• Tidak ada hasil yang ditemukan

The Relationship between Attitude toward Health Service and learning Achievement of Nursing Students of Boromarajonani College of Nursing, Nakhonratchasima

N/A
N/A
Nguyễn Gia Hào

Academic year: 2023

Membagikan "The Relationship between Attitude toward Health Service and learning Achievement of Nursing Students of Boromarajonani College of Nursing, Nakhonratchasima "

Copied!
10
0
0

Teks penuh

(1)

ความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพกับผลสัมฤทธิของการศึกษาของนักศึกษา พยาบาลศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา

ศกุนตลา อนุเรือง พย.ม.* ลออวรรณ อึงสกุล คม.**

วิภาวี พลแก้ว พย.บ.***

บทคัดย่อ

การวิจัยนีเป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive research) มีวัตถุประสงค์เพื*อศึกษาทัศนคติต่อการ ทํางานบริการสุขภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพศาสตร์ กับผลสัมฤทธิ;

ทางการเรียนของนักศึกษาพยาบาล ประชากรในการวิจัยครังนี ได้แก่นักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชันปี

ที* 2-4 ปีการศึกษา 2551 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา จํานวน 568 คน กลุ่มตัวอย่าง กําหนดขนาดโดยใช้เกณฑ์ร้อยละ 80.00 สุ่มแบบแบ่งชัน ได้กลุ่มตัวอย่างจํานวน 454 คน แบ่งข้อมูลเป็น 2 ส่วน คือ ข้อมูลทั*วไป เกรดเฉลี*ยสะสม และทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพ โดยใช้แบบสอบถาม ทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพที*สถาบันพระบรมราชชนกสร้างขึน วิเคราะห์ข้อมูลหา ความถี* จํานวน ค่าร้อยละ ค่าเฉลี*ย และทดสอบความสัมพันธ์โดยใช้สถิติไคสแคว์ (Chi-square)

ผลการวิจัยพบว่า

1. ทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชันปีที* 2, 3 และ 4 ปีการศึกษา 2551 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง ทุกชันปี

2. ทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชันปีที* 4 มีค่าเฉลี*ยคะแนน ทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพอยู่ในระดับสูง (47.60) แต่นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชันปีที* 2 และ3 มี

ค่าเฉลี*ยอยู่ในระดับปานกลาง (43.74 และ 43.65 ตามลําดับ)

3. ทัศนคติ ต่อการทํางานบริการสุขภาพ กับผลสัมฤทธิ;ทางการเรียนของนักศึกษาสัมพันธ์กันอย่าง ไม่มีนัยสําคัญทางสถิติ (p > .05)

คําสําคัญ: บริการสุขภาพ, นักศึกษาพยาบาล, ผลสัมฤทธิ;การศึกษา

_____________________________________________________________________________________

* พยาบาลวิชาชีพชํานาญการด้านการสอน สํานักพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา

** พยาบาลวิชาชีพชํานาญการพิเศษ ภาควิชาการพยาบาล 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา

*** พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ ภาควิชาการพยาบาลเด็ก วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา

(2)

The Relationship between Attitude toward Health Service and learning Achievement of Nursing Students of Boromarajonani College of Nursing, Nakhonratchasima

Abstract

This descriptive study aimed at examining nursing students’ attitude toward health service and the relationship between the attitude and learning achievement. The stratified random sampling technique was used to recruit 454 from 568 students in the second, third and fourth years in academic year 2008 at Boromarajonani College of Nursing Nakhonratchasima. Data were collected using the questionnaire, developed by Praboromarajchanok Institute, including two parts: 1) personal information and learning achievement (GPA) and 2) attitude toward health service. The personal information and health service attitude data were analyzed using frequency, percentage, mean and standard deviation. The relationship between attitude toward health service and learning achievement was analyzed by Chi-square.

The results were as follows:

1. The levels of attitude toward health service of the majority of the students in Years 2, 3, and 4 were high.

2. The mean score of attitude toward health service of the forth year nursing students was at a high level and higher than those of the nursing students in the third and second years which were at moderate level.

