• Tidak ada hasil yang ditemukan

ผี

Dalam dokumen All 29 aspects of the presentation. (Halaman 179-182)

บทที่ 4

1) ผี

ระบบความเชื่อพื้นฐานในสังคมแรกเริ่มผูกติดอยู่กับอ านาจเหนือ ธรรมชาติผ่านความสัมพันธ์ของมนุษย์ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของระบบความสัมพันธ์หรือวัฒนธรรมใน สังคมอันได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับธรรมชาติหรือสภาพแวดล้อม และ มนุษย์กับอ านาจเหนือธรรมชาติ และในความเชื่อเรื่อง “ผี” ที่สัมพันธ์กับระบบนิเวศในท้องถิ่นแต่ละ แห่งยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ในรูปแบบของการดูแลรักษาและการปกป้องสภาพแวดล้อมหรือ ทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็น “อ านาจ” ในการควบคุมจัดการของมนุษย์ผ่าน “ผี” หรืออ านาจเหนือ ธรรมชาติ (ศรีศักร วัลลิโภดม และวลัยลักษณ์ ทรงศิริ, 2551: 167) ทั้งนี้ รณี เลิศเลื่อมใส (2544 : 227) อธิบายว่า ““ผี” มีความหมายสองชั้น ชั้นแรกสุดมีความหมายถึงสิ่งที่ตรงข้ามกับ “ผู้” หรือคน ความหมายนี้ยังคงเป็นความหมายพื้นฐานในภาษาไทถิ่นทั่วไปเอาไว้อ้างอิงสิ่งที่อยู่นอกเหนือความรับรู้

และความเข้าใจของคนรวมไปถึง “สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ” (Supernatural) ในชั้นที่สองผีคือ

“เทวดา” เช่นเดียวกับในภาษาตระกูลไทใหญ่ทั้งหมด ผีในกลุ่มภาษานี้ไม่ใช่ปีศาจหรือสิ่งที่ตรงข้ามกับ เทวดาอย่างภาษาไทยปัจจุบัน แต่เป็น “ผีเทวดา” ตามที่อ้างในจารึกสุโขทัยหลักแรก ๆ ” คติความ

164 เชื่อเรื่อง “ผี” ในวรรณกรรมนิทานอีสานเป็นความเชื่อที่ปรากฏในรูปของพิธีกรรม ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่

มนุษย์แสดงออกต่ออ านาจเหนือธรรมชาติเพื่อการอ้อนวอนหรือขอความช่วยเหลือ ดังเรื่อง ขุนทึง ที่

เล่าว่า เทวีขุนเทืองได้ท าพิธีเรียกผี เพื่อสืบข่าวขุนเทืองที่ไม่กลับบ้านเมืองถึง 2 ปี ซึ่งได้แก่ ผีด้ า ผีเชื้อ ผีปู่ตา ผีมเหสักข์หลักเมือง และผีน้ า ซึ่งผีเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผีที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติทั้งสิ้น ดังบทว่า

แต่นั้นหมอกล่าวต้าน จาต่อกัลยา ราชาพระ อยู่เมืองขนังเงื้อม เป็นเมืองกว้าง ผีสางเสื้อใหญ่

อยู่ใต้พื้น เขาแก้วเหลี่ยมเสมรุ พุ้นแล้ว ...

แต่นั้นกัลยาต้าน จาไปบทใหม่

กูจักวานเชื้อไว้ ผีเสื้อให้น านั้นเด ...

แต่นั้น หมอต่อยต้อง สองขิ่นแวนเปือง ผีเมืองเขา ก็บ่ไปน าได้

นางซ้ าแหนผีด้ า ตานายทังปู่

ยังชิน าสู่ที่เหง้า บ่ได้สิ่งใดนั้นจา หมอซ้ าคูณดูแล้ว หูราทวายเบิ่ง ดูท้อน หลอนว่าผีแม่น้ า ด าไปได้ให้ว่ามา นั้นเนอ

