5
รังสีวิทยาศิริราช
J O U R N A L O F
SIRIRAJ RADIOLOGY
Vol.5 No.1 January – June 2018
e-ISSN 2673-0685
DEPARTMENT OF RADIOLOGY FACULTY OF MEDICINE SIRIRAJ HOSPITAL MAHIDOL UNIVERSITY
JOURNAL OF SIRIRAJ RADIOLOGY [VOL.5 NO.1 JANUARY-JUNE 2018]
ข้อแนะนําสําหรับผู้ส่งบทความเพื่อลงตีพิมพ์
วารสารรังสีวิทยาศิริราช
วัตถุประสงค์
1. เพื่อดําเนินการจัดทํา “วารสารรังสีวิทยาศิริราช”
ให้เป็นรูปธรรมและเป็นอัตลักษณ์หนึ่งของภาควิชารังสี
วิทยา
2. เพื่อเป็นแหล่งตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการในสาขา รังสีวิทยาแก่แพทย์ ฟิสิกส์การแพทย์ รังสีเทคนิค นักรังสี
การแพทย์ พยาบาลรังสีวิทยา และบุคลากรสายสนับสนุน ที่มีคุณภาพในระดับประเทศ
3. เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรสาย สนับสนุนมีโอกาสนําเสนอผลงานตีพิมพ์เพิ่มขึ้น
4. เพื่อสนับสนุนให้บุคลากรทํางานวิจัยเพี่อ ความก้าวหน้าในวิชาชีพ
บทความที่จะลงตีพิมพ์ในวารสาร
- นิพนธ์ต้นฉบับ (Original article) - รายงานผู้ป่วย (Case report) - บทความปริทัศน์ (Review article) - บทความพิเศษ (Special article )
การเตรียมต้นฉบับ
- ใช้โปรแกรม Microsoft Word for window ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง ภาพประกอบ รูปภาพ และตาราง
- หน้าแรก ประกอบด้วย
• ชื่อเรื่อง
• ชื่อ – สกุล ของผู้เขียนทุกท่าน
• สถานที่ทํางาน
- การเขียนบทความประเภท
• นิพนธ์ ต้นฉบับ ประกอบด้วย
• บทคัดย่อ ประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้
วัตถุประสงค์ (Objection) วัสดุและวิธีการ แบบวิจัย (Material and Method) ผลการศึกษา (Results) และสรุป (Conclusion)
• คําสําคัญ (Keywords) จํานวน 3-6 คํา
• เนื้อหา ประกอบด้วย บทนํา (Introduction) วัสดุและวิธีการ (Material and Method) ผล การศึกษา (Results) วิจารณ์ (discussion) สรุป (Conclusion) และเอกสารอ้างอิง (Referenes)
• รายงานผู้ป่วย ประกอบด้วยหัวข้อ บทนํา (Introduction) รายงานผู้ป่วย (case report) วิจารณ์ (Discussion) สรุป (Conclusion) และ เอกสารอ้างอิง (Reterences)
• บทความปริทัศน์ ตามแต่ผู้เขียนเห็นสมควร แต่สามารถให้มีรูปแบบคล้ายกับนิพนธ์ฉบับ ได้
คําแนะนําในการเขียนบทความ
- รูปภาพและตารางรวมอยู่ในเนื้อหา โดยไม่
จําเป็นต้องแยกออกมา แต่ควรเขียนเลขที่รูปภาพ ตาราง และคําอธิบาย (หากต้องการตีพิมพ์ภาพสี ให้แจ้งต่อ บรรณาธิการ เพื่อพิจารณาและดําเนินการ)ให้สอดคล้อง กับเนื้อหา
- ตัวเลขที่ใช้ให้เป็นตัวเลขอารบิก หน่วยที่ใช้ควร ใช้หน่วย System International (SI)
วารสารรังสีวิทยาศิริราช
- คําย่อใช้ เฉพาะที่เป็นสากลเท่านั้น และต้องบอก คําเต็ม ไว้ครั้งแรกก่อน
- เอกสารอ้างอิงใส่หมายเลขเรียงลําดับที่อ้างอิงใน บทความ โดยพิมพ์ยกเหนือข้อความที่อ้างอิง และเขียนใน รูปแบบแวนคูเวอร์ (Vancouver style ) ถ้ามีคณะผู้รายงาน มากกว่า 3 ท่าน ให้เขียนเฉพาะ 3 ท่านแรก
- ผู้รายงานหรือคณะผู้รายงานบทความ เป็น ผู้รับผิดชอบต่อความไม่ถูกต้องในเนื้อหาของบทความ
- รูปภาพ และ บทความ ขอให้แยกออกจากกัน โดย เขียนกํากับในรูปภาพเพื่อง่ายต่อการตีพิมพ์
- Abstract มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
วิธีการเขียนบทความตีพิมพ์
- เอกสารต้นฉบับและ CD มายังสํานักงานภาควิชา รังสีวิทยา ตึก 72 ปี ชั้นใต้ดิน โรงพยาบาลศิริราช เลขที่ 2 ถนนพรานนก บางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700
- ส่งทาง E-mail : [email protected] - ส่งทางช่องทางเว็บไซต์ http//si.mahidol.ac.th/
department/radiolology/SJR
วารสารรังสีวิทยาศิริราช
JOURNAL OF SIRIRAJ RADIOLOGY [VOL.5 NO.1 JANUARY-JUNE 2018]
คํานํา
วารสารรังสีวิทยาศิริราช ปีที่ 5 ฉบับที่ 5 ประจําเดือน มกราคม – มิถุนายน 2561 คณะบรรณาธิการ ขอต้อนรับท่าน ผู้อ่านทุกท่าน เข้าสู่เนื้อหาวิชาความรู้ทางรังสีวิทยาของวารสารรังสีวิทยาศิริราชที่ได้รับบทความวิจัยที่ทันสมัยทางวิชาการ ใน ฉบับนี้มีเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยด้านการแพ้สารทึบรังสี การประเมินปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับจากการตรวจ ระดับ รังสีอ้างอิงในการตรวจเอกซเรย์ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีบทความทางวิชาการที่น่าสนใจ สําหรับนักรังสีการแพทย์และผู้ปฎิบัติ
งานทางรังสีวิทยาในการถ่ายเอกซเรย์ทั่วไป การเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างเทคโนโลยีเครื่องเอกซเรย์ทั่วไป และการใช้
โปรแกรม GSI ในการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ผู้นิพนธ์ได้ศึกษาและเรียบเรียงข้อมูลอย่างน่าสนใจยิ่ง
ดังที่ได้เรียนท่านผู้อ่านข้างต้นถึงเนื้อหาที่มีอยู่ในวารสารฉบับนี้ที่ทันต่อความก้าวหน้าเทคโนโลยี คณะบรรณาธิการ วารสารรังสีวิทยาศิริราช หวังว่าข้อมูลที่ได้จากประสบการณ์และผลงานด้านวิจัยและงานด้านวิชาการรังสีวิทยา ในฉบับนี้จะ ทําให้ท่านผู้อ่านได้รับความรู้เพิ่มเติมและนําไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทด้านงานบริการของท่านต่อไป ซึ่งจะนําพาสู่
ความก้าวหน้าในวงการแพทย์ของรังสีวิทยาต่อไป
คณะบรรณาธิการวารสารรังสีวิทยาศิริราช
คณะบรรณาธิการวารสารรังสีวิทยาศิริราช
A Comparison of Acute Adverse Reactions to Three Different 1 Intravenous Iodinated Contrast media in Patients Underwent
Computed Tomography at Burapha University Hospital
Wipaporn Punwichai B.Sc.