3. There was no statistically significant relationship between attitude toward health service and learning achievement (p > .05).

Keywords: health service, learning achievement, nursing student

(3)

ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา

การให้บริการทางด้านสุขภาพ เป็นงานหลักของวิชาชีพพยาบาล การที*พยาบาลจะให้บริการ ทางด้านสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพนัน ขึนอยู่กับหลายองค์ประกอบ เช่นความรู้ ความสามารถทัง ทางด้านวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ การมีจริยธรรม คุณธรรม นอกจากนีทัศนคติต่อการบริการสุขภาพยัง เป็นอีกองค์ประกอบหนึ*งที*สําคัญต่อการกําหนดพฤติกรรมของผู้ให้บริการทางด้านสุขภาพ ซึ*งนักจิตวิทยา เชื*อว่า ทัศนคติมีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงาน เนื*องจากทัศนคติมีความเกี*ยวข้องกับความรู้สึกนึกคิด แนวความคิดหรือความต้องการที*จะปฏิบัติ/กระทําสิ*งใดสิ*งหนึ*ง (ประภาเพ็ญ สุวรรณ, 2520 อ้างใน ปฏิพร บุญกล้า, รัตนา ทองสวัสดิ;, ศิริพร สิงหเนตร และอัญชลี คงมั*น, 2526) หากผู้ที*มีทัศนคติต่อการทํางานด้าน สุขภาพดี จะส่งผลต่อแนวโน้มในการปฏิบัติงานที*ดีด้วย

ปัจจุบันโรคเรือรังเป็นปัญหาสาธารณสุขที*สําคัญของทุกประเทศทั*วโลก มีจํานวนผู้ป่วยเรือรังเพิ*ม จํานวนขึนอย่างรวดเร็ว ซึ*งผู้ป่วยเหล่านีต้องใช้บริการสุขภาพบ่อยครัง และต่อเนื*อง ทําให้สถานบริการ สุขภาพต้องเพิ*มจํานวนมากขึนเพื*อรองรับผู้ป่วยในกลุ่มนี ประกอบกับประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล ของสถานบริการสุขภาพได้สะดวกสบาย สามารถเปรียบเทียบการบริการ และเลือกใช้สถานบริการสุขภาพ ได้อย่างอิสระ ทําให้สถานบริการสุขภาพตื*นตัวในการประกันคุณภาพการบริการในด้านต่างๆ เพื*อ ตอบสนองความคาดหวังของคนในสังคมต่อบริการ หรือการปฏิบัติที*ดีจากผู้ทํางานบริการสุขภาพมากยิ*งขึน และสถานการณ์ปัจจุบันเกิดการฟ้องร้องสถานบริการสุขภาพหรือผู้ทํางานบริการสุขภาพมากยิ*งขึน มีผลทํา ให้ทัศนคติของผู้ให้บริการมีแนวโน้มต่อการให้บริการเป็นไปในทางลบ ดังนันสถาบันการศึกษาพยาบาลทุก แห่ง จึงต้องให้ความสําคัญอย่างยิ*งกับการเตรียมความพร้อมของบัณฑิตพยาบาล ให้สามารถบริการสุขภาพ ที*ดีตามที*สังคมคาดหวัง

สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข มีหน้าที*รับผิดชอบในการผลิตบุคลากรผู้

ให้บริการทางด้านสุขภาพ โดยมีนโยบายให้วิทยาลัยในสังกัดทุกแห่งจัดการเรียนการสอน โดยมีเป้าหมาย ให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการ 3 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านพุทธิพิสัย ให้ผู้เรียนมีความรู้ ความจํา เข้าใจ เกิดการวิเคราะห์

