บทที่ 4
3) ขวัญ-มิ่ง
166 ตามฤดูกาล” นอกจากนี้ยังพบว่าแถนมีบทบาทในการขจัดความไร้ศีลธรรมของมนุษย์ ดังเรื่อง ท้าวคัทธนาม ที่เล่าว่า เมืองขวางทะบุรีเป็นเมืองที่ขุนบรมสร้างไว้ และให้ผู้รักษาศีล หากไม่เช่นนั้น บ้านเมืองก็จะล้มสลาย แต่เมื่อกาลต่อมาเจ้าเมืองไม่ถือในทศพิธราชธรรม สั่งไพร่พลฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เทวดาอารักษ์ที่รักษาเมืองจึงเกิดความโกรธแค้น พระอินทร์จึงดลบันดาลให้เกิดโรคาพยาธิ และ ตกแต่งโรคาพยาธิลงมากินผู้คนจนหมด ส่วนเทวดาที่อยู่พระอินทร์จึงกล่าวต่อเทพดาเมืองมนุษย์ว่า ไม่ใช่ผู้ตกแต่งบ้านเมือง พระอินทร์จึงสั่งให้ไปทูลแก่แถนซึ่งเป็นใหญ่กว่าผู้คนทั้งหลาย พระอินทร์จึง ทูลพระโพธิสัตว์ให้ลงมาเกิดยังโลกมนุษย์พร้อมกับของวิเศษที่ได้จากยักษ์ และแถนได้แต่งงูซวงลงมา เพื่อท าลายล้างมนุษย์ที่เมืองขวางบุรี เนื่องจากชาวเมืองไร้ศีลธรรม ท าลายธรรมชาติ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดังบทว่า
แต่นั้นอันว่าพญาอินทร์ก็ฮู้ว่าพญาแถนชี้แต่งยังโพยภัยลงมาในเมืองคนแล้ว แล ให้คนทังหลายตายดับวายแท้ดั่งนั้น พญาอินทร์ก็ได้ไหว้ยังโพธิสัตว์เจ้าได้ลง มาเกิดในเมืองคน กับทังของวิเศษอันได้ดอมยักษ์แล ยักษ์ก็เอามาให้ยังโพธิสัตว์
เจ้า ก็ได้ของวิเศษแล้วแล แถนก็แต่ยังงูซวงมากินคนในเมืองขวางนั้นแล
(อัมพร นามเหลา, 2529: 23) จากตัวบทข้างต้น จะเห็นได้ว่าแถนมีบทบาทหลากหลาย อย่างเช่น ก าหนดให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลหรือแม้แต่การขจัดความไร้ศีลธรรม เหตุผลดังกล่าวธวัช ปุณโณทก, 2525 : 243) อธิบายว่า “ธรรมชาติมีอ านาจเหนือมนุษย์ และมีความโหดร้ายต่อมนุษย์ ฉะนั้นจึงเน้น เรื่องการเคารพนับถือวิญญาณอันสิงสถิตอยู่ในธรรมชาติเหล่านั้น เช่น ต้นไม้ ป่าเขา ตลอดจนแม่น้ า”
เฉกเช่นเดียวกับชาวเมืองขวางทะบุรีที่ไร้ศีลธรรม แถนจึงอยู่ในฐานะของธรรมชาติที่มีความโหดร้าย ต่อมนุษย์ที่ไม่เคารพธรรมชาติและความส าคัญต่อฤดูกาลในวิถีการเกษตรของสังคมพื้นที่ราบที่ต้อง อาศัยน้ าฝนตามฤดูกาล
167 จัดพิธีเรียกขวัญให้ ดังเรื่อง ขุนทึง ที่เล่าว่า เมื่อขุนทึงถูกน าไป “โผด” หรือปล่อยไว้ในป่าท าให้
บ้านเมือง ผู้คน สัตว์และพืชพันธุ์เศร้าหมองตาม แต่เมื่อกลับมาชาวเมืองจึงท าพิธีเรียกขวัญ ดังบทว่า แดนแต่เอาบาท้าว บุญมีไปป่า
เมืองหล่าม้าง ใบไม้หล่นเหลือง ทั้งเมืองเศร้า สูญเสียมีสว่าง พระจันทราชค้าง เทิงฟ้าเมฆบัง แม่นว่าน้ าบ่อแก้ว สร้างแค่งพญาเสวย เลยเหยบก ขาดลงหายแห้ง แม่นว่าสกุณาเอี้ยง กางแกเป็นหมู่