Sornsupha Limchareon M.D.
Puwich Charoenchue M.D.
การประเมินปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ได้รับจาก 8 การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้องที่โรงพยาบาลศิริราช
จุฬาลักษณ์ บุญมา วท.บ. รังสีเทคนิค สุภาวดี ครุวนารินทร์ วท.บ. รังสีเทคนิค วีนัส วิเศษแสง วท.บ. รังสีเทคนิค
การศึกษาระดับรังสีอ้างอิงสําหรับการถ่ายภาพรังสีดิจิทัล: 25 กรณีศึกษาโรงพยาบาลศิริราช
ไพรัตน์ มุณี วท.บ. รังสีเทคนิค วิชุดา สิริเมธาธโนปกรณ์ วท.บ. รังสีเทคนิค ปรียานุช มโนธรรม วท.บ. รังสีเทคนิค
CHAPTER สารบาญ
บทความวิจัย
การถ่ายเอกซเรย์ทั่วไปสําหรับภาวะ Classic Eagle Syndrome 33
นพรัตน์ ขืนเขียว วท.บ.รังสีเทคนิค ปัญญากร เส้งอั้น วท.บ.รังสีเทคนิค ชุติมา เดชพันพัว วท.บ.รังสีเทคนิค
การถ่ายภาพเอกซเรย์กระดูกขากรรไกรล่างในผู้ป่วยได้รับอุบัติเหตุ 40
ปรียานุช มโนธรรม วท.บ. รังสีเทคนิค วันพามี ผิวทอง วท.บ. รังสีเทคนิค ยงยุทธ ต๊ะดุก วท.บ. รังสีเทคนิค
ข้อแตกต่างระหว่างการเอกซเรย์ระบบถ่ายภาพรังสีคอมพิวเตอร์ 48
กับระบบถ่ายภาพดิจิทัล
วสวัตติ์ ประสงค์สร้าง วท.บ. รังสีเทคนิค
สิรัณยาพงศ์ สุวรรณโอภาส วท.บ. รังสีเทคนิค, วท.บ. ฉายาเวชศาสตร์
การใช้โปรแกรม GSI ของเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ GE 55 รุ่น Revolution ในการหารอยโรคเส้นเลือดปอดอุดตัน
ไพฑูรย์ ฉายอรุณ วท.บ. รังสีเทคนิค กฤตญา สายศิวานนท์ วท.บ. รังสีเทคนิค วันพามี ผิวทอง วท.บ. รังสีเทคนิค
CHAPTER สารบาญ
บทความปริทรรศน์
ปีที่ 5 เล่มที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2561 Vol.5 No.1 January-June 2018
การวิเคราะห์ชนิดของนิ่วในไตโดยการใช้ Dual Energy Computed 62 Tomography
สําเริง มาประชุม วท.บ. รังสีเทคนิค วิมลรัตน์ หล่อนิมิตดี วท.บ. รังสีเทคนิค
ศาสตราวุธ ธรรมกิตติพันธ์ วท.บ.รังสีเทคนิค, วท.ม.อุปกรณ์การแพทย์
CHAPTER สารบาญ
บทความปริทรรศน์
[VOL.5 NO.1 JANUARY-JUNE 2018]
วารสารรังสีวิทยาศิริราช
A Comparison of Acute Adverse Reactions to Three Different Intravenous Iodinated Contrast media in Patients Underwent Computed Tomography
at Burapha University Hospital
Wipaporn Punwichai B.Sc.
Sornsupha Limchareon M.D.
Puwich Charoenchue M.D.
