• Tidak ada hasil yang ditemukan

การศึกษาประติมากรรมพระศิวะที่สื่อความหมายทางความเชื่อของศาสนาฮินดูในเขต กรุงเทพมหานคร โดยผู้วิจัยจะปูพื้นความรู้พอสังเขป ด้วยภูมิหลังการนับถือพระศิวะในประเทศ ไทยตั้งแต่สมัยก่อนสุโขทัยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจะท าการวิเคราะห์โดยใช้แนวคิดเกี่ยวประติ

มานวิทยา (Iconography) และทฤษฎีสัญวิทยา (Semiology) ตั้งแต่เริ่มมีความนิยมใน การจัดสร้างเทวรูปของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู คือ ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา ข้อมูลเกี่ยวกับพระศิวะ ผู้วิจัยได้รวบรวมจาก ธีระนันท์ วิชัยดิษฐ (2557), ศานติ ภักดีค า (2559), เอกทันตะ (2549), เอก สุดา สิงห์ล าพอง (2553), คมกฤช อุ่ยเต็กเค็ง (สัมภาษณ์, 2564), เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว (สัมภาษณ์, 2564), เชษฐ์ ติงสัญชลี (สัมภาษณ์, 2564) รายละเอียดดังนี้

การบูชาพระศิวะ สันนิษฐานว่าคนไทยเริ่มบูชาพระศิวะราวพุทธศตวรรษที่ 11-12 เป็น ต้นมา หลักฐานที่ปรากฏชัดเจนคือศิลาจารึกที่พบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ของไทย ที่มีการกล่าวถึงการบูชาพระศิวะ เช่น ศิลาจารึกอูบมุง จังหวัดอุบลราชธานี และศิลาจารึก สด๊กก๊อกธม จังหวัดสระแก้ว ทั้งนี้ พระศิวะได้รับการบูชาอย่างกว้างขวางในสมัยที่ขอมเรืองอ านาจ และมีการสร้างเทวสถานหลายแห่งเพื่อถวายพระศิวะ อย่างไรก็ตามในดินแดนไทยนับถือไศว นิกายเป็นหลัก เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรด ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2327 ณ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ก็เป็นเทวสถานส าหรับพระอิศวร

พระศิวะที่ได้รับการนับถือในประเทศไทยมีความแตกต่างไปจากที่นับถือกันในอินเดีย ดังหลักฐานปรากฏว่า ในสมัยสุโขทัยและอยุธยา พระศิวะเป็นที่รู้จักกันในปางเทพแห่งการคล้อง ช้าง และเทพเจ้าแห่งปศุสัตว์ ในขณะที่คติการบูชาด้านอื่น ๆ ไม่ชัดเจนนัก ในส่วนของประติมาน วิทยาไม่แตกต่างกันมากนัก สมัยรัตนโกสินทร์ประเทศไทยถือว่าพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด รู้จักกัน ดีในนามพระอิศวร และเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบพระราชพิธีอยู่เสมอ ตราบจนพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือที่อธิบายเรื่องราวเทพเจ้าฮินดู โดยทรงเรียบ เรียงจากหนังสือ Hindu Mythology ของ J. Wilkins ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าและสังเคราะห์จาก เอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระศิวะ โดยสามารถแสดงรายละเอียดจ าแนกตามยุคสมัยได้ตาม ตารางดังนี้

ตาราง 35 แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับพระศิวะจ าแนกตามยุคสมัย ยุคสมัย พระนาม ฐานะ/คุณสมบัติ/คติ

การบูชา/ความเชื่อ หลักฐานอ้างอิง

สุโขทัย พระอิศวร

พระมเหศวร มเหสูร

1. เทพแห่งการคล้อง ช้าง ส าหรับใช้ในพิธีค ชกรรม (พิธีกรรมที่

เกี่ยวกับช้าง) 2. เทพที่อัญเชิญมา เพื่อใช้ในการพระราช พิธี ต่าง ๆ

1. ศิลาจารึกวัดป่า มะม่วง

2. ศิลาจารึกปู่ขุนจิด ขุนจอด

3. ศิลาจารึกฐานพระ อิศวรเมือง

ก าแพงเพชร

อยุธยา ปรเมศวร เทพที่อัญเชิญมาเพื่อ

ใช้ในการพระราชพิธี

ต่าง ๆ

ลิลิตโองการแช่งน ้า

พระอิศวร เทพที่อัญเชิญมาเพื่อ ใช้ในการพระราชพิธี

ต่าง ๆ

โองการลุยเพลิง

พระสยมภูวนารถ

พระอิศวร

เทพแห่งการท าลาย ล้าง

ลิลิตยวนพ่าย

บรมภูวศวะ กรุงภูต

เทพแห่งการคล้องช้าง ประชุมค าฉันท์ดุษฎี

สังเวยกล่อมช้าง พระศรีรุทรนารถ

พระอิศวร

เทพที่อัญเชิญมาเพื่อ ใช้ในการพระราชพิธี

ต่าง ๆ

พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพน รัตน์ วัดพระเชตุพน

ตาราง 35 (ต่อ)

รัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1-5)

พระอิศวร 1. เป็นเทพเจ้าสูงสุด ในศาสนาฮินดู ไศว นิกาย (เทพผู้สร้าง) 2. เป็นเทพองค์หนึ่งใน ตรีมูรติ (เทพแห่งการ ท าลายล้าง)

3. เทพที่อัญเชิญมา เพื่อใช้ในการพระราช พิธี ต่าง ๆ

1. คัมภีร์นารายณ์

ยี่สิบปาง 2. ต านานเทวรูป สังเขป

3. ฉันท์กล่อมช้างพัง 4. ฉันท์กล่อมพระ เสวตวรวรรณ

5. ฉันนท์กล่อมสมเด็จ พระเจ้าลูกเธอ ข้อสังเกตบางประการ

1. ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างศิวลึงค์ อาจเป็นเพราะคนใน สมัยสุโขทัยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ศิวลึงค์อาจไม่เหมาะสมกับศาสนาพุทธ จึง สร้างเป็น เทวรูปแทน ความนิยมนี้ด าเนินเรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 มีพระราช ก าหนดห้ามมิให้มีศิวลึงค์ในศาลเทพารักษ์

2. ศิลปะสุโขทัยนิยมสร้างพระหริหระมากกว่าสร้างเทวรูปพระศิวะ สันนิษฐานได้ว่าสมัย สุโขทัยให้ความส าคัญในการนับถือบูชาพระศิวะเทียบเท่าพระวิษณุก็เป็นได้

3. มีการน าพระนามพระศิวะมาเป็นส่วนหนึ่งของพระนามพระมหากษัตริย์ เนื่องจาก พระมหากษัตริย์ถือเป็นสมมุติเทพ เป็นเทพที่อวตารลงมาเพื่อปกครองผู้คนในโลกมนุษย์ เฉก เช่นเดียวกับพระนารายณ์ พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ได้รับการยกย่องให้เป็นพระศิวะ

สมัยอยุธยา เช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ โดยค าว่า

“นเรศ” หมายถึง พระศิวะ ส่วนพระนามเต็มของสมเด็จพระเอกาทศรถ คือ พระบาทสมเด็จพระ เอกาทฐรุทรอิศวร บรมนารถบพิตร

สมัยรัตนโกสินทร์ เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส

4. พระศิวะกลายเป็นผู้พิทักษ์พุทธสถาน ดังปรากฏหลักฐานภาพพระศิวะที่ปรากฏอยู่

ตามประตูและหน้าต่างวัดในพระพุทธศาสนา เช่น วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร และ วัดบวรสถานสุทธาวาส ซึ่งถูกวาดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3-4

5. ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ปรากฏภาพพระศิวะเหนือช่องพระทวารด้านทิศเหนือ เขียน ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นสัญลักษณ์ว่าพระมหากษัตริย์คือพระศิวะ เนื่องจากการประกอบพระ ราชพิธีบรมราชาภิเษก พระมหากษัตริย์ต้องทรงพระด าเนินผ่านประตูที่มีรูปพระศิวะอยู่

จากตารางแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีการบูชาพระศิวะมานานแล้ว และเป็นที่รู้จักกัน ดีตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่ก าจัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงหรือในราชส านักเท่านั้น ในเวลาต่อมาการรับรู้เรื่องราวของพระศิวะของคนทั่วไปเริ่มมีมากขึ้นในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 เป็น ต้นมา

ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือที่อธิบายเรื่องราวของเทพเจ้าของศาสนา ฮินดู โดยทรงเรียบเรียงจากหนังสือ Hindu Mythology ของ J. Wilkins รวมถึงทรงพระราชนิพนธ์

หนังสือที่อธิบายเรื่องเทพตามมุมมองที่ชาวตะวันตกได้ท าการศึกษาไว้ ได้แก่ เทพเจ้าและสิ่งน่ารู้

และลิลิตนารายณ์สิบปาง

ช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้ มีการสร้างเทวสถานในศาสนาฮินดู โดยชาวฮินดูจากอินเดียใน เวลาไล่เลี่ยกัน ถึง 3 แห่ง หากนับปี พ.ศ. ที่จดทะเบียนเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ประกอบด้วย 1. วัดพระศรีมหาอุมาเทวี (พ.ศ. 2458) 2. วัดวิษณุ (พ.ศ. 2458) และ 3. วัดเทพมณเฑียร (พ.ศ.