สังเคราะห์ในสิ*งที*ได้เรียนรู้ เกิดการประเมินค่า และสามารถประยุกต์สู่การปฏิบัติได้อย่างเหมาะสมตาม สถานการณ์ 2. ด้านทักษะพิสัย เป็นการนําความรู้มาปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ครอบคลุม สามารถลําดับความ จําเป็นก่อนหลังได้ และสามารถแก้ปัญหาสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนมีการประเมินผล การปฏิบัติได้ บันทึกผลของการปฏิบัติได้ และ 3. ด้านจิตพิสัย เป็นการสร้างลักษณะนิสัยที*ดีต่อวิชาชีพ มี

จริยธรรม คุณธรรม และทัศนคติที*ดีต่อการทํางานบริการสุขภาพ ซึ*งพัฒนาการทัง 3 ด้าน จะช่วยส่งเสริม ให้เกิดคุณภาพของการปฏิบัติการพยาบาลได้ดียิ*งขึน

(4)

จากการศึกษาเกี*ยวกับทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพของผู้สําเร็จการศึกษาจากวิทยาลัย พยาบาลในสังกัด สถาบันพระบรมราชชนกหลายแห่ง (สถาพร แถวจันทึก, อัญชนา จุลศิริ และพิศดี มินศิริ, 2549) พบว่า ผู้สําเร็จการศึกษามีทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพในระดับปานกลาง ซึ*งตํ*ากว่าเกณฑ์ที*

คาดหวัง และการศึกษาดังกล่าวเป็นการศึกษาในผู้สําเร็จการศึกษาแล้ว จึงทําให้ทางวิทยาลัยไม่สามารถ แก้ปัญหาที*พบได้ ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที*จะศึกษาทัศนคติต่อการทํางานบริการ สุขภาพ ในนักศึกษาที*กําลังศึกษาอยู่ในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา ซึ*งเป็นสถานที*ผู้วิจัย ปฏิบัติงานอยู่ ผลที*คาดว่าจะได้รับจากการศึกษาในครังนี คือได้ข้อมูลพืนฐานเกี*ยวกับทัศนคติในการทํางาน บริการสุขภาพของนักศึกษาพยาบาลแต่ละชันปี สามารถนําไปใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาและปรับปรุง หลักสูตรการเรียนการสอน เพื*อส่งเสริมทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพ จนสามารถเพิ*มคุณภาพการ บริการให้ดียิ*งขึนต่อไป

วัตถุประสงค์ของงานวิจัย

1. เพื*อศึกษาทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชันปีที* 2-4 ปีการศึกษา 2551 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา

2. เพื*อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพ กับผลสัมฤทธิ;ทางการเรียน ของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชันปีที* 2-4 ปีการศึกษา 2551 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี

นครราชสีมา

วิธีดําเนินการวิจัย

การวิจัยครังนีมีวัตถุประสงค์ เพื*อศึกษาทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพ และความสัมพันธ์

ระหว่างทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพกับผลสัมฤทธิ;ทางการเรียนของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์โดยใช้

เกรดเฉลี*ยสะสม (GPA) ของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชันปีที* 2-4 ปีการศึกษา 2551 วิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา โดยประชากรที*ศึกษาครังนี ได้แก่นักศึกษาพยาบาล ศาสตรบัณฑิต ชันปีที* 2-4 ปีการศึกษา 2551 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมาจํานวน 568 คน กลุ่มตัวอย่าง กําหนดขนาดโดยใช้เกณฑ์ร้อยละ 80.00 สุ่มแบบแบ่งชัน ได้กลุ่มตัวอย่างจํานวน 454 คน เครื*องมือที*ใช้

เก็บรวบรวมข้อมูล มี 2 ตอน ดังนี

ตอนที* 1 แบบสอบถามข้อมูลพืนฐาน และเกรดเฉลี*ยสะสม (GPA) ของนักศึกษาพยาบาล โดย กําหนดเกณฑ์ระดับเกรดเฉลี*ยสะสมเป็น 4 ระดับ ดังนี

2.00-2.49 หมายถึง เกรดเฉลี*ยสะสมระดับตํ*า

(5)

2.50-2.99 หมายถึง เกรดเฉลี*ยสะสมระดับปานกลาง 3.00-3.49 หมายถึง เกรดเฉลี*ยสะสมระดับดี