Division of Radiology and Nuclear Medicine, Burapha University Chonburi, Thailand
งานวิจัย
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์: การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในปัจจุบันซึ่งมีผลให้มีการใช้สารไอโอดีนทึบรังสีชนิดฉีด เข้าหลอดเลือดดําเพิ่มขึ้น สารไอโอดีนทึบรังสีชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดําที่มีใช้ในขณะนี้มีหลากหลายชนิดและหลายเครื่องหมายการค้าซึ่ง มีคุณสมบัติหลักไม่แตกต่างกันแต่มีความแตกต่างในข้อปลีกย่อยบ้าง ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพาเราใช้สารไอโอดีนทึบรังสีชนิดฉีด เข้าหลอดเลือดดํา 2 ชนิด 3 เครื่องหมายการค้า การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบภาวะไม่พึงประสงค์ชนิดเฉียบพลันของการใช้
สารไอโอดีนทึบรังสีชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดํา 3 ชนิดในผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา วิธีการ: เป็นการศึกษาย้อนหลังในผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์และได้รับการฉีดสารทึบรังสีที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย บูรพาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 ถึง 30 มิถุนายน 2560 เก็บข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วย ชนิดและปริมาณของสารทึบรังสี และภาวะไม่พึง ประสงค์ชนิดเฉียบพลันที่เกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมงหลังการฉีด เปรียบเทียบความรุนแรงและอัตราการเกิดภาวะไม่พึงประสงค์ชนิด เฉียบพลันระหว่างสารทึบรังสี 3 ชนิด
ผลการศึกษา: มีผู้ป่วย 704 ราย อายุเฉลี่ย 58.9 ปี (SD 17.1) ชาย:หญิง = 51:49 ปริมาณของสารทึบรังสีที่ใช้เฉลี่ย 81.2 มิลลิลิตร โดยที่ 655 ราย (93%) เป็นการฉีดที่ข้อศอกหรือเหนือกว่า ส่วนใหญ่เป็นการตรวจที่ทรวงอกและช่องท้อง (79.3%) สารทึบรังสีที่ใช้เป็นชนิดที่ไม่
แตกตัวเป็นประจุ (non-ionic) ทั้งสิ้นโดยเป็น สารทึบรังสีที่มีความเข้มข้นตํ่า 2 เครื่องหมายการค้าและสารทึบรังสีที่มีความเข้มข้น ใกล้เคียงเลือด 1 เครื่องหมายการค้า มีภาวะไม่พึงประสงค์ชนิดเฉียบพลันเกิดขึ้น 590 รายโดยทั้งหมดเป็นชนิดเล็กน้อย (mild) และ ส่วนมากเป็นความรู้สึกร้อน (burning sensation 80.8%) คลื่นไส้อาเจียน (1%) และอื่นๆ (1.4%) เมื่อเปรียบเทียบระหว่างสารทึบรังสี 3 เครื่องหมายการค้า สารทึบรังสีที่มีความเข้มข้นใกล้เคียงเลือดมีอัตราการเกิดภาวะไม่พึงประสงค์ชนิดเฉียบพลันน้อยที่สุดอย่างมีนัยสําคัญ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างสารทึบรังสีที่มีความเข้มข้นตํ่า 2 เครื่องหมายการค้าอัตราการเกิดภาวะไม่พึงประสงค์ชนิดเฉียบพลันไม่แตกต่าง อย่างมีนัยสําคัญ นอกจากนี้สารทึบรังสีที่มีความเข้มข้นใกล้เคียงเลือดมีอัตราการไม่เกิดภาวะไม่พึงประสงค์ชนิดเฉียบพลันมากที่สุด การศึกษานี้ไม่พบภาวะไม่พึงประสงค์ชนิดเฉียบพลันชนิดปานกลางหรือรุนแรง
Wipaporn Punwichai 1
บทคัดย่อ (ต่อ)
สรุปผลการศึกษา: ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าสารทึบรังสีที่มีความเข้มข้นใกล้เคียงเลือดมีอัตราการเกิดภาวะไม่พึงประสงค์น้อยแต่มีราคา แพงที่สุด ระหว่างสารทึบรังสีที่มีความเข้มข้นตํ่า 2 เครื่องหมายการค้า อัตราการเกิดภาวะไม่พึงประสงค์ชนิดเฉียบพลันไม่แตกต่างอย่างมี
นัยสําคัญ
คําสําคัญ: สารทึบรังสี ภาวะไม่พึงประสงค์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์
Abstract
Objective: There has been increasingly used of computed tomography (CT). The increase of contrast media using is resulted. There are various commercial iodinated contrast media in the market which are somewhat different in properties. At CT unit of Burapha University hospital, we used three kinds of non-ionic contrast media. We aimed to compare the acute adverse reactions from those three different contrast media.
Materials and Methods: We retrospectively reviewed the patients who underwent CT with contrast from 1st November 2015 to 30th June 2017. Demographic data, type, and volume of contrast media, and adverse reactions within 1 hour after contrast media injection were collected. Severity and rate of adverse reaction among three contrast media were compared.
Results: A total of 704 patients were included, mean age 58.9 (SD 17.1) years, M: F = 51:49. Average volume of contrast media is 81.2 ml. Of these, 655 patients (93%) were injected at the elbow or above. Most of the CT was chest and abdomen (79.3%). The contrast media were two brands of low osmolar contrast media (LOCM) and an iso-osmolar contrast media (IOLM). Adverse reactions occurred in 590 patients. All are mild reactions included burning sensation (80.8%), nausea and vomiting (1%), and others (1.4%).
When compared all three contrast media, the IOCM showed less adverse reactions significantly. When compared between the two brands of LOCM, there was no significant difference in adverse reactions. In addition, IOCM showed the highest percentage of patients who had no adverse reaction. No severe or moderate acute adverse reactions were present in our study.
Conclusion: The IOCM contrast media is well known for the very low incidence of adverse reactions but it is the most expensive.
Among LOCM contrast media, there was no significant difference in acute adverse reactions.
Keywords:
Keywords: contrast media, adverse reaction, computed tomography
2 | A COMPARISON OF ACUTE ADVERSE REACTION
[VOL.5 NO.1 JANUARY-JUNE 2018]
วารสารรังสีวิทยาศิริราช
Introduction
There has been increasingly used of computed tomography (CT) because of its diagnostic accuracy and timely management.1 The use of iodinated contrast media (CM) has been growing accordingly. The CM used in CT is categorized according to the osmolality into three types; high-osmolar contrast media (HOCM), low-osmolar contrast media (LOCM), and iso-osmolar contrast media (IOCM).2 It is well accepted that there are adverse reactions (AR) from CM. The osmolality of the HOCM is 7-8 times greater than that of blood resulting in a high rate of AR and is not popularly used nowadays.2 The most popularly used CM is the LOCM which has osmolality more than 3 times of blood and has a lower rate of AR.3 There are several brands of LOCM, for example, iobitridol (XENETIX, Guerbet, France), iohexal (OMNIPAQUE, GE Healthcare, USA), iopamidol (IOPAMIRO, Bracco Diagnostics, USA). The latest CM which has osmolality equal to the blood is the IOCM. The only agent available in the market is iodixanol (Visipaquue, GE HealthCare, USA).4 AR are classified according to the time of occurrence to acute (within 1 hour after CM administration) and delayed (after 1 hour of contrast administration).5 The AR is also categorized by their severity to as mild, moderate or severe according to American College of Radiology Guidelines.6 However, the incidence of significant AR that requires treatment is very low.5,7 IOCM have been shown to have a significantly lower incidence of AR than the
LOCM in the literature.3 Nevertheless, the price of IOCM is almost 2 times the LOCM. Among the LOCM, there has been no report of the difference in the AR2 but their prices are different.
This study aimed 1) to evaluate the incidence and type of contrast-induced acute AR in the patients underwent CT at Burapha University hospital, 2) to compare the acute AR between the two brands of LOCM, and 3) to compare the acute AR between the LOCM and the IOCM.
Methods
This study is a retrospective design. We reviewed the CT database of patients who underwent CT with contrast at Burapha University hospital from 1st November 2015 to 30th June 2018. The patients’
demographic data, types, and volume of contrast media, sites of administration, glomerular filtration rate (GFR) and the acute AR that occurred 1 hour after contrast administration were collected. AR was classified into three groups according to severity as mild, moderate or severe following ACR guidelines.6 The most severe class of reaction was classified if the patient reported more than one class of reaction.
