวเตอร. มองเศรษฐกิจฉบับที่ 2259.
[ออนไลน]. เขาถึงเมื่อ 21 สิงหาคม 2551 จาก http://www.kasikornresearch.com/portal/site/KResearch/
rsh_d/?id=16204&cid=7
สาวตรี สุขศรี, 2549. ประวัติศาสตร อาชญากรรมคอมพิวเตอร. [ออนไลน]. เขาถึงเมื่อ 27 มกราคม 2552 จาก http://biolawcom.de/blog/453
Allport ,Gardon W., 1976. “Attitude” in C.Murchison ed. Handbook of Social Psychology: Clark University Press, Mass.
Mcquire, W.J., 1969. The Nature of Attitudes and Attitude change. M.A: Addison Wesley.
Schiffman, Leon G. and Kanuk Leslie Lazar, 1991. Consumer Behavior. 4th ed. New Jersey:
Englewood Cliffs.
Yamane Taro, 1993. Statistic – An Introductory Analysis. 5th ed. Tokyo: Harper and Row Prblishere.
Zimbardo, P., E.B. Ebbesen, and C. Maslach, 1977. Influencing Attitudes and Changing Behavior.
Massachusetts: Addison-Wesley.