เขาก็อยู่บ่ได้ บินแส้วส่วนหนี แท้แล้ว แม่นว่ากุญชโรช้าง มุงคุลตัวอาจ
ใจขาดเมี้ยน น าท้าวก็บ่คืน แม่นว่าอัสดรม้า ตัวดีมณีกาบ ใจขาดเมี้ยน น าท้าวซู่ตัว เป็นเพื่อสมภารท้าว บุญมีหนีจาก
พลัดพรากบ้าน เมืองเศร้าหง่วมเหงา
(พระสมณกุลวงศ์, 2511: 59 - 60) จากตัวบทข้างต้น จะเห็นได้ว่า ขุนทึงเป็นภาพแทนของพลังอ านาจที่ค้ าจุน จิตวิญญาณของบ้านเมือง เมื่อถูกเนรเทศออกจากบ้านเมือง ทุกสรรพสิ่งในบ้านเมืองเศร้าหมองตาม แต่เมื่อขุนทึงกลับคืนบ้านเมือง จึงได้จัดท าพิธีบายศรีสู่ขวัญ ดังบทว่า
แต่นั้นเขาก็วอนวานไหว้ กุมารทุกเยื่อง
เมืองมิ่งบ้าน พระองค์เจ้าชู่อัน แท้แล้ว ...
แม่นว่าปิตาไท้ พญาหลวงตนพ่อ พระก็ต้มไข่ไว้ พ่อลานสู่ขวัญ เจ้าแล้ว ...
แต่นั้น เสนาพร้อม มุนตรีขุนใหญ่
ไหลหลั่งขึ้น โฮงกว้างนั่งเนือง
168 บุญเฮืองเจ้า พญาหลวงเว้าต่อ
เจ้าหน่อแก้ว มาแล้วฮฮดเมือง ว่าจักภิเษกเจ้า น้อยหน่อท าขวัญ ก็จิ่งทันเสนา ชู่คนมาพร้อม
(พระสมณกุลวงศ์, 2511: 78 - 82) การจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กลับขุนทึง จึงเป็นภาพแทนของการเรียกจิต วิญญาณของเมืองกลับมา ทั้งยังเน้นย้ าว่า “เมืองมิ่งบ้าน” ซึ่งค าว่า “มิ่ง” นั้น ” รณี เลิศเลื่อมใส (2544: 237) อธิบายว่า “เป็นค าส าคัญอีกค าหนึ่งในระบบความเชื่อดั้งเดิมของไท มีสองความหมาย ได้แก่ 1) ขวัญ 2) ดวง ชะตาชีวิต ในภาษาไทอาหม “มิ่ง” หมายถึงพลังที่เกี่ยวกันกับขวัญ แต่มีนัยถึง ความมั่นคง มิ่งอาจอ่อนแรงหรือลี้หายได้เหมือนขวัญ แต่มิ่งไม่เป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ในตัวเองเท่า เทียมขวัญ” ฉะนั้น เมื่อพิจารณาจากตัวบทดังกล่าว เหตุการณ์ที่ขุนทึงถูกน าไปปล่อยในป่า ท าให้
บ้านเมืองหม่องเศร้านั้น จะเป็นภาพแทนของขวัญหรือจิตวิญญาณของบ้านเมืองหลุดลอยออก แต่
เมืองเสนาอ ามาตย์ทูลเชิญขุนทึงกลับคืนนคร จึงได้กล่าวถึงมิ่ง ซึ่งคือความมั่นคงอันเกี่ยวพันกับขวัญ กลับมาด้วยเช่นกัน
4.2.2.2 การสร้างภูมินิเวศผ่านคติความเชื่อแบบพุทธศาสนา
ภูมินิเวศเชิงจิตวิญญาณในพื้นที่ราบที่ปรากฏในวรรณกรรมนิทานอีสาน ส่วนหนึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างคติความเชื่อแบบดั้งเดิมกับพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการ ทับซ้อนของคติความเชื่อในพื้นที่เดียวกัน โดยปกติจะถ่ายทอดผ่านตัวละคร อย่างเรื่อง พญาคันคาก ที่เล่าว่า เมื่อพญาคันคากได้ถือก าเนิดและถือครองอุดมการณ์พระโพธิสัตว์ ผู้คน เทพ ผี และสัตว์ต่าง ๆ พากันนับถือพญาคันคากมากกว่าแถน จึงท าให้แถนเกิดความไม่พอใจสั่งให้นาคหยุดเล่นน้ า ท าให้