Descriptive statistics were used for patients’
demographics. T-test and Chi-square were used to compare the AR among different contrast media. The p-value of less than 0.05 was considered significant.
We used the SPSS for Windows version 18.0 software package (SPSS Inc, Chicago, IL).
Wipaporn Punwichai 3
Results
A total of 704 patients were included, mean age 58.9 (SD 17.1) years, M: F = 51:49. There was no significant difference in patients’ demographics.
Average volume of contrast media is 81.2 ml. Of these, 655 patients (93%) were injected at the elbow or above. Most of the CT examinations were chest and abdomen (79.3%). The contrast media were two brands of LOCM (Iohexal and Iopamidol) and an IOCM (Iodixanol). Acute AR occurred in 590 patients. All are mild reactions and 80.8% of them were burning sensation. If the burning sensation was excluded because it was considered as a physiologic AR6, the incidence of acute AR was 2.4%. Male and female showed no significant difference in acute AR. The GFR either below 60 mg/dL or above also showed no significant difference. When compared all three contrast media, the IOCM showed less acute AR significantly. There was no urticaria or nausea occurring in the patients used the IOCM. When compared between the two brands of LOCM, there was no significant difference in acute AR. In addition, IOCM showed the highest percentage of patients who had no acute AR. The moderate or severe reaction was not present in this study.
Discussion
With the development of new generation CM, the occurrence of AR has decreased apparently. The acute AR that was found in our study was only mild
reactions. The incidence of acute AR in the current study was 2.4% which is lower than in the large study population by Mansouri et al8 which was 10.3%. This may be resulted from the relatively small size of our study and we collected only acute AR. In even Thailand study by Nueaithong K9 showed a higher rate of mild AR (8.9%). However, the CM used in that study were HOCM and LOCM whereas the CM in our study were LOCM and IOCM. The occurrence of contrast media-induced acute AR in our study was at the same rate as the other study that used LOCM.
Chand et al10 found 4.01% of mild AR in the patients underwent CT with contrast. In that study, Optiray caused AR in 94% of the patients who experienced AR. In contrast to the finding in our study that no difference in AR among LOCM. This could be from Optiray was used more frequently (92.2%) in that study. We found no significant difference in gender in developing acute AR similar to other studies.5,10-11 Impaired renal function as defined by GFR below 60 mg/dL in our study did not show a significant difference in acute AR in agreement with the study by Cutroneo et al5 that reported the predisposing factors for the development of AR to CM were a cardiovascular risk, allergy, and history of prior reaction to CM.
Our study has several limitations. First, the sample size is small. Second, the patients who underwent CT were not randomized. These factors affect the statistic results. Third, there are several
4 A COMPARISON OF ACUTE ADVERSE REACTION
[VOL.5 NO.1 JANUARY-JUNE 2018]
วารสารรังสีวิทยาศิริราช
brands of non-ionic monomer, we compared only two brands. Further study included all brands of non-ionic monomer should be investigated. We studied only acute AR whereas the AR from CM occurs both in the acute and delayed phases especially CIN which is the most concerning AR from CM.4,12 CIN is a deterioration of kidney function 48-72 hours after CM administration12 and thus out of the scope of our study. We did not stratify the patients according to age, risks (except renal function by GFR) or underlying diseases. These factors might influence the incidence of AR. The speed of contrast injection or volume was
also not collected. Nevertheless, the study results about the speed of CM injection are controversial.10,13 Literature concluded that volume and route of CM administration increased the likelihood of physiologic AR.13
In conclusion, the results of our study demonstrated that there is no significant difference in acute AR between two brands of non-ionic monomer, and the incidence of acute AR in LOCM is very low and only mild reactions. The ionic-dimer CM has significant lower acute AR rate than the non-ionic monomer.
Table 1 Patients’ characteristics
N = 704 %
Gender
- Male 359 51
- Female 345 49
Examination
- Brain&neck 123 17.5
- Body 558 79.3
- Upper extremity 9 1.3
- Lower extremity 12 1.7
- Mixed 2 0.3
GFR
- < 60 mg/dL 192 27.3
- > 60 mg/dL 512 72.7
Vein used for injection
- Large vein above MCV 655 93
- Small vein 49 7
N = 704 %
Contrast media
- Iopamiro 300 17 2.4
- Iopamiro 370 169 24
- Omnipaque 300 34 4.8
- Omnipaque 350 355 50.4
- Visipaque 320 129 18.3
Reaction
- No 114 16.2
- Urticarial rash 5 0.7
- Limited nausea&vomiting 7 1
- Chest discomfort 0 0
- Leak 5 0.7
- Burning sensation 569 80.8
- Local irritation 4 0.6
Wipaporn Punwichai 5
Table 2 Comparison of gender
Male (SD) Female (SD) p
Age (years) 59.6 (16.9) 58.2 (17.4) 0.28
GFR < 60 mg/dL 102 90 0.499
Volume (mL) 82.7 (32) 79.7 (37.5) 0.25
Reaction (n) 296 294 0.357
Contrast
- Iopamiro - Omnipaque - Visipaque
96 195
68
90 194
61
0.862
Table 3 Comparison between GFR
Reaction GFR < 60 mg/dL (%) GFR >/= 60 mg/dL (%) p
No reaction 38 (19.8) 76 (14.8) 0.135
Reaction 154 (80.2) 436 (85.2)
Table 4 Comparison among three contrast media
Reaction Iopamiro (%) Omnipaque (%) Visipaque (%) p
No 35 (18.8) 51 (13.1) 28 (21.7) 0.016*
Urticarial rash 1 (0.5) 4 (1.0) 0
Limited nausea and vomiting 3 (1.6) 4 (1.0) 0
Leak 1 (0.5) 1 (0.3) 3 (2.3)
Burning sensation 144 (77.4) 329 (84.6) 96 (74.4)
Local irritation 2 (1.1) 0 2 (1.6)
* = statistical significance
Table 5 Comparison between two LOCM
Reactions Iopamiro (%) Omnipaque (%) p
No 35 (18.8) 61 (13.1) 0.081
Mild 151 (81.2) 338 (86.9)
6 A COMPARISON OF ACUTE ADVERSE REACTION
[VOL.5 NO.1 JANUARY-JUNE 2018]
วารสารรังสีวิทยาศิริราช
References
1. Fletcher JG, Kofler JM, Coburn JA, et al.
Perspective on radiation risk in CT imaging. Abdom Imaging. 2013; 38: 22-31.
2. Spampinato MV, Abid A, Matheus MG.
Current radiographic iodinated contrast agents. Magn Reson Imaging Clin N Am. 2017; 25: 697-704.