2468) ตามล าดับ จะเห็นได้ว่าอยู่ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทั้งสิ้น เทวสถานดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่และส่งเสริมศาสนาฮินดูให้แก่ชาวอินเดียที่นับถือ ศาสนาฮินดู และชนชาติอื่นที่มีความสนใจในศาสนาฮินดูในประเทศไทย โดยเฉพาะ กรุงเทพมหานคร ท าให้สังคมไทยในระยะเวลานั้น ได้มีโอกาสซึมซับวัฒนธรรมทางศาสนาฮินดูของ อินเดียยิ่งขึ้นไปอีก

เทวรูปพระศิวะขนาดบูชาในกรุงเทพมหานครมักมีหลายรูปแบบ ทั้งประทับนั่ง ยืน ร่ายร า มีทั้ง 4 กร และ 2 กร ถือ ตรีศูล บัณเฑาะว์ สังข์ สายประค า ดอกบัว วัชระ โดยวัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่

มักเป็น เรซิ่น ส าริด และทองเหลือง และออกให้บูชาโดยองค์กรหรือตัวบุคคลทั่วเมืองไทย เช่น วิหารเสด็จพ่อพระศิวะมหาเทพ รามอินทรา ที่ก่อตั้งโดยพระภิกษุณีนิกายมหายาน เสกกวงเซง ใน ปี พ.ศ. 2546 เพื่อหารายได้ โดยอาศัยการจัดสร้างเทวรูปพระคเณศและวัตถุมงคลชนิดต่าง ๆ อัน เกี่ยวเนื่องกับพระศิวะ แต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างนัก ดังจะยกตัวอย่างต่อไปนี้

การจัดสร้าเทวรูปพระศิวะล่าสุด ในปี พ.ศ. 2564 เกิดผลงานสร้างสรรค์จากแนวคิดจาก อาจารย์ธนทัศน์ ทองเนียม และ ดร.ทรงพล เขมะบุลกุล ที่ปรึกษาโครงการ Artmulet ผ่านจิตรกร เอก อาจารย์เกรียงกมล นาคบางแก้ว และประติมากร อาจารย์สุชาติ แซ่จิว ปั้นแต่งผลงานอย่าง

งดงาม ทั้งรายละเอียดที่ดูอ่อนช้อยงดงามพริ้วไหวแต่ทรงพลัง เพื่อฝากไว้เป็นสมบัติอันล ้าค่าของ แผ่นดิน มี 2 ขนาด สูง 21 นิ้ว และ 12 นิ้ว

ภาพประกอบ 59 เทวรูปพระศิวะ โดย Artmulet

ที่มา: Artmulet. (2564). อิศวรมหากาลไกรลาสบรรพต. สืบค้นเมื่อ 8 สิงหาคม 2563, จาก https://www.facebook.com/artmulet/posts/2934058750203532

เทวรูปพระศิวะดังกล่าวเกิดจากความศรัทธาสู่การรังสรรค์ผลงานด้านประติมากรรม พระอิศวรมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ผู้อยู่เหนือกาลเวลาและสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล เทวลักษณะเป็น ศิลปะแบบไทย มีพระพักตร์ยิ้มอย่างอิ่มเอิบด้วยความสุขจากภายในสู่ภายนอก พระเกศาทรงปิ่น พระจันทร์ครึ่งเสี้ยว คล้องพระศอด้วยนาคสังวาลย์ พระนลาฏมีพระเนตรที่สามใช้ท าลายล้างสิ่ง อัปมงคลชั่วร้ายสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่โลกยุคใหม่ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงประทานพรอัน ศักดิ์สิทธิ์สู่ความสมบูรณ์ด้วยอ านาจเหนือกาลเวลา พระหัตถ์ซ้ายทรงดอกบัวบานสัญลักษณ์แห่ง การตื่นรู้และหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง พระหัตถ์ขวาบนทรงตรีศูลและบัณเฑาะว์สัญลักษณ์

แห่งการอยู่เหนือทั้งสามโลกทั้งชายและหญิง พระหัตถ์ซ้ายบนทรงสังข์สัญลักษณ์แห่งการมี

ชื่อเสียงในคุณธรรมความดีงามที่ปรากฎไปทั้งสามโลก ประทับบนแผ่นหนังทั้งตัวและหัวเสือโคร่ง สัญลักษณ์แห่งอ านาจ ประทับเหนือยอดเขาไกรลาส อันประกอบไปด้วยโคนนทิพาหนะแห่งองค์