บทที่ 3
หลักกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งเทียมอาวุธปน ตามพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง
และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490
พระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธ ปน พ.ศ.2490 นั้นเปนพระราชบัญญัติที่มีโทษในทางอาญา ซึ่งเปนกฎหมายที่รัฐบัญญัติขึ้นเพื่อ กําหนดลักษณะของการกระทําที่ถือวาเปนความผิด และกําหนดบทลงโทษทางอาญาสําหรับ ความผิดนั้น เปนกฎหมายที่บัญญัติวาการกระทําหรือไมกระทําการอยางใดเปนความผิด แมวาตาม แนวคิดและทฤษฎีของกฎหมายอาญา กฎหมายควรจะมีการบัญญัติขึ้นจากเจตจํานงของประชาชน ก็ตาม แตในประเทศไทย ประมวลกฎหมายอาญาที่ใชในปจจุบัน มิไดมีการบัญญัติขึ้นตามแนวคิด ดังกลาว หากแตเปนการเรงรัดและรีบใหมีการออกกฎหมายดังกลาวเพื่อใหกฎหมายมีความ เหมาะสมตามกาลสมัยที่พัฒนามาจาก กฎหมายลักษณะอาญา รศ.127 เพื่อใหกฎหมายมีความ ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ
ความหมายของ Mala in se และ Mala prohibits
1. ความผิดในตัวเอง (Mala in se) (ชาญชัย ภิรมจิตร, ออนไลน, 2550) หมายถึง การ กระทําที่เปนความผิดในตัวของมันเอง ไมวาจะกระทําลงในสถานที่ใด ยุคสมัยใด เวลาใด และโดย ผูกระทําผูใดก็ตาม ในเบื้องตนเมื่อมนุษยมาอยูรวมกันเปนสังคมและคอย ๆ พัฒนากฎเกณฑในการ อยูรวมกันในหลายรูปแบบตั้งแตศาสนา ศีลธรรม จารีตประเพณี จนกระทั่งปรากฏอยูในรูปแบบ ของกฎหมาย ดังนั้น กฎเกณฑตาง ๆ เหลานี้จึงมีสวน ที่เกี่ยวของหรือเหมือนกันอยู พึงสังเกตไดวา ความผิดประเภทที่เปน Mala in se มักจะเปนการกระทําที่เปนขอหามในทางศาสนา หรือทาง ศีลธรรมหรือเปนสิ่งที่ไมพึงปฏิบัติในทางจารีตประเพณีอยูดวย เชน ความผิดฐานฆาผูอื่น ทําราย รางกาย ลักทรัพย หรือหมิ่นประมาท เปนตน
2. ความผิดเพราะกฎหมายหาม (Mala prohibita) หมายถึง การกระทําที่กฎหมาย กําหนดใหเปนความผิด ซึ่งอาจจะแตกตางกันออกไปตามเงื่อนไขตาง ๆ กลาวคือ การกระทําหนึ่ง อาจเปนความผิดในประเทศหนึ่งหรือชวงระยะเวลาหนึ่ง แตอาจไมเปนความผิดในอีกประเทศหรือ ในระยะเวลาอื่น Mala probihita มักจะเปนความผิดที่ไมผิดตอกฎเกณฑอื่นของสังคม แตรัฐกําหนด เอาวาเปนความผิดอาญาเพื่อประโยชนของรัฐเอง เชน รัฐออกกฎหมายกําหนดราคาสูงสุดที่บุคคล จะขายทรัพยของเขาไดเปนตน และเอาโทษทางอาญาแกผูที่ขายของเกินราคาสูงสุดที่รัฐกําหนดไว
นั้น ซึ่งการขายของนี้ความจริงไมผิดศีลธรรม หรือมีขอหามทางศาสนา หรือจารีตประเพณี
นอกจากนั้นยังมีความผิดในลักษณะนี้อีกมากมาย เชน ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่อง กระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490 เปนตน
จากการศึกษาของผูศึกษาเกี่ยวกับพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490 แลว ผูศึกษาพบวา สาระสําคัญของพระราชบัญญัติ
อาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490 นั้นมี
สาระสําคัญกลาวคือ
หลักกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งเทียมอาวุธในประเทศไทย