3. Solomon R. Contrast Media: are there differences in nephrotoxicity among contrast media?
Biomed Res Int. 2014; doi:10.1155/2014/934947 access 19/08/2018
4. Bucher AM, De Cecco CN, Schoepf UJ, et al.
Is Contrast Medium Osmolality a Causal Factor for Contrast-Induced Nephropathy? Biomed Res Int. 2014;
doi:10.1155/2014/931413 access 19/08/2018
5. Cutroneo P, Polimeni G, Curcuruto R, et al.
Adverse reactions to contrast media: an analysis from spontaneous reporting data. Pharmacol Res. 2007; 56:
35-41.
6. ACR. ACR Manual on Contrast Media. 2018.
Version 10.3.
7. Cope LH, Drinkwater KJ, Howlett DC. RCR audit of compliance with UK guidelines for the prevention and detection of acute kidney injury in adult patients undergoing iodinated contrast media injections for CT. Clin Radiol. 2017, 72: 1047-52.
8. Mansouri M, Aran S, Shaqdan KW, et al.
Rating and classification of incidence reporting in radiology in a large academic medical center. Curr Probl Diagn Radiol. 2016; 45: 247-52.
9. Nueaithong K. Adverse Reaction from Intravenous Administration of Iodinated Contrast Material in Patient Undergoing Intravenous Urography.
Srinagarind Med J. 2012; 27: 288-96.
10. Chan RB, Maharjan S, Pant DK, et al. The Incidence of Adverse Reaction to Contrast Media in Computed Tomography Scan. J Inst Med. 2013; 35:
33-6.
11. Lee H, Song S, Oh YK, et al. Is gender still a predisposing factor in contrast-media associated adverse drug reactions? A systematic review and meta- analysis of randomized trials and observation studies.
Eur J Radiol. 2017; 89: 81-9.
12. Nicola R, Shaqdan KW, Aran K, et al.
Contrast-induced nephropathy: identifying the risks, choosing the right agent, and reviewing effective prevention and management methods. Curr Probl Diagn Radiol. 2015; 44: 501-4.
13. Singh J, Daftary A. Iodinated Contrast Media and Their Adverse Reactions. J Nucl Med Technol.
2008; 36: 69-74.
Wipaporn Punwichai 7
การประเมินปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ได้รับจาก การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้องที่โรงพยาบาลศิริราช Assessment of Adult Patient Dose Underwent CT-abdomen Examination At Siriraj Hospital
จุฬาลักษณ์ บุญมา วท.บ. รังสีเทคนิค สุภาวดี ครุวนารินทร์ วท.บ. รังสีเทคนิค วีนัส วิเศษแสง วท.บ. รังสีเทคนิค
ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
บทความวิจัย
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นแนวทางในการประเมินปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ได้รับจากการตรวจซีทีช่องท้อง ณ โรงพยาบาลศิริราชและ เปรียบเทียบกับระดับรังสีอ้างอิงตามคําแนะนําของหน่วยงานสากลและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
วัสดุอุปกรณ์และวิธีการทดลอง ทําการเก็บข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2008 ถึง 2017 จากเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ยี่ห้อ GE จํานวน 3 รุ่น ได้แก่ Lightspeed VCT 64 slices , Discovery 750 HD 64 slices และ Revolution REV 256 slices ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปริมาณรังสีได้แก่
ค่าดัชนีรังสีซีทีเชิงปริมาตร (CTDIvol), ค่าผลคูณปริมาณรังสีกับความยาวสแกน (DLP) และความหนาส่วนช่องท้อง จากผู้ป่วยจํานวน 1000 คน แบ่งเป็น 10 กลุ่มตามโปรโตคอล ได้แก่ ช่องท้องส่วนบน, ช่องท้องส่วนล่าง, ช่องท้องทั้งหมด, ตับ 2 เฟส, ตับ 3 เฟส, ต่อม หมวกไต, ลําไส้, ไต, ถุงนํ้าดี และระบบทางเดินปัสสาวะ นอกจากนี้ยังได้ประมาณค่าปริมาณรังสียังผล (Deff) และค่าประมาณรังสีจําเพาะ ขนาด (SSDE) อีกด้วย ค่า CTDIvol, DLP, Deff และ SSDE ที่ตําแหน่งเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 75 ถูกนําไปประเมินปริมาณรังสี
ผลการทดลอง ค่า CTDIvol, DLP และ Deff ของโปรโตคอลส่วนใหญ่ตํ่ากว่าระดับรังสีอ้างอิงที่แนะนํา ยกเว้น การตรวจลําไส้แบบใช้สาร ทึบรังสี การตรวจระบบทางเดินปัสสาวะแบบไม่ใช้สารทึบรังสี การตรวจตับ 3 เฟส และการตรวจช่องท้องทั้งหมด การศึกษานี้ยังพบว่า ไม่มีข้อมูลเชิงเปรียบเทียบสําหรับค่า SSDE
สรุป ผลการเปรียบเทียบปริมาณรังสีกับระดับรังสีอ้างอิงแสดงให้เห็นว่าควรมีการทบทวนในบางโปรโตคอล คําสําคัญ ค่าดัชนีรังสีซีทีเชิงปริมาตร, ค่าผลคูณปริมาณรังสีกับความยาวสแกน, ค่าปริมาณรังสียังผล
8 | การประเมินปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ได้รับ
[VOL.5 NO.1 JANUARY-JUNE 2018]