3.50-3.74 หมายถึง เกรดเฉลี*ยสะสมระดับดีมาก 3.75-4.00 หมายถึง เกรดเฉลี*ยสะสมระดับดีเยี*ยม

ตอนที* 2 แบบสอบถามทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพ ของสถาบันพระบรมราชชนก มีข้อ คําถาม 26 ข้อ แบ่งเป็นข้อคําถามที*มีความหมายด้านบวก 12 ข้อ และข้อคําถามที*มีความหมายด้านลบ 14 ข้อ โดยข้อคําถามด้านบวก คะแนนเต็ม 34 คะแนน โดยในข้อ 2, 3, 9, 10, 12, 13, 14, 16, 21 ตอบเห็น ด้วย ได้ 3 คะแนน ไม่เห็นด้วยได้ 0 คะแนน ข้อ 6, 18 ตอบเห็นด้วย ได้ 2 คะแนน ไม่เห็นด้วยได้ 0 คะแนน ข้อ 19 ตอบเห็นด้วย ได้ 1 คะแนน ไม่เห็นด้วยได้ 0 คะแนน ส่วนข้อคําถามด้านลบ คะแนน เต็ม 32 คะแนน โดยในข้อ 1, 5, 11, 17, 22, 25, 26 ตอบเห็นด้วย ได้ 3 คะแนน ไม่เห็นด้วยได้ 0 คะแนน ข้อ 2, 7, 8, 15, 20, 23 ตอบเห็นด้วย ได้ 2 คะแนน ไม่เห็นด้วยได้ 0 คะแนน ข้อ 24 ตอบเห็น ด้วย ได้ 1 คะแนน ไม่เห็นด้วยได้ 0 คะแนน แล้วนําผลรวมของคะแนนเต็ม 66 มาแบ่งคะแนนเป็น 3 ระดับ โดยหาค่าพิสัย หารด้วย 3 (กานดา พูนลาภทวี, 2539 อ้างในปฎิญญา ก้องสกุล และปัทมา แคนยุกต์, 2548) คือ

คะแนน 0-22 หมายถึง มีทัศนคติต่อการบริการสุขภาพอยู่ในระดับตํ*า

คะแนน 23-44 หมายถึง มีทัศนคติต่อการบริการสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง คะแนน 45-66 หมายถึง มีทัศนคติต่อการบริการสุขภาพอยู่ในระดับสูง

ขันตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดําเนินการโดยขออนุมัติโครงการวิจัยและผ่านจริยธรรมการวิจัย จากคณะกรรมการของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา พบกลุ่มตัวอย่างเพื*อชีแจงวัตถุประสงค์

สอบถามความสมัครใจในการเข้าร่วมเป็นกลุ่มตัวอย่างงานวิจัย โดยจัดทําเอกสารพิทักษ์สิทธิของผู้ตอบ ชีแจงถึงความสําคัญ และจุดประสงค์ที*ให้ตอบแบบสอบถาม การนําคําตอบที*ได้ไปใช้ประโยชน์ ให้ความ มั*นใจว่า ข้อมูลที*ตอบจะไม่ถูกเปิดเผยเป็นรายบุคคล จะไม่มีผลกระทบต่อผู้ตอบ หากยินยอมให้ลงนามใน ใบยินยอมเข้าร่วมงานวิจัย และดําเนินการเก็บข้อมูลโดยให้เวลาในการตอบแบบสอบถาม 20 นาที แล้วนํา ข้อมูลที*ได้ไปวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมสําเร็จรูป โดยข้อมูลทั*วไปวิเคราะห์ หาค่าเฉลี*ย ความถี* และร้อย ละ ทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพ เมื*อเปรียบเทียบกับเกณฑ์แล้ว ใช้การวิเคราะห์หาค่าความถี* และ ร้อยละ หาความสัมพันธ์ของทัศคติต่อการทํางานบริการสุขภาพ กับผลสัมฤทธิ;ทางการเรียน โดยใช้