เกิดภัยแล้งบนเมืองมนุษย์อันเป็นที่มาของมหาสงคราม ซึ่งมีนัยยะถึงการปะทะระหว่างคติความเชื่อ แบบดั้งเดิมคือ แถน กับพุทธศาสนาคือ พญาคันคาก ดังบทว่า
แต่นั้นแถนก็ คึดเคียดเข้ม พ้นขนาดกรณี
บ่ให้ นาโคลอย ดีดหางฟุนเหล้น
เลยเล่า เขินขาดแห้ง นัททีหลวงบกขาด ไปแล้ว ฝนบ่ ลงหยาดย้อย ฮ าพื้นแผ่นดิน
เลยเล่า บังเกิดได้ เถิงเจ็ดขวบปี
ฝูงหมู่ แม่น้ าน้อย เขินแห้งไง่ผง พีชลา ส้มในชุมภู ดูแห้งเหี่ยวเสีย
169 แม่นว่า นัททีน้ า สมุทรหลวงเขินขาด ไปแล้ว
ฝูงหมู่ แม่น้ าน้อย เขินแห้งไง่ผง ยังแต่ น้ าทีปเจ้า พญาหลวงคันคาก น้ านั้นก็ บ่หอนแห้ง เต็มล้วนอยู่เลิง หั้นแล้ว อันว่า น้ าสมุทรแห้ง เขินขาดเสียหมด แม่นว่า วังนัททีหลวง ขาดแปนหัวแข้
เมื่อนั้น อุกขลุกฮ้อน เป็นควันคุงเมฆ
ไฟหาก ไหม้แม่น้ า สังมาฮ้อนแผ่นดิน เจ้าเอิย บรบวรแล้ว ทูลถวายภูวนาถ
พระบาทเจ้า เตินท้าวซู่พญา
(สุขฤดี เอี่ยมบุตรลบ, 2532: 166) จากตัวบทข้างต้น จะเห็นได้ว่า พื้นที่ราบอันเป็นที่ตั้งของชุมชน หรือ บ้านเมืองที่ต้องอาศัยน้ าฝนตามฤดูนั้น เป็นคติความเชื่อจาก “นาคเล่นน้ า” ซึ่งมาจากค าสั่งของแถนที่
มีอ านาจสูงสุด แต่เมื่อนาคไม่เล่นน้ าภัยแล้งจึงเกิดแก่โลกมนุษย์ ท าให้มนุษย์ต้องวิงวอนต่อพญาคัน คาก ซึ่งนอกจากจะเป็นการปะทะระหว่างคติความเชื่อแบบดั้งเดิมกับพุทธศาสนาแล้ว ยังสะท้อนให้
เห็นถึงการทับซ้อนของความเชื่อแบบใหม่กับความเชื่อแบบดั้งเดิมด้วย 4.2.3 การสร้างภูมินิเวศเชิงสังคมวัฒนธรรม
เมื่อมนุษย์เข้าใจและจัดวางตนเองให้เข้ากับธรรมชาติและสภาพแวดล้อมแล้ว ย่อมมี
สภาวะทางสังคมวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปทั้งในมิติของวิถีการด ารงชีพและวิธีปฏิบัติทางประเพณี
พิธีกรรม ซึ่งเป็นทั้งการด ารงชีพและพึ่งพาทางใจ 4.2.3.1 วิถีการด ารงชีพ
แหล่งชุมชนในภาคอีสานมักจะมีความเกี่ยวข้องกับแม่น้ าส าคัญเป็นหลัก การด าเนินวิถีชีวิตต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติโดยมีกิจกรรมหลักคือการผลิตทางการเกษตรซึ่ง ประกอบไปด้วยการท านา ท าไร่ เลี้ยงสัตว์และการประมง โดยแต่ละชุมชนมีรูปแบบของการใช้
ประโยชน์ในที่ดินเป็นชุมชนเองโดยยึดหลังการอยู่ร่วมกันที่มีวัฒนธรรมประเพณีความเชื่อที่ยึดถือสืบ ทอดมาจากบรรพบุรุษ จากการตรวจสอบตัวบท พบว่า วรรณกรรมนิทานอีสานน าเสนอวิถีการเกษตร อยู่ 3 ลักษณะ คือ
170 1) การท านา
ในตัวบทได้สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมข้าว ซึ่งเป็นการกสิกรรมที่มี