วารสารรังสีวิทยาศิริราช
บทนํา
การถ่ายภาพทางรังสีด้วยเครื่องเอกซเรย์
คอมพิวเตอร์ เป็นวิธีการตรวจวินิจฉัยรอยโรคที่ได้รับ ความนิยมอย่างแพร่หลาย ปัจจุบันพบว่าอัตราการส่ง ตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ตามโรงพยาบาล ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการตรวจที่รวดเร็วกว่าการ ตรวจด้วยเครื่องสนามแม่เหล็กหรือเอ็มอาร์ไอ และ ให้ผลการวินิจฉัยที่ถูกต้องแม่นยําในระดับปานกลางไป จนถึงระดับสูง อย่างไรก็ตาม ปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับ จากการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์อยู่ใน ระดับที่สูงกว่าการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์ทั่วไป และ ยังคงเป็นเครื่องถ่ายภาพทางรังสีที่ต้องเฝ้าระวังด้านการ กําหนดเทคนิคการให้ปริมาณรังสีแก่ผู้ป่วยที่ไม่ควรเกิน ระดับรังสีอ้างอิงทางวินิจฉัย (Diagnostic Reference Levels; DRLs) ตามคําแนะนําของทบวงการพลังงาน ปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency; IAEA)
โรงพยาบาลศิริราชในฐานะที่เป็นโรงพยาบาล ขนาดใหญ่ของประเทศมีนโยบายในการเฝ้าระวังการ กําหนดเทคนิคการให้ปริมาณรังสีแก่ผู้ป่วยไม่ให้เกินค่า DRLs ที่องค์การสากลและงานวิจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แนะนํามาโดยตลอด แต่ทว่า ยังไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์
ด้านการประเมินปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับจากการตรวจ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ส่วนช่องท้องจําแนกตาม โปรโตคอล อีกทั้งยังไม่พบงานวิจัยด้านการศึกษาหาค่า DRLs ในภาพรวมของประเทศไทย จึงมุ่งหวังที่จะศึกษา เพื่อให้เป็นหนึ่งในงานวิจัยที่ผู้สนใจสามารถนําไป อ้างอิงได้ จึงเป็นที่มาของการศึกษาครั้งนี้
วัตถุประสงค์
1. เพื่อประเมินปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับจาก การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ส่วนช่องท้อง ณ โรงพยาบาลศิริราช
2. เพื่อเปรียบเทียบปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับ กับระดับรังสีอ้างอิงตามคําแนะนําของหน่วยงานสากล และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับจากตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์
คอมพิวเตอร์[1]
ตัวชี้วัดเชิงปริมาณของการประเมินปริมาณรังสี
ที่ผู้ป่วยได้รับจากการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์
คอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ได้แก่ 1) ค่าดัชนีรังสีซีทีเชิง ปริมาตร 2) ผลคูณปริมาณรังสีกับความยาวสแกน 3) ปริมาณรังสียังผล และ 4) ค่าประมาณรังสีจําเพาะขนาด ค่าดัชนีรังสีซีทีเชิงปริมาตร
ค่าดัชนีรังสีซีทีเชิงปริมาตร (Volumetric Computed Tomography Dose Index; CTDIvol) คือ ปริมาณรังสีดูดกลืนในเนื้อเยื่อผู้ป่วยต่อหนึ่งหน่วย ปริมาตรมีหน่วยเป็น มิลลิ-เกรย์ (mGy) เป็นผลรวมของ ปริมาณรังสีดูดกลืนในแต่ละสไลด์การตรวจที่หาได้จาก การวัดปริมาณรังสีดูดกลืนในหุ่นจําลองตัดขวาง (Cross- sectional phantom) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 เซนติเมตร สําหรับการตรวจศีรษะ และขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 32 เซนติเมตร สําหรับการตรวจส่วน อื่น ๆ ที่มีขนาดใหญ่ เช่น ศีรษะวัยผู้ใหญ่, ทรวงอก, ช่อง ท้อง เป็นต้นด้วยตัวจับรังสีชนิดเทอร์โมลูมิเนสเซนต์
(Thermoluminescent dosimeter; TLD) จํานวน 5 ชิ้น
จุฬาลักษณ์ บุญมา 9
โดยใส่ตรงตําแหน่งกึ่งกลางหุ่นจําลอง 1 ชิ้น และรอบ นอกบริเวณใต้พื้นผิวหุ่นจําลอง 10 เซนติเมตรอีก 4 ชิ้น
ปริมาณรังสีดูดกลืนในแต่ละสไลด์ มีชื่อเรียก อีกอย่างว่า ค่าดัชนีรังสีซีทีถ่วงนํ้าหนัก (Weighted CTDI; CTDIw) เกิดจากแนวคิดที่ว่า ปริมาณรังสีดูดกลืน รอบนอกมีค่าไม่เท่ากับปริมาณรังสีดูดกลืนตรงกลาง หุ่นจําลอง สามารถหาได้จากสมการที่ (1)
...(1) ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ค่า CTDIvol เกิดจากการรวมกัน ของค่า CTDIwในแนวแกนตามความยาวลําตัว (Z- direction) ในทางทฤษฎีจะเป็นการหาพื้นที่ใต้กราฟของ ฟังก์ชัน CTDIw ตามแนวแกน Z ด้วยเทคนิคอินทิกรัลซึ่ง ไม่สะดวกในทางปฏิบัติ จึงได้มีการศึกษาหาสัมพันธ์
แบบใหม่ โดยจะแตกต่างกันตามโหมดการสแกน สําหรับการสแกนด้วยโหมด Axial ค่า CTDIvol
สามารถหาได้จากสมการที่ (2)
...(2) โดย N คือ จํานวนสไลด์ต่อการหมุนของหลอด เอกซเรย์ครบรอบ, T คือ ความหนาสไลด์ในหน่วย เซนติเมตร, I คือระยะการเลื่อนของเตียงต่อการหมุน ครบรอบของหลอดเอกซเรย์
สําหรับการสแกนด้วยโหมด Helical ค่า CTDIvol สามารถหาได้จากสมการที่ (3)
...(3)
โดยพิชต์ (Pitch) คือ ระยะการเลื่อนของเตียงต่อ การหมุนครบรอบของหลอดเอกซเรย์
ผลคูณปริมาณรังสีกับความยาวสแกน