ไคสแควร์ (Chi-square)

(6)

ผลการวิจัย

ทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชันปีที* 2-4 ปีการศึกษา 2551 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง โดยพบว่าสัดส่วนของ นักศึกษาที*มีทัศนคติ ต่อการทํางานบริการสุขภาพในระดับสูงของปี 4 มากกว่า ปี 3 และ ปี 3 มากกว่าปี 2 ดัง รายละเอียดในตารางที* 1

ตารางทีR 1

จํานวนและร้อยละของทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพต่อการทํางานบริการสุขภาพ ชันปี

ระดับทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพ

สูง(คะแนน 45-66 ) ปานกลาง (คะแนน 23-44) ตํ*า (คะแนน 0-22) จํานวน(คน) ร้อยละ จํานวน(คน) ร้อยละ จํานวน(คน) ร้อยละ ชันปีที* 2

ชันปีที* 3 ชันปีที* 4

152 35 76

53.50 56.50 70.40

131 27 32

46.1 43.5 29.6

1 - -

0.40 - -

รวม 263 57.90 190 41.9 1 0.20

ทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชันปีที* 4 มีค่าเฉลี*ยคะแนน ทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพอยู่ในระดับสูง (47.60) แต่นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชันปีที* 2 และ 3 มีค่าเฉลี*ยอยู่ในระดับปานกลาง (43.74 และ 43.65 ตามลําดับ) ดังตารางที* 2

ตารางทีR 2

เปรียบเทียบคะแนนเฉลี)ยทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพ

ชันปี จํานวนคน ค่าเฉลี*ย (M) ส่วนเบี*ยงเบนมาตรฐาน (SD) ชันปีที* 2

ชันปีที* 3 ชันปีที* 4

284 62 108

43.74 (ปานกลาง) 43.65 (ปานกลาง)

47.60 (สูง)

7.025 7.225 7.697

3. ทัศนคติ ต่อการทํางานบริการสุขภาพ กับผลสัมฤทธิ;ทางการเรียน ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร บัณฑิต ไม่มีความสัมพันธ์กัน ดังตารางที* 3

(7)

ตารางทีR 3

ความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพ กับผลสัมฤทธิ2ทางการเรียนของนักศึกษา พยาบาลศาสตรบัณฑิต

เกรดเฉลี*ยสะสม (GPA) ระดับทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพ

Χ 2 p-value

สูง ปานกลาง ตํ*า

2.50-2.99 140 119 1

0.88 .314

3.00-3.49 102 62 0

3.50-3.74 17 9 0

3.75-4.00 4 0 0

ที*ระดับนัยสําคัญ.05

อภิปรายผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ

ทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต (ชันปีที* 2-4)ปีการศึกษา 2551 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา ส่วนมากอยู่ในระดับดี เนื*องจากการศึกษาพยาบาลตาม หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ.2546 ของสถาบันพระบรมราชชนก กําหนดให้วิทยาลัยพยาบาลในสังกัด จัดการ เรียนการสอนตามปรัชญาของหลักสูตร โดยมีการเน้นให้ผู้เรียนให้การพยาบาลด้วยความเอืออาทร มี

คุณธรรม จริยธรรม ยึดให้มีการตระหนักในจรรยาบรรณของวิชาชีพ มีการปลูกฝังทัศนคติที*ในการทํางาน บริการสุขภาพ ทังในการสอนภาคทฤษฎี ทดลองปฏิบัติ และภาคปฏิบัติ (วิภา เพ็งเสงี*ยม, สายสวาท เผ่า พงษ์ และสุภาวดี ไชยเดชาธร, 2546; ปฏิญญา ก้องสกุล และปัทมา แคนยุกต์, 2547; กัญญ์สิริ จันทร์

เจริญ และคณะ, 2549) นอกจากนี ยังพบว่า การจัดการเรียน การสอนภาคปฏิบัติ การจัดสวัสดิการนักศึกษา การจัดการเรียนการสอนภาคทฤษฎี การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร มีผลต่อเจตคติวิชาชีพพยาบาล ทําให้