เนื่องจากปญหาอาชญากรรมที่รัฐไมสามารถคุมครองความปลอดภัยใหแกประชาชนได
ทําใหรัฐจําตองใหประชาชนที่มีสิทธิในการปองกันชีวิตและทรัพยสินของตนเอง อันถือเปนสิทธิ
มนุษยชนขั้นพื้นฐานที่กฎหมายรับรอง แตการที่จะอนุญาตใหมีหรือใชสิ่งเทียมอาวุธปนไดอยางเสรี
ถาไมมีหลักเกณฑการควบคุมที่เหมาะสมหรือผูขออนุญาตไมรูจักวิธีใชที่ถูกตอง ก็จะทําใหเกิดโทษ กับตนเองและสังคมยิ่งขึ้น
1. ความหมายของสิ่งเทียมอาวุธปน
“สิ่งเทียมอาวุธปน” หมายความวา สิ่งซึ่งมีรูปและลักษณะอันนาจะทําใหหลงเชื่อวาเปน อาวุธปน (มาตรา 4 (5) แหงพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490)
ดังนั้น จากการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของปนอัดลมเบาและจากประมวลกฎหมายอาญา รวมทั้งพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่อง กระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490 ผูศึกษามีความเห็นวา หากจะจัดปนอัดลมเบาเปนอาวุธปนตามพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่อง กระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490 นั้นปนอัดลมเบาตอง สามารถสงเครื่องกระสุนออกไปโดยวิธีระเบิดหรือกําลังดันของแกสหรืออัดลมหรือเครื่องกลไก
อยางใด ซึ่งตองอาศัยอํานาจของพลังงาน และสวนหนึ่งสวนใดของอาวุธ ซึ่งปนอัดลมเบานั้นใช
กําลังดันของแกสหรืออัดลม เปนตัวสงกระสุนพลาสติกหรือกระสุนผลิตภัณฑเซรามิคสังเคราะห
ออกไปได แตตามบทบัญญัติใน มาตรา 4(1) นั้นหากจะเปนอาวุธปนตามพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่อง กระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490 ไดนั้นนอกจะสามารถ ใชสงเครื่องกระสุนปนโดยวิธีระเบิดหรือกําลังดันของแกสหรืออัดลมหรือเครื่องกลไกอยางใด ซึ่ง ตองอาศัยอํานาจของพลังงาน และสวนหนึ่งสวนใดของอาวุธ แลวยังตองมีองคประกอบสําคัญอีก อยางหนึ่งนั้นก็เครื่องกระสุนซึ่งใชกับตัวอาวุธปนนั้นตองเปนเครื่องกระสุนตามมาตรา 4 (2) คือตอง เปนเครื่องกระสุนที่เปน กระสุนโดดกระสุนปราย กระสุนแตก ลูกระเบิด ตอรปโด ทุนระเบิดและ จรวด ทั้งชนิดที่มีหรือไมมีกรดแกส เชื้อเพลิง เชื้อโรค ไอพิษ หมอกหรือควัน หรือกระสุน ลูก ระเบิด ตอรปโด ทุนระเบิดและจรวด แตกระสุนของปนอัดลมเบานั้นเปนกระสุนพลาสติกหรือ กระสุนผลิตภัณฑเซรามิคสังเคราะหที่ไมสามารถทําอันตรายแกรางกายมนุษยได ทําใหกระสุนของ ปนอัดลมเบานั้นไมจัดเปนเครื่องกระสุนตาม มาตรา 4 (2) พระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่อง กระสุน ปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490 เพราะฉะนั้นถึงแมวาปนอัดลมเบาจะ ใชกําลังดันของแกสหรืออัดลม ในการสงลูกกระสุนออกไปก็ไมถือวาปนอัดลมเปน “อาวุธปน”
ตามพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่อง กระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490 เพราะลูกกระสุนของปนอัดลมเบาไมจัดอยูในลักษณะของเครื่องกระสุนตามมาตรา 4(2) พระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่อง กระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.