ผลคูณปริมาณรังสีกับความยาวสแกน (Dose Length Product; DLP) คือ ปริมาณรังสีดูดกลืนใน เนื้อเยื่อผู้ป่วยตลอดช่วงความยาวสแกน สามารถหาได้
จากสมการที่ (4)
...(4) โดย คือ ความยาวสแกนทั้งหมด หน่วยเป็น เซนติเมตร ดังนั้นค่า DLP จึงมีหน่วยเป็นมิลลิเกรย์
เซนติเมตร (mGy.cm) ปริมาณรังสียังผล
ปริมาณรังสียังผล (Effective dose; Deff) คือ ผลรวมปริมาณรังสีที่อวัยวะไวต่อรังสีสามารถดูดกลืน พลังงานรังสีไว้ได้ สามารถหาได้จากสมการที่ (5)
...(5) โดย คือปัจจัยเนื้อเยื่อถ่วงนํ้าหนัก (Tissue weighting factor) และ 𝐻𝑇 คือรังสีสมมูลเนื้อเยื่อเฉพาะ (Tissue-specific equivalent dose)
จากสมการที่ (5) จะเห็นว่า การคํานวณค่าปริมาณรังสียัง ผลค่อนข้างยุ่งยากในทางปฏิบัติ ทางสมาคมนักฟิสิกส์
แห่งอเมริกา (American Association of Physicists in Medicine; AAPM) ได้ออกเอกสารฉบับที่ 96 เพื่อ แนะนําวิธีคํานวณอย่างง่ายสําหรับค่านี้ โดยให้คํานวณ จากผลคูณระหว่างค่าแก้ปัจจัยเค (k-factor) และค่า DLP โดยค่า k-factor มีหน่วยมิลลิซีเวิร์ตต่อมิลลิเกรย์- เซนติเมตร สามารถจําแนกได้ตามช่วงอายุผู้ป่วยและ ส่วนการตรวจ ดังแสดงในตารางที่ 1
10 การประเมินปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ได้รับ
[VOL.5 NO.1 JANUARY-JUNE 2018]
วารสารรังสีวิทยาศิริราช
ตาราง 1 ค่าแก้ปัจจัยเคที่แนะนําโดย AAPM ฉบับที่ 96[2]
ส่วนที่ตรวจ ค่าแก้ปัจจัยเค (mSv mGy-1 cm-1)
0-1 ปี 1-5 ปี 5-10 ปี 10-15 ปี >15 ปีขึ้นไป
ศีรษะและคอ 0.013 0.0085 0.0057 0.0042 0.0031
ศีรษะ 0.011 0.0067 0.0040 0.0032 0.0021
คอ 0.017 0.012 0.011 0.0079 0.0059
ทรวงอก 0.039 0.026 0.018 0.013 0.014
ช่องท้อง 0.049 0.030 0.020 0.015 0.015
ตาราง 2 ตารางแสดงระดับปริมาณรังสีอ้างอิงของแต่ละประเทศในการถ่ายเอกซเรย์บริเวณช่อง ท้องแบบไม่ใช้สารทึบรังสี[5-15]
Without
contrast ACR DIR 2016
ACR- AAPM 2013
NC RP 2012
JP
2015 EU
2014 UK 2014 IE
2012 AU
2011 CA
2016 NL 2012 GR
2014
CTDIvol 16 25 25 20 25 15 12 15 18 15 16
DLP 781
1000 800 745 600 700 874 700 760
รูป 1 การวัดความยาวด้าน AP และด้าน LAT ของภาพตัดขวางเพื่อนํามาคํานวณขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยังผล
จุฬาลักษณ์ บุญมา 11
ค่าประมาณรังสีจําเพาะขนาด
ค่าประมาณรังสีจําเพาะขนาด (Size Specific Dose Estimate; SSDE) คือปริมาณรังสีดูดกลืนที่ผู้ป่วย แต่ละคนได้รับจากการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์
คอมพิวเตอร์เป็นปริมาณรังสีตัวใหม่ที่ AAPM กลุ่มที่
204 แนะนํา สามารถหาได้จากผลคูณระหว่างค่าแก้
ปัจจัยเอฟ (f-factor) และค่า CTDIvol สําหรับค่า f-factor ได้มาจากการเปิดตารางเทียบขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยัง ผล (Effective diameter; ∅𝑒𝑓𝑓 ) [3] ซึ่งคํานวณได้จาก สมการที่ (6)
...(6) โดย 𝐿𝐴𝑃 คือ ความยาวที่วัดในภาพตัดขวาง ด้านหน้า- หลัง (Anterior-Posterior; AP) และ 𝐿𝐴𝑃 คือ ความยาวที่วัดในภาพตัดขวางด้านข้าง (Lateral; LAT) การวัดความยาวในภาพตัดขวางทั้งสองแนวควรเลือก ภาพที่บริเวณกึ่งกลางชุดสไลด์ของส่วนที่ตรวจ และควร ใช้ Digital calipers ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดความยาวใน ระบบแพคจะมีความแม่นยํากว่าการวัดจากตัวผู้ป่วย โดยทั่วไป การวัดความยาวในภาพทั้งสองแนวจะวัดใน ส่วนที่ตรวจอื่นๆ ทั่วร่างกาย ยกเว้นศีรษะ ดังแสดงใน รูปที่ 1
ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับ [1]
1. ค่าความต่างศักย์ของหลอดเอกซเรย์ (Tube voltage) คือ ค่าที่บ่งบอกถึงพลังงานเอกซเรย์ มีหน่วย เป็น กิโลโวลต์ (kVp) ซึ่งเป็นสัดส่วนโดยตรงกับ ปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับ
2. ค่ากระแสหลอดของหลอดเอกซเรย์ (Tube current) คือ ค่าที่บ่งบอกถึงจํานวน
โฟตอนที่ออกมาจากหลอดเอกซเรย์ มีหน่วย เป็นมิลลิแอมแปร์ (mA) ซึ่งเป็นสัดส่วนโดยตรงกับ ปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับ
3. เวลาในการหมุน (Rotation time) คือ เวลาที่
ใช้ในการสแกนครบ 1 รอบ มีหน่วยเป็นวินาที
(s)โดยทั่วไป เวลาในการหมุนจะนําไปคูณกับค่ากระแส หลอดทําให้ได้ค่า mAS มีหน่วยเป็น มิลลิแอมแปร์- วินาทีซึ่งเป็นสัดส่วนโดยตรงกับปริมาณรังสีที่ผู้ป่วย ได้รับ ในทางปฏิบัติ ควรเลือกใช้ค่ากระแสหลอดที่มาก และเวลาในการหมุนที่น้อยลง ทําให้คุณภาพของภาพดี
ขึ้นเนื่องจากสัญญาณรบกวน (Noise) ลดลง
4. ความยาวสแกนทั้งหมด (Total scan length) คือ ความยาวในการเก็บข้อมูลเพื่อ นํา ไ ป ส ร้ า ง ภ า พ ทั้งหมดจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับปริมาณรังสีที่ผู้ป่วย ได้รับ
5. ความหนาสไลด์ (Slice thickness) คือความ หนาของชิ้นภาพ ซึ่งจะถูกจํากัดโดยความหนาของ ตัวรับรังสี (Detector element) และจะเป็นสัดส่วนแบบ ผกผันกับปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับ กล่าวคือถ้าลดความ หนาสไลด์ลง จะทําให้คุณภาพของภาพไม่ดีเนื่องจากมี