นักศึกษาเรียนรู้ถึงความคาดหวังในบทบาทของตน จึงทําให้เกิดจิตสํานึกในการแสดงบทบาทให้เป็นไปตาม ความคาดหวังของผู้อื*น มีส่วนเสริมสร้างค่านิยมในวิชาชีพและการปฏิบัติการพยาบาล ผู้ป่วย คนใน ครอบครัว และทีมสหสาขาวิชาชีพ (อําภา กันทะเป็ง, 2545; อารีวรรณ กลั*นกลิ*น, อวยพร ตัณมุขยกุล และ คณะ, 2538) ซึ*งทัศนคติไม่ได้มีมาแต่กําเนิด แต่เป็นสิ*งที*เกิดจากการเรียนรู้ การเลียนแบบ ประสบการณ์ทัง ทางตรงและทางอ้อม อาจได้รับการถ่ายทอดมาจาก พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ หรือบุคคลสําคัญ (นวล อนงค์ บุญจรูญศิลป์, 2536; Foster, 1952) จึงส่งผลให้ทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพของนักศึกษา พยาบาลศาสตรบัณฑิต (ชันปีที* 2-4) ส่วนมากอยู่ในระดับสูง

(8)

ทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชันปีที* 4 พบว่าอยู่ใน ระดับสูง คือร้อยละ 70.40 รองลงมา คือ นักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชันปีที* 3 ร้อยละ 56.50 และ นักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชันปีที* 2 ร้อยละ 53.50 ตามลําดับ และยังพบว่าระดับคะแนนเฉลี*ย ทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชันปีที* 4 พบในระดับสูง คือมี

ค่าเฉลี*ย 47.60 ส่วนนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชันปีที* 2 และปีที* 3 มีค่าเฉลี*ยระดับปานกลาง 43.74 และ43.65 ตามลําดับ อาจเนื*องมาจาก นักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชันปีที* 4 เป็นปีที*ใกล้จบการศึกษา เป็นพยาบาลวิชาชีพ ได้มีการสั*งสมบทบาทต่างๆ ในขณะที*มีการฝึกภาคปฏิบัติมากกว่านักศึกษาพยาบาลศา

สตรบัณฑิต ชันปีที* 2 และชันปีที* 3 จึงทําให้มีความเข้าใจถึงลักษณะงานและระบบงาน (อารีย์ สุขก้องวารี, 2538) นอกจากนีการเปลี*ยนแปลงในตัวบุคคล ซึ*งต้องอาศัยระยะเวลา และ

กระบวนการเรียนการสอนจึงจะทําให้เกิดทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพในทางบวก (ประภาเพ็ญ สุวรรณ, 2520 อ้างใน นวลอนงค์ บุญจรูลศิลป์, 2536)) จึงส่งผลให้นักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชันปีที*

4 มีทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพสูงกว่า นักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชันปีที* 2 และ 3

ผลสัมฤทธิ;การศึกษาคือเกรดเฉลี*ยสะสม (GPA) ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติต่อการทํางานบริการ สุขภาพ ของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต (ชันปีที* 2-4) อาจเนื*องมาจากทัศนคติเป็นความรู้สึกนึกคิดของ บุคคลที*เกิดจากประสบการณ์เฉพาะอย่าง การยอมรับอิทธิพลจากผู้อื*นเพราะต้องการสร้างพฤติกรรมของ ตนเองให้เหมือนกับบุคคลอื*นในวิชาชีพ เกิดการเลียนแบบเพื*อที*จะได้มีการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื*นได้ จึงทํา ให้การเปลี*ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรม (Kelman, 1967 อ้างใน สรัลรัตน์ พลอินทร์, 2550) ในขณะที*