2490 เนื่องจากลูกกระสุนของปนอัดลมเบาเปนกระสุนพลาสติกหรือกระสุนผลิตภัณฑเซรามิค สังเคราะหที่ไมสามารถทําอันตรายแกรางกายมนุษยอยางสาหัสได และหากพิจารณาในสวนของ กฎหมายอาญาวาปนอัดลมเบา จัดเปนอาวุธตามมาตรา 1 (5) หรือไม ในสวนของกฎหมายอาญา มาตรา 1(5) บัญญัติวา “อาวุธ” ไวคือสิ่งซึ่งไมเปนอาวุธโดยสภาพ แตซึ่งไดใชหรือเจตนาจะใช
ประทุษรายรางกายถึงอันตรายสาหัสอยางอาวุธ เมื่อผูศึกษาไดทําการศึกษาแลวปรากฏวาปนอัดลม เบาตามสภาพของลักษณะภายนอกที่มีสภาพไมตางจากอาวุธปน แตปนอัดลมไมสามารถทํา อันตรายสาหัสใหแกรางกายของมนุษยไดตามมาตรา 1(5) ประมวลกฎหมายอาญาไดเนื่องจาก ปน อัดลมเบาใชกระสุนของปนอัดลมเบานั้นเปนกระสุนพลาสติกหรือกระสุนผลิตภัณฑเซรามิค สังเคราะหซึ่งมีความเร็วตนและแรงปะทะที่ต่ํามากเพียง 280 ฟุตตอวินาที จึงไมสามารถทําใหเกิด อันตรายสาหัสแกรางกายมนุษยได แตหากนําปนอัดลมเบาไปใชในการกระทําความผิดตาม กฎหมาย จะถือวาปนอัดลมเบานั้นเปนอาวุธ เนื่องจากบทบัญญัติในมาตรา 1(5) ประมวลกฎหมาย
อาญามีการกลาวถึงสิ่งที่ไมเปนอาวุธโดยสภาพแตไดใชหรือเจตนาจะใชประทุษรายรางกายถึง อันตรายสาหัสอยางอาวุธ ก็ถือวาเปนอาวุธตามมาตรานี้เชนกัน
เมื่อวิเคราะหตามสภาพแลวปนอัดลมเบาไมจัดวาเปน “อาวุธ” ตามประมวลกฎหมาย อาญาและ “อาวุธปน” ตามพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่อง กระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490 แลวปนอัดลมจะจัดอยูในประเภทใด ในสวนนี้กฎหมายก็ไดมีการ กําหนดคําวา “สิ่งเทียมอาวุธปน” ไวคือ สิ่งซึ่งมีรูปและลักษณะอันนาจะทําใหหลงเชื่อวาเปนอาวุธ ปน ซึ่งตรงกับลักษณะของปนอัดลมเบา ในสวนนี้กฎหมายไมไดมองถึงองคประกอบภายในหรือ ผลที่เกิดจากการใชอาวุธปนแตเปนการมองในสวนของลักษณะภายนอก ลักษณะของสิ่งที่ทําให
ผูอื่นเขาใจวาเปนอาวุธปนเพียงแคเห็นภายนอก ปนอัดลมเบาซึ่งมีลักษณะภายนอกเหมือนอาวุธปน ทุกประการ จึงถือไดวาปนอัดลมเบาเปนสิ่งเทียมอาวุธปนตามมาตรา 4 (5) พระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่อง กระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490
2. การสั่ง นําเขา หรือคาซึ่งสิ่งเทียมอาวุธปน
“นําเขา” หมายความวา นําเขามาจากภายนอกราชอาณาจักรไมวาโดยวิธีใด ๆ (มาตรา 4 (8) แหงพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490)
การสั่ง นําเขา หรือคาซึ่งสิ่งเทียมอาวุธปนนั้น จะตองไดรับอนุญาตจากนายทะเบียน ทองที่ (มาตรา 52 แหงพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่ง เทียมอาวุธปน พ.ศ.2490) ในการนี้ หากมิไดปฏิบัติตามคําสั่งของนายทะเบียนทองที่แลวบุคคล ดังกลาวมีความผิดตองระวางโทษจําคุกไมเกินหนึ่งเดือนหรือปรับไมเกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจําทั้ง ปรับ (มาตรา 77 แหงพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่ง เทียมอาวุธปน พ.ศ.2490)