(พระสมณกุลวงศ์, 2511: 37 - 38) ความเชื่อเรื่องผีจากตัวบทข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า ความเชื่อที่ว่าใน พื้นที่ทางกายภาพย่อมมีอ านาจเหนือธรรมชาติปกปักรักษาอยู่ ดังที่ กุสุมา ชัยวิตย์ (2531: 319) อธิบายว่า “ผีมีบทบาทต่อมนุษย์และสังคมที่ปรากฏในวรรณกรรมคือ ให้ค าตอบเกี่ยวกับโลกและ จักรวาล มีบทบาทต่อการด าเนินชีวิตของมนุษย์ ความเชื่อเรื่อง “ผี” จากตัวบทข้างต้น จ าแนก ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ผีด้ า (ผีบรรพบุรุษ) ผีเมือง และผีที่รักษาน้ าป่าเขา ในแต่ละกลุ่มมีหน้าที่

คือรักษาบ้านเมือง รวมทั้งสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ การสื่อสาร ต่อรอง อ้อนวอนนั้นใช้พิธีกรรม ผ่านคนกลาง “หมอ” ซึ่งอาจหมายถึงคนทรงที่ต้องท าหน้าที่แทนเพื่อสื่อสารระหว่างมนุษย์กับอ านาจ เหนือธรรมชาตินั้น”

165

2) แถน

ระบบความชื่อเรื่องผีบรรพชนของชมรมโคตรวงศ์ไท-ลาวนั้น เดิมที

“แถน” น่าจะครองสถานะเป็นผีบรรพชนต้นด้ าไท-ลาวสายใหญ่สายหนึ่งเท่านั้น เริ่มแรก “ผีแถน”

น่าจะเป็นผีที่มิใช่เทพ แต่กลายเป็นเทพสูงสุดในระบบความเชื่อผีบรรพชนไท-ลาวไปเพราะสถานภาพ ทางการเมืองของ “สายด้ าแถน” ปรับเปลี่ยนสถานภาพสูงขึ้นเป็นล าดับไปตามการคลี่คลายขยายตัว

ของบ้าน-เมือง แว่นแคว้น และอาณาจักรน้อยใหญ่ (ชลธิรา สัตยาวัฒนา, 2561: 191)“แถน”

มีบทบาทส าคัญในการก าหนดเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวของกับการสร้างภูมินิเวศและคติความเชื่อแบบ

ดั้งเดิม ซึ่งในวรรณกรรมนิทานอีสานได้ก าหนดให้แถนมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ดังเรื่อง พญาคันคาก ที่เล่าว่า แถนคือผู้ที่สั่งให้พญานาคเล่นน้ าเป็นประจ าเมื่อถึงฤดูกาล แต่เมื่อแถนเกิด

มิจฉาทิฏฐิต่อพญาคันคาก เนื่องจากเห็นว่าผู้คน รวมไปถึงผีตระกูลอื่นนับถือพญาคันคากมากกว่าตน จึงสั่งไม่ให้พญาสุวรรณนาคเล่นน้ า จนท าให้ฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลและเกิดภัยแล้งอยู่นานถึง 7 ปี

ดังบทว่า

บัดนี้แถนก็ ขัดขืนเจ้า ภูมีบุญมาก

บ่แต่งฟ้า ฝนนั้นบ่สง แท้แล้ว เมื่อนั้น ราชาเจ้า พญาหลวงคันหลวง ต้านไต่ถ้อย ถามเจ้านาคหลวง เป็นสังแท้ พญาแถนบังเบียด พระองค์นี้

เฮาก็ เสวยราชไท้ เมืองบ้านชอบธรรม พระเอิย แต่นั้น พญานาคต้าน ตั้งแต่อันมี ว่าอั้น

แถนก็ เหิงสาแท้ ดอมพระองค์คันคาก ทั้งกี่ค่าย บ่ไปไหว้ พญาแถนจักเทื่อ ไปนั้น ผีก็ เข้าสว่ายเจ้า บุญกว้างผู้เดียว เจ้าเอิย