ผลสัมฤทธิ;ทางการศึกษา บ่งบอกเพียงคุณลักษณะและความสามารถของบุคคลอันเกิดจากระบบการเรียน การสอน (สุวลักษณ์ ตังประดิษฐ์ และคณะ, 2537) และผลการวิจัยหลายฉบับพบว่า เกรดเฉลี*ยสะสมตลอด หลักสูตร ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพ ของนักศึกษา (รุจิเรศ ธนูรักษ์ และสุ

ปราณี สุวรรณน้อย, 2524 ; ปฏิพร บุญกล้า และคณะ, 2530 ; วิภา เพ็งเสงี*ยม และคณะ,2546 ; จารุวรรณ ชุปวา และนฤมล อเนกวิทย์, 2547 ; กัญญ์สิริ จันทร์เจริญ และคณะ, 2549) ถึงแม้ว่าการศึกษาส่วนใหญ่จะ พบว่าผลสัมฤทธิ;การศึกษาคือเกรดเฉลี*ยสะสม (GPA) ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติต่อการทํางานบริการ สุขภาพ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า นักศึกษาพยาบาลบางส่วนที*มีความชอบและศรัทธาในวิชาชีพ จึงมีความตังใจ ในการศึกษา จึงทําให้พบว่าผลสัมฤทธิ;ทางการเรียนมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับตํ*า(r =.19, p<.05) กับ ทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพ (ปฎิญญา ก้องสกุล และปัทมา แคนยุกต์, 2548) การศึกษาฉบับนีจึง พบว่า ผลสัมฤทธิ;การศึกษาคือเกรดเฉลี*ยสะสม (GPA) ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติต่อการทํางานบริการ

(9)

สุขภาพ ของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต (ชันปีที* 2-4) จึงอาจกล่าวได้ว่า ผู้ที*มีผลสัมฤทธิ;การศึกษาคือ เกรดเฉลี*ยสะสม (GPA) ดี อาจจะไม่ได้มีทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพที*ดีด้วย

ข้อเสนอแนะในการนําผลวิจัยไปใช้ประโยชน์

วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา ควรมีการจัดกิจกรรมที*เสริมสร้างทัศนคติที*ดีต่อการ ทํางานบริการสุขภาพ ที*นอกเหนือจากการจัดโครงการในการเรียนการสอน อาทิ กิจกรรมจิตอาสา พัฒนา ทักษะพยาบาล กิจกรรมอาสาให้บริการสุขภาพแก่นักศึกษาที*เจ็บป่วย ร่วมกับอาจารย์เวร กิจกรรม อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหอพัก เป็นต้น กิจกรรมเหล่านีควรมีการจัดอย่างต่อเนื*อง เพื*อส่งเสริมให้เกิด ทัศนคติที*ดีตังแต่แรกเข้ามาศึกษาตังแต่ศึกษาอยู่ในชันปีที* 1 จนถึงชันปีที* 4 และจบการศึกษา

เอกสารอ้างอิง

กัญญ์สิริ จันทร์เจริญ, และคณะ. (2549). ทัศนคติของการทํางานบริการสุขภาพของผู้สําเร็จการศึกษา

วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา. สงขลา: วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา. สถาบัน พระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข.

จารุวรรณ ชุปวา, และ นฤมล อเนกวิทย์. (2547). การศึกษาทัศนคติต่อการทํางานบริการสุขภาพของนักศึกษา พยาบาลวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคามที)สําเร็จการศึกษา ปีการศึกษา 2546. มหาสารคาม:

วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม. สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข.

นวลอนงค์ บุญจรูญศรี. (2536). ผลของการให้คําปรึกษาแนะนําทางพันธุศาสตร์ต่อความรู้เรื)องโรคและเจต คติต่อการป้องกันโรคในบิดา – มารดาที)มีบุตรเป็นโรคธาลัสซีเมีย. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาพยาบาลศาสตร์, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล.

ปฏิญญา ก้องสกุล และปัทมา แคนยุกต์. (2548). การศึกษาทัศนคติต่อการบริการสุขภาพและความสามารถ ในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของผู้สําเร็จการศึกษา จากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ตรัง ปี

การศึกษา 2547. ตรัง: วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ตรัง. สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข.