จากบทบัญญัติดังกลาวนั้น การที่จะสั่ง นําเขา หรือคาซึ่งสิ่งเทียมอาวุธปนนั้น จําตอง ไดรับอนุญาตจากเจาพนักงานทองที่กอนจึงจะดําเนินการกระทําการดังกลาวได มิฉะนั้นจะเกิดโทษ ทางอาญาแกบุคคลผูฝาฝน
3. คุณสมบัติของผูขออนุญาตสั่ง นําเขา หรือคาสิ่งเทียมอาวุธปน
เกี่ยวกับคุณสมบัติของผูขออนุญาตสั่ง นําเขา หรือคาสิ่งเทียมอาวุธปนนั้น ไดมีหลักเกณฑ
เพื่อใหเจาหนาที่ผูเกี่ยวของพิจารณาไวโดยดําเนินการเชนเดียวกับการขออนุญาตสั่ง นําเขา หรือคา อาวุธปน เครื่องกระสุนปน ดังนี้
3.1 เปนบุคคลที่บรรลุนิติภาวะ
3.2 ไมเปนบุคคลซึ่งไมสามารถใชอาวุธปนไดโดยกายพิการหรือทุพพลภาพ
3.3 ไมเปนบุคคลไรความสามารถหรือเสมือนไรความสามารถหรือจิตฟนเฟอนไมสม ประกอบ หรือวิกลจริต
3.4 ประกอบสัมมาอาชีพ มีถิ่นที่อยูประจําในทองที่ที่ขออนุญาต และมีชื่อในทะเบียน บานตามกฎหมายวาดวยทะเบียนราษฎรไมนอยกวา 6 เดือน
3.5 ไมเปนบุคคลที่มีความประพฤติชั่วอยางรายแรงอันอาจกระทบตอความสงบเรียบ รอยของประชาชน
3.6 ไมเคยตองโทษจําคุกในฐานความผิดที่กฎหมายกําหนด ดังตอไปนี้
3.6.1 ไมเปนบุคคลซึ่งตองโทษจําคุกสําหรับความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 97 มาตรา 111 มาตรา 120 มาตรา 177 มาตรา 183 มาตรา 249 มาตรา 250 มาตรา 293 ถึง มาตรา 303 มาตรา 245 ถึง 257 และพนโทษยังไมเกิน 5 ป นับแตวันพนโทษถึงวันยื่นคําขอใบอนุญาต เวนแต
ในกรณีความผิดที่กระทําโดยความจําเปนหรือเพื่อปองกันหรือโดยถูกยั่วยุโทสะ
3.6.2 ไมเปนบุคคลซึ่งตองโทษจําคุกสําหรับความผิดอันเปนการฝาฝนตอพระราช- บัญญัติอาวุธปนฯ พ.ศ.2477 มาตรา 11 มาตรา 22 มาตรา 29 ถึง มาตรา 33 หรือพระราชบัญญัติอาวุธ ปนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 7 มาตรา 24 มาตรา 33 หรือมาตรา 38
3.6.3 ไมเปนบุคคลซึ่งตองโทษจําคุกตั้งแตสองครั้งขึ้นไป ในระหวางหาปนับยอน ขึ้นไปจากวันยื่นคําขอ สําหรับความผิดอยางอื่นนอกจากที่บัญญัติไวใน 6.1 และ 6.2 เวนแตความผิด ที่ไดกระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
3.7 ไมเปนบุคคลที่ตองคําพิพากษาของศาลใหปรับตั้งแตสองครั้งขึ้นไป หรือจําคุกแม
แตครั้งเดียวฐานความผิดตอพระราชบัญญัติอาวุธปนฯ พ.ศ.2477 และพระราชบัญญัติอาวุธปนฯ พ.ศ.2490 และพนโทษครั้งสุดทายไมเกิน 10 ป นับแตวันยื่นคําขอใบอนุญาต
4. เอกสารหลักฐานประกอบคําขออนุญาต 4.1 บัตรประจําตัวประชาชนพรอมสําเนา 4.2 ทะเบียนบานพรอมสําเนา
4.3 สําเนาทะเบียนบานของสถานที่ตั้งรานคา
4.4 หนังสืออนุญาตใหใชสถานที่ตั้งทําการคาออกใหโดยเจาของกรรมสิทธิ์หรือผูมี
อํานาจ
4.5 ใบทะเบียนการคา ทะเบียนพาณิชย หรือหนังสือบริคณหสนธิ