ความส าคัญ ซึ่งศรีศักร วัลลิโภดม (2543: 91 - 92) ชี้ให้เห็นว่า “จากหลักฐานทางโบราณคดีและชาติ
พันธุ์ที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมธรรมชาติได้ท าให้แลเห็นได้ว่า คนในลุ่มน้ าสงครามและที่อื่น ๆ เป็น จ านวนมากในภาคอีสานมีอาหารหลักในการด ารงชีพคือข้าวและปลา นับเป็นพื้นฐานทางด้านอาหารที่
ส าคัญ ข้าวเป็นสิ่งที่คนในทุกชุมชนต้องปลูกและปลูกในบริเวณที่ลุ่มที่อยู่ไม่ห่างไกลชุมชนนัก ความมุ่ง หมายในการปลูกข้าวเพื่อเอามากินเป็นส าคัญ” ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาชุมชนหมู่บ้านในระดับ จุลภาคของอาจารย์คายส์ในช่วงทศวรรษ 1960-2000 ให้ภาพสังคมชาวนาภาคอีสานที่มองผ่าน หมู่บ้านหนองตื่นในลักษณะที่เป็นสังคมเศรษฐกิจพอเพียง ชาวบ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านหนองตื่นท ามา หากินด้วยการท านาเป็นหลัก โดยผลิตข้าวเหนียวเพื่อบริโภคและผลิตข้าวเจ้าไว้เพื่อขายและ ท าขนม ส าหรับงานบุญประเพณีต่าง ๆ การผลิตข้าวของชาวนาที่นี่ไม่ใช่เป็นเพียงการผสมผสานระหว่างน้ า ที่ดิน แรงงาน และเครื่องมือ แต่ยังรวมถึงการเชื่อมโยงกับความเชื่อของชาวนาในเรื่องผีไร่นา และการ ดูแลรักษาวิญญาณข้าวหรือขวัญข้าวให้ดี ซึ่งหมายถึงการเลี้ยงผีไร่นาในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่เหมาะสม ตามขนบประเพณีของชาวนาในท้องถิ่น นอกจากท านาแล้ว ยังมีการเลี้ยงสัตว์ การหาจับปลาตาม ห้วย หนอง คลอง บึง ใกล้หมู่บ้าน หาเก็บเห็ด และเก็บผักตามฤดูกาลในป่าใกล้ ๆ หมู่บ้านและท า การค้าที่ต้องเดินทางไกล เช่น นายฮ้อยค้าวัวควายไปภาคกลางและที่อื่น ๆ (Keyes, 1967 ori. 2003 : 15-17 ; อ้างอิงมาจาก รัตนา บุญมัธยะ โตสกุล, 2550: 86) ดังเรื่อง คัทธนาม เล่าว่า เมืองสาเกตุ
ที่รุ่งเรืองด้วยข้าวของและน้ า เมื่อถึงฤดูกาลท านาชาวบ้านลงท านาตามฤดูกาล หรือเรื่อง พระกึดพระ พาน ซึ่งเล่าว่า เมื่อถึงฤดูกาลท านา บิดาของท้าวชะลุ่นกุ้นจึงท านาตามฤดูกาล อยู่ประมาณ 2-3 วัน ดังบทว่า
ยังมีเมืองอัน 1 ชื่อว่าเมืองสีสาเกด (ศรีสะเกษ) ส่วนอันว่าพญาตนนั้นก็ทศ ราชธรรม 10 ประการ ก็ฮุ่งเฮืองด้วยเข้าน้ ามากนัก แต่นั้นยังมีแม่หม้ายผู้หนึ่งแลมีผัว อันตายเสียแต่ยังหนุ่มแล้ว ก็ได้เป็นแม่นมแห่งพญาสีสาเกดตนนั้น ก็เฒ่าแก่ปาน กลางหั้นแล ส่วนอันว่าญิงเฒ่าผู้นั้น อันชาวบ้านทั้งหลาย หากพร้อมกันฮักแพงซุคน เหตุว่าเป็นช่างหยิบช่างแส่วยังเสื้อผ้าหั้นแล คันว่าชาวบ้านทังหลายไปตกกล้าด านา เขาก็ปันนาให้แก่ญิงเฒ่าผู้นั้นแทว 1 อยู่ท่ามกลางเพิ่นทุกคน
(อัมพร นามเหลา, 2529: 5)