ปฏิพร บุญกล้า, และคณะ. (2526). การสร้างแบบวัดทัศนคติต่อวิชาชีพพยาบาล. เชียงใหม่: คณะพยาบาล ศาสตร์. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

รุจิเรศ ธนูรักษ์ และสุปราณี สุวรรณน้อย. (2524). อันดับการเลือกเข้าเรียนพยาบาล ทัศนคติต่อวิชาชีพ และสัมฤทธิผลทางการเรียน. กรุงเทพฯ: ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาล รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.

(10)

วิภา เพ็งเสงี*ยม, สายสวาท เผ่าพงษ์, และสุภาวดี ไชยเดชาธร. (2546). ความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนสอบวัด ความรู้ของทบวงมหาวิทยาลัย กับผลสัมฤทธิ2ทางการเรียนและทัศนคติต่อวิชาชีพของนักศึกษา พยาบาล วิทยาลัยพยาบาลสังกัดสถาบันพระบรมราชชชนก กระทรวงสาธารณสุข. นครราชสีมา:

วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชชนนี นครราชสีมา. สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข.

สถาพร แถวจันทึก, อัญชนา จุลศิริ, และพิศดี มินศิริ. (2549). ทัศนคติที)มีต่อการทํางานบริการสุขภาพของ ผู้สําเร็จการศึกษาประจําปีการศึกษา 2547 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี. เพชรบุรี:

วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า. สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข.

สรัลรัตน์ พลอินทร์. (2550). การศึกษาความรู้ เจตคติเกี)ยวกับการประกันคุณภาพการศึกษาของนักศึกษา พยาบาล วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี. เพชรบุรี : วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า.

สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข.

สุวลักษณ์ ตังประดิษฐ์, อรพิน แสงสว่าง, และรวีวรรณ ยศวัฒน. (2537). ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรม ทางจริยธรรม ทัศนคติต่อวิชาชีพการพยาบาลและการรับรู้ต่อสภาพแวดล้อมในหอผู้ป่วยกับ

ผลสัมฤทธิ2ทางการฝึกภาคปฏิบัติของนักศึกษาพยาบาล. นครสวรรค์: วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี

นครสวรรค์. สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข.

อวยพร ตัณมุขยกุล, และคณะ. (2538). กระบวนการพัฒนาเจตคติและค่านิยมในการประกอบวิชาชีพการ พยาบาลของนักศึกษาพยาบาล: กรณีศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.

สงขลา: คณะพยาบาลศาสตร์. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.

อารีย์ สุขก้องวารี. (2538). การศึกษาทัศนคติต่อวิชาชีพการพยาบาลของนักศึกษา ในสถาบันการศึกษา พยาบาลเขตกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย,

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อารีวรรณ กลั*นกลิ*น, ลออ ตันติศิรินทร์, และชมนาด พจนามาตร์. (2537). การพัฒนาทัศนคติของนักศึกษา พยาบาลต่อวิชาชีพพยาบาล. เชียงใหม่ : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

อําภา กันทะเป็ง. (2545). ตัวแปรที)ส่งผลต่อผลลัพธ์ทางการศึกษาของนักศึกษาพยาบาลในวิทยาลัยพยาบาล บรมราชชนนี นครสวรรค์. นครสวรรค์: วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครสวรรค์.

สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข.

Foster, Charles R.. (1952). Psychology of Life Adjustment. Chicago: America Technical Society.

Referensi

Dokumen terkait

[ข] รองศาสตราจารย์ ดร.ฉลอง ทับศรี มหาวิทยาลัยบูรพา รองศาสตราจารย์ ดร.ศิษฎ์ธวัช มันเศรษฐวิทย์ มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา รองศาสตราจารย์ ดร.รสสุคนธ์ มกรมณี มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา

Table 3: The results of reading specialistsû recommendations on effective methods of teaching EFL reading applicable to pre-service teachersû teaching practice ranks priority