4.6 บัญชีสําหรับลงรายการยอดอาวุธปนและเครื่องกระสุนปน (แบบ ป.8) ของรอบที่
ผานมา
5. ขั้นตอนการขออนุญาตสั่ง นําเขา หรือคาสิ่งเทียมอาวุธปน
ในการขออนุญาตการสั่งนําเขา หรือคาสิ่งเทียมอาวุธปนนั้น ผูขออนุญาตตองเปนผูมี
คุณสมบัติไมตองหามตามมาตรา 26 แหงพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490 มีความประพฤติเปนที่ไววางใจใหทําการคา จําหนาย ประกอบซอมแซมเปลี่ยนลักษณะสิ่งเทียมอาวุธปน ใหเจาพนักงานพิมพลายนิ้วมือตรวจสอบวาเคย มีประวัติอยางใดมากอนหรือไม ประกอบกับตองเปนผูมีหลักทรัพยเปนหลักฐานพอที่จะตั้งรานคา เพื่อทําการคาจําหนาย ประกอบ ซอมแซม เปลี่ยนลักษณะสิ่งเทียมอาวุธปน โดยใหสอบสวนใหแน
ชัดวาผูขออนุญาตมีทรัพยเทาใด หรือหลักทรัพยอยางใด ราคาเทาใด เปนกรรมสิทธิ์ของผูขอ อนุญาตแตผูเดียวหรือมีกรรมสิทธิ์รวมกับบุคคลอื่น
ทั้งนี้ นอกจากพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และ สิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490 จะไดกําหนดคุณสมบัติของผูที่ขออนุญาตการสั่งนําเขา หรือคาสิ่งเทียม อาวุธปนแลว พระราชบัญญัติดังกลาวยังไดกําหนดเงื่อนไขการตรวจสอบควบคุม โดยการวาง ระเบียบ การขอและการออกใบอนุญาต ตลอดจนการกําหนดอัตราคาธรรมเนียมไวดวย กลาว โดยเฉพาะคือ การที่บุคคลใดประสงคจะสั่ง นําเขา หรือคาซึ่งสิ่งเทียมอาวุธปนจะตองยื่นคําขอ ใบอนุญาตตามแบบ ป.1 และ ป.2 สําหรับการจะนําเขา และใบ ป.3 สําหรับการจะคาตอนายทะเบียน ทองที่ ตามแบบที่กฎกระทรวง (พ.ศ.2490) ซึ่งไดออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่อง กระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490 โดยอาศัยอํานาจตามความใน มาตรา 6 แหงพระราชบัญญัติดังกลาว (กฎกระทรวง, วันที่ 19 กันยายน 2490)โดยในสวนของ สถานที่ทําการคานั้น เจาพนักงานทองที่ก็จะทําการสํารวจ สถานที่ทําการคาวาเปนที่มั่นคงแข็งแรง เหมาะสมและตั้งอยูในยานการคาสะดวกแกการควบคุมตรวจตราของนายทะเบียนทองที่และ เจาหนาที่ และในกรณีที่ผูขออนุญาตเปนบุคคลเดียวหรือบุคคลกับนิติบุคคลที่มีผูจัดการเปนบุคคล เดียวกัน หรือนิติบุคคลกับนิติบุคคลที่มีผูจัดการเปนบุคคลเดียวกัน ซึ่งเคยไดรับอนุญาตใหทําการคา จําหนายสิ่งเทียมอาวุธปนและเครื่องกระสุนปนอยูในสถานที่ทําการคาเดียวกัน จะไดรับใบอนุญาต ใหทําการคาและจําหนายสิ่งเทียมอาวุธปนในสถานที่ทําการคาเดียวกันไดรวมทั้งสิ้นไมเกินหา ใบอนุญาตเฉพาะสถานที่ทําการคาที่ตั้งอยูในเขตทองที่กรุงเทพมหานคร และไมเกินหนึ่งใบอนุญาต สําหรับในจังหวัดอื่น
โดยหลังจากที่เจาพนักงานทองที่สืบสวนสอบสวนผูขออนุญาตแลวจะสงสํานวนทั้งหมด พรอมดวยคําขอรับอนุญาตไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อประกอบการพิจารณาทุกคราวที่มีการขอ อนุญาต (คําสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 109/2535, ลว 10 กุมภาพันธ 2535)
โดยบุคคลใดประสงคจะสั่ง นําเขา หรือคาซึ่งสิ่งเทียมอาวุธปนใหยื่นคําขอรับใบอนุญาต ตามแบบ ป.1 ตอนายทะเบียนทองที โดยนายทะเบียนทองที่จะอนุญาตใหออกใบอนุญาตสั่ง นําเขา ตามแบบ ป.2 สวนการอนุญาตใหคาจะออกตามแบบ ป.5
6. การนําสิ่งเทียมอาวุธไปใชในทางมิชอบอาจเปนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาใน ประเทศได
6.1 ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียงโดยทั่วไป
ในกรณีที่ผูนําสิ่งเทียมอาวุธปนไปขมขูบุคคลอื่นใหกลัวหรือจํายอมกระทําการใดทั้งที่
ไมยอมหรือกระทําการนั้นกรณีเชนนี้ เปนความผิดในการขมขืนใจผูอื่นโดยทําใหกลัวตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 309 ซึ่งบัญญัติวา
ผูใดขมขืนใจผูอื่นใหกระทําการใด ไมกระทําการใดหรือจํายอมตอสิ่งใด โดยทําให
กลัววาจะเกิดอันตรายตอชีวิต รางกายเสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพยสินของผูถูกขมขืนใจนั้นเองหรือ ของผูอื่นหรือโดยใชกําลังประทุษรายจนผูถูกขมขืนใจตองกระทําการนั้น ไมกระทําการนั้นหรือจํา ยอมตอสิ่งนั้น ตองระวางโทษจําคุกไมเกินสามป หรือปรับไมเกินหกพันบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ถาความผิดวรรคแรกไดกระทําโดยมีอาวุธปน หรือโดยรวมกระทําความผิดดวยกัน ตั้งแตหาคนขึ้นไป หรือไดกระทําเพื่อใหผูถูกขมขืนใจทํา ถอน ทําใหเสียหาย หรือทําลายเอกสาร สิทธิอยางใด ผูกระทําตองระวางโทษจําคุกไมเกินหาป หรือปรับไมเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้ง ปรับ
ซึ่งเปนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาในหมวดของความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ และชื่อเสียง อันเปนความผิดตอเสรีภาพโดยทั่วไป กลาวคือ องคประกอบความผิดในสวนการ กระทําเริ่มตนที่การทําใหกลัววาจะเกิดอันตรายตอชีวิต รางกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพยสิน กฎหมายไมใชคําวา “ขูเข็ญวาจะทําอันตรายตอชีวิต ฯลฯ” ดังที่บัญญัติไวในมาตรา 337 จึงทําใหการ กระทําตางกันไปมาก การทําใหกลัววาจะเกิดอันตรายไมไดหมายความจํากัดแตเฉพาะวาผูกระทําจะ กออันตรายใหเกิดขึ้นโดยตนเอง อาจเปนอันตรายที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือผูอื่นกอใหเกิดขึ้น โดยผูกระทําไมมีสวนเกี่ยวของเลยก็ได ตางกับการ “ขูเข็ญวาจะทําอันตราย” ซึ่งหมายความวา ผูกระทําจะกอใหเกิดอันตรายขึ้นโดยตนเองหรือใหผูอื่นกระทําใหเกิดอันตรายนั้นขึ้น
อันตรายตอชีวิต คือ ตาย อันตรายตอรางกายคงจะหมายความถึงกายหรือจิตใจไดรับ ความเสียหาย จะถึงอันตรายแกกายหรือจิตใจตามมาตรา 295 แหงประมวลกฎหมายอาญา หรือไมก็
ได สวนอันตรายตอเสรีภาพ หมายความถึง การจําตองกระทําหรือไมกระทําการใด ๆ โดยไมสมัคร ใจ เชน ถูกกักขัง ถูกบังคับใหยายที่อยู ที่ทําการ บังคับใหไปหรือไมใหไปไหน ใหเคลื่อนไหวหรือ ไมใหเคลื่อนไหวรางกาย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เชน บังคับใหพูดใหเขียนหรือไมใหพูด ไมใหเขียน อันตรายตอชื่อเสียง เชน ถูกหมิ่นประมาท ถูกกระทําใหอับอายขายหนา ทําใหอนาจาร หรือเปดความลับ อันตรายตอทรัพยสิน เชนทําลายทรัพย เผาบาน รื้อหลังคา พังประตูหนาตาง ไมใหอยูในบาน รวมทั้งทรัพยสินไมมีรูปราง คือ สิทธิที่มีราคาและถือเอาได เชน สิทธิในหนี้ เปน ตนวาขูจะไลออกจากงาน อันตรายตอสิ่งเหลานี้จะเปนแกผูถูกขมขืนใจหรือผูอื่นก็ได ไมจําเปนที่
ผูอื่นนั้นจะตองมีสัมพันธอันใดกับผูถูกขมขืนใจ ขอสําคัญ คือ ผูกระทําคิดวาไดรับผลจากการทําให
ผูถูกขมขืนใจกลัวอันตรายที่จะเกิดแกผูอื่นจึงไดกระทําไป การทําใหกลัวตามมาตรานี้นั้น จะทําโดย วิธีใดก็ได อาจทําโดยหลอกไมคิดจะทําใหเกิดอันตรายจริงตามที่ขูก็ได (จิตติ ติงศภัทิย, 2545, หนา 284) เชน ใชปนไมมีลูก หรือปนของเลนหลอกวาจะทําราย เปนตน
ขมขืนใจผูอื่น คือ ทําใหผูอื่นนั้นจําตองทํา ไมกระทําหรือยอมใหกระทํา ขมขืนใจอัน เปนการกระทําอันเดียวกับการทําใหกลัวหรือใชกําลังประทุษรายนั้นเอง แตหมายความตามไปอีกวา ตองมีผลเกิดขึ้น คือ ความจํายอมตามที่ถูกขืนใจ การกระทําที่เปนการขมขืนจึงเปนการกระทําที่รวม การทําใหกลัวหรือใชกําลังประทุษรายกับผลที่จํายอมตามที่ถูกกระทําเขาดวยกัน ขมขืนใจผูอื่นเปน ขอความที่บัญญัติขึ้นเพื่อแสดงวาการทําใหกลัวหรือใชกําลังประทุษรายตองมีผลเกิดขึ้นเปนการขืน ใจผูถูกกระทําโดยมีสัมพันธระหวางการกระทํากับผลนั้น เปนการบังคับที่ผูถูกขมขืนใจมิไดมีใจ สมัคร กลาวคือ การทําใหผูอื่นกลัวจะเกิดอันตรายหรือจะใชกําลังประทุษรายนั้น เปนเหตุให
ผูถูกกระทํารูสึกวาจําตองอนุโลมตามคําบังคับ มิใชทําโดยสมัครใจดวยการวินิจฉัยตัดสินของ ตนเองโดยเสรี ความผิดฐานนี้เปนความผิดตอเสรีภาพในการตัดสินใจ (จิตติ ติงศภัทิย, 2545, หนา 287)
จํายอม คงไมหมายความเพียงผูถูกขมขืนใจแสดงกิริยาหรือวาจายอมเทานั้น แตตองมี
การยอมรับการกระทําหรือเหตุการณอยางหนึ่งอยางใดเกิดขึ้นแลวดวย เชนยอมใหผูกระทํายืมรถ ของผูถูกขมขืนใจขับขี่ไปชั่วคราว มิใชเพียงแตผูถูกขมขืนใจพูดวายอมเทานั้น หากตองมีการเอารถ ไปใชแลว แมแตเพียงขณะหนึ่ง ไมตองรอจนใหรถเสร็จตามตองการจนเลิกใช ตางกับการขมขืนใจ ตามมาตรา 337 ที่เพียงแตยอมจะใหก็จะเปนความผิด การกระทํา ไมกระทํา หรือจํายอมตอสิ่งใด ตามที่บัญญัติไวนี้ มีความหมายกวางขวางไมมีจํากัด เชนใชปนจี้บังคับใหคนขับรถใหนั่งเฉย ๆ เอา
มือวางไวที่พวงมาลัย เปนตน มาตรานี้จึงคลุมถึงความผิดฐานอื่น ๆ ไดอีกหลายฐาน เชน ถาบังคับ ใหกระทําความผิด ก็เปนการใชตามมาตรา 84 แหงประมวลกฎหมายอาญา ถาบังคับใหสงทรัพยก็
อาจเปนกรรโชกหรือชิงทรัพย ถาบังคับใหจํายอมตอการกระทําทางเพศก็เปนความผิดในฐานนั้น ๆ เหลานี้เปนตน จึงตองแลวแตการกระทําที่ถูกบังคับนั้นทําใหเปนความผิดฐานใดอีกหรือไม อาจเปน ความผิดหลายบทหรือหลายกระทงตามมาตรา 90 หรือ 91 แหงประมวลกฎหมายอาญา แลวแตกรณี
ดังนั้น ความผิดสําเร็จตามมาตรานี้ จะเปนความผิดไดก็ตอเมื่อผูถูกขมขืนใจไดกระทํา ไมกระทํา หรือจํายอมตอสิ่งที่ขมขืนใจ แมจะเพียงเล็กนอยบางสวนไมเต็มตามที่ถูกขมขืนใจก็ตาม ก็ยอมเปน ความผิดสําเร็จแลว
6.2 ความผิดฐานกรรโชกทรัพย
ในกรณีที่ผูนําสิ่งเทียมอาวุธปนไปขมขูผูอื่นโดยประสงคตอทรัพย ซึ่งบุคคลนั้นใชสิ่ง เทียมอาวุธปนดังกลาวเพื่อใหบุคคลอื่นหลงเชื่อวาเปนอาวุธปนจริง กรณีเชนนี้เปนความผิดกรรโชก ทรัพย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 ซึ่งบัญญัติวา
ผูใดขมขืนใจผูอื่นใหยอมใหหรือยอมจะใหตนหรือผูอื่นไดประโยชนในลักษณะที่
เปนทรัพยสิน โดยขูเข็ญวาจะทําอันตรายตอชีวิต รางกาย เสรีภาพชื่อเสียงหรือทรัพยสินของผูถูกขู
เข็ญ หรือของบุคคลที่สาม จนผูถูกขมขืนใจยอมเชนวานั้น ผูนั้นกระทําความผิดฐานกรรโชก ตอง ระวางโทษจําคุกไมเกิดหาป และปรับไมเกินหนึ่งหมื่นบาท
มาตรานี้มีขอความทํานองเดียวกันกับมาตรา 303 แหงกฎหมายลักษณะอาญาเดิม แต
เปลี่ยนวัตถุแหงการกระทําจากทรัพยมาเปนประโยชนในลักษณะที่เปนทรัพยสิน ทําใหมี
ความหมายกวางยิ่งขึ้นรวมตลอดถึงความผิดตอสิทธิที่มีคาเปนเงิน ไมเฉพาะแตการกระทําตอ ทรัพยสินโดยตรงเทานั้น (จิตติ ติงศภัทิย, 2545, หนา 712) การทําถอนหรือทําลายหนังสือสําคัญ ตามมาตรา 303 เดิม ก็คงเปนสิทธิซึ่งเปนประโยชนในลักษณะที่เปนทรัพยสินนั่นเอง
องคประกอบความผิดในสวนการกระทําเริ่มตนดวยการ “ใชกําลังประทุษราย” ซึ่ง มาตรา 1 (6) ใหบทนิยามวา หมายความวา ทําการประทุษรายแกกายหรือจิตใจของบุคคล ไมวาจะ ทําดวยใชแรงกายภาพหรือดวยวิธีอื่นใด และใหหมายความรวมถึงการกระทําใด ๆ ซึ่งเปนเหตุให
บุคคลใดอยูในภาวะที่ไมสามารถขัดขืนได ไมวาจะโดยใชยาทําใหมึนเมา สะกดจิต หรือใชวิธีอื่นใด อันคลายคลึงกัน “ประทุษราย” หรือทํารายมีความหมายอยางเดียวกัน คือ ทําใหเสียหาย เปนภัย ตาม ความหมายในมาตรา 290 แตมิไดมุงถึงผลที่เปนอันตรายแกกายหรือจิตใจตาม มาตรา 295 การ ประทุษรายตองกระทําแก “กายหรือจิตใจของบุคคล” มิใชทําแกทรัพยสิน ชื่อเสียง เสรีภาพ ซึ่งอยู
ในความหมายของการขูเข็ญ การจับ การขังเปนการกระทําตอเสรีภาพ โดยสภาพแมกระทําตอตัว คน ก็ไมเปนการกระทําที่เปนภัยแกกายหรือจิตใจในตัวเอง แตอาจมีการกระทําแกกายในการจับ หรือขัง เชน ใชกําลังจับมือ รัดคอ มัดมือไว เปนตน ซึ่งการกระทําในสวนนี้ ก็ตองถือวาเปนการ กระทําแกกายดวย ไมแตเพียงกระทําตอเสรีภาพเทานั้น การกระทําแกกายไดแกทําใหเจ็บปวยเปรอะ เปอน เปยก รอน เย็