อัตราส่วนสัญญาณภาพต่อสัญญาณรบกวน (Signal-to- noise ratio; SNR) ที่ตํ่า หรือสัญญาณรบกวนสูงขึ้น จึง จําเป็นต้องเพิ่มการตั้งค่าของปัจจัยอื่น ๆ มากขึ้น ส่งผล ให้ปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับสูงขึ้นตามไปด้วย
6. พิชต์ (Pitch) คือ อัตราส่วนระยะการเลื่อน ของเตียงเมื่อหลอดเอกซเรย์หมุนครบต่อความหนา สไลด์ที่เก็บข้อมูลจะใช้เฉพาะการตรวจโหมด Helical เท่านั้น โดยค่าพิชต์จะแปรผกผันกับปริมาณรังสีที่ผู้ป่วย
12 การประเมินปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ได้รับ
[VOL.5 NO.1 JANUARY-JUNE 2018]
วารสารรังสีวิทยาศิริราช
ได้รับ กล่าวคือ ถ้าตั้งค่าพิชต์มาก (>1) จะช่วยลดสิ่ง แปลกปลอมเนื่องจากการเคลื่อนไหวของตัวผู้ป่วย (Motion artifact) และลดปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับอีก ด้วย แต่ถ้าตั้งค่าพิชต์น้อย (<1) จะช่วยเพิ่มสัญญาณภาพ เนื่องจากมีการซ้อนทับกันของข้อมูล แต่จะทําให้ผู้ป่วย ได้รับปริมาณรังสีสูงตามไปด้วย
ระดับรังสีอ้างอิงทางรังสีวินิจฉัย[4]
ระดับรังสีอ้างอิงทางรังสีวินิจฉัย (Diagnostic Reference Levels; DRLs) คือ การบอกระดับปริมาณ รังสีด้วยหลักสถิติเพื่อให้คําแนะนําการตั้งค่าทางเทคนิค การให้ปริมาณรังสีสําหรับการตรวจทางรังสีวินิจฉัย ให้กับผู้ป่วยอย่างเหมาะสมและยืดหยุ่นได้ ทั้งนี้ยังคง คํานึงถึงคุณภาพของภาพที่เพียงพอต่อการวินิจฉัยด้วย สําหรับในการศึกษาครั้งนี้ได้รวบรวมระดับ DRL ที่
งานวิจัยต่าง ๆ แนะนํา ดังนี้
วัสดุอุปกรณ์
1. ข้อมูลปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับจากการ ตรวจส่วนช่องท้องด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ยี่ห้อ GE จํานวน 3 รุ่น ได้แก่ รุ่น Lightspeed VCT 64 Slices จํานวน 1 เครื่อง, Discovery 750 HD จํานวน 2 เครื่อง, GE รุ่น Revolution REV 256 slices จํานวน 1 เครื่องของ โรงพยาบาลศิริราช
2. โปรแกรม Microsoft Excel สําหรับบันทึก และวิเคราะห์ข้อมูล
วิธีการทดลอง
1. เก็บข้อมูลผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ (อายุ 15 ปีขึ้นไป) ที่ได้รับการตรวจส่วนช่องท้องด้วยเครื่องเอกซเรย์
คอมพิวเตอร์จํานวน 1,000 ราย บนหน้ารายงานปริมาณ รังสี (dose report) ตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2008 ถึงเดือน พฤศจิกายน ปี 2017โดยเก็บตามโปรโตคอลที่สนใจ จํานวน 10 โปรโตคอลได้แก่ ช่องท้องส่วนบน, ช่องท้อง ส่วนล่าง, ช่องท้องทั้งหมด, ตับ 2 เฟส, ตับ 3 เฟส, ต่อม หมวกไต, ไต, ลําไส้, ทางเดินปัสสาวะ, และถุงนํ้าดี ทํา การเก็บข้อมูลในแต่ละโปรโตคอลเท่ากับ100 ราย ซึ่งมี
ขั้นตอนในการเข้าถึงหน้ารายงานปริมาณรังสีดังนี้
• เข้าสู่ระบบ PACS ของโรงพยาบาลโดย การกดเลือกที่โปรแกรม Synaps
• กดเลือก All Studies
• เลือกชนิดเครื่องมือทางรังสีวิทยาในช่อง Modality ในที่นี้เลือกเป็น “CT”
• เลือกโปรโตคอลที่ต้องการในช่อง Proc description
• เปิดหน้ารายงานปริมาณรังสี โดยเลือก Series Thumbnails
• กดเลือกหน้า Dose report จะปรากฏ ข้อมูลดังตัวอย่างในรูปที่ 2
2. บันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปริมาณรังสีที่
ผู้ป่วยได้รับ ที่ปรากฏบนหน้ารายงานปริมาณรังสีลงใน โปรแกรม Microsoft Excel ได้แก่ ความต่างศักย์หลอด สูงสุด (kVp), ผลคูณกระแสหลอดกับเวลา (mAS), ระยะสแกน (Scan range) ในหน่วยมิลลิเมตร, ค่าดัชนี
รังสีซีทีเชิงปริมาตร (Volumetric Computed Tomogra- phy Dose Index; CTDIvol) ในหน่วยมิลลิเกรย์, ค่าผลคูณ ปริมาณรังสีกับระยะสแกน (Dose Length Product;
DLP) ในหน่วยมิลลิเกรย์-เซนติเมตร
จุฬาลักษณ์ บุญมา 13
ตาราง 3 ตารางแสดงระดับปริมาณรังสีอ้างอิงของแต่ละประเทศในการถ่ายเอกซเรย์บริเวณช่องท้องแบบใช้สารทึบรังสี
[5-15]
With
contrast ACR DIR 2016
ACR- AAPM 2013
NC RP 2012
JP
2015 EU
2014 UK 2014 IE
2012 AU
2011 CA
2016 NL 2012 GR
2014
CTDIvol 16 25 25 20 25 15 12 15 18 15 16
DLP 781
1000 800 745 600 700 874 700 760
ตาราง 4 ตารางแสดงระดับปริมาณรังสียังผลในระดับสากลสําหรับการถ่ายเอกซเรย์บริเวณช่องท้อง[16-18]
Effective Dose (mSv)
Rebecca Smith-Bindman (2008) 31
Five University of California Medical Centers (2015) 32
American College of Radiology (2017) 20
รูป 2 ตัวอย่างหน้ารายงานปริมาณรังสี
รูป 3 การวัดขนาดช่องท้องในแนวหน้า-หลัง และแนวข้างลําตัว
14 การประเมินปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ได้รับ
[VOL.5 NO.1 JANUARY-JUNE 2018]
วารสารรังสีวิทยาศิริราช
3. นําค่า DLP มาคํานวณปริมาณรังสียังผล (Effective Dose; Deff) โดยใช้ค่าแก้ปัจจัยเท่ากับ 0.0015 มาคูณกับค่า DLP
4. ทําการวัดขนาดช่องท้