(สุขฤดี เอี่ยมบุตรลบ, 2532: 175 - 176) จากประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างระหว่างแถนกับพญาคันคาก ที่สั่งไม่ให้พญาสุวรรณนาคเล่นน้ าเมื่อถึงฤดูกาล สะท้อนให้เห็นอ านาจของแถน ที่เชื่อว่าเป็นผีบรรพชน ถูกลดทอนอ านาจลงเมื่อเกิดการปะทะกับอ านาจพุทธศาสนา ซึ่งกุสุมา ชัยวิตย์ (2531: 166) อธิบาย ว่า “ผีแถนในเรื่องพญาคันคากปรากฏอยู่ในลักษณะที่เป็นตัวละครฝ่ายอธรรม มีจิตใจที่เต็มไปด้วย กิเลส มีความโลภ โกระ หลง เป็นที่ตั้ง จะเห็นได้จากการที่พญาคันคากมีบุญบารมีมากกว่าก็โกรธ มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเลิกนับถือไม่ส่งส่วยก็ไม่พอใจถึงกับไม่ยอมให้นาคเล่นน้ าท าให้ฝนไม่ตกต้อง

166 ตามฤดูกาล” นอกจากนี้ยังพบว่าแถนมีบทบาทในการขจัดความไร้ศีลธรรมของมนุษย์ ดังเรื่อง ท้าวคัทธนาม ที่เล่าว่า เมืองขวางทะบุรีเป็นเมืองที่ขุนบรมสร้างไว้ และให้ผู้รักษาศีล หากไม่เช่นนั้น บ้านเมืองก็จะล้มสลาย แต่เมื่อกาลต่อมาเจ้าเมืองไม่ถือในทศพิธราชธรรม สั่งไพร่พลฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เทวดาอารักษ์ที่รักษาเมืองจึงเกิดความโกรธแค้น พระอินทร์จึงดลบันดาลให้เกิดโรคาพยาธิ และ ตกแต่งโรคาพยาธิลงมากินผู้คนจนหมด ส่วนเทวดาที่อยู่พระอินทร์จึงกล่าวต่อเทพดาเมืองมนุษย์ว่า ไม่ใช่ผู้ตกแต่งบ้านเมือง พระอินทร์จึงสั่งให้ไปทูลแก่แถนซึ่งเป็นใหญ่กว่าผู้คนทั้งหลาย พระอินทร์จึง ทูลพระโพธิสัตว์ให้ลงมาเกิดยังโลกมนุษย์พร้อมกับของวิเศษที่ได้จากยักษ์ และแถนได้แต่งงูซวงลงมา เพื่อท าลายล้างมนุษย์ที่เมืองขวางบุรี เนื่องจากชาวเมืองไร้ศีลธรรม ท าลายธรรมชาติ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดังบทว่า

แต่นั้นอันว่าพญาอินทร์ก็ฮู้ว่าพญาแถนชี้แต่งยังโพยภัยลงมาในเมืองคนแล้ว แล ให้คนทังหลายตายดับวายแท้ดั่งนั้น พญาอินทร์ก็ได้ไหว้ยังโพธิสัตว์เจ้าได้ลง มาเกิดในเมืองคน กับทังของวิเศษอันได้ดอมยักษ์แล ยักษ์ก็เอามาให้ยังโพธิสัตว์

เจ้า ก็ได้ของวิเศษแล้วแล แถนก็แต่ยังงูซวงมากินคนในเมืองขวางนั้นแล

(อัมพร นามเหลา, 2529: 23) จากตัวบทข้างต้น จะเห็นได้ว่าแถนมีบทบาทหลากหลาย อย่างเช่น ก าหนดให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลหรือแม้แต่การขจัดความไร้ศีลธรรม เหตุผลดังกล่าวธวัช ปุณโณทก, 2525 : 243) อธิบายว่า “ธรรมชาติมีอ านาจเหนือมนุษย์ และมีความโหดร้ายต่อมนุษย์ ฉะนั้นจึงเน้น เรื่องการเคารพนับถือวิญญาณอันสิงสถิตอยู่ในธรรมชาติเหล่านั้น เช่น ต้นไม้ ป่าเขา ตลอดจนแม่น้ า”

เฉกเช่นเดียวกับชาวเมืองขวางทะบุรีที่ไร้ศีลธรรม แถนจึงอยู่ในฐานะของธรรมชาติที่มีความโหดร้าย ต่อมนุษย์ที่ไม่เคารพธรรมชาติและความส าคัญต่อฤดูกาลในวิถีการเกษตรของสังคมพื้นที่ราบที่ต้อง อาศัยน้ าฝนตามฤดูกาล

Dalam dokumen All 29 aspects of the presentation. (Halaman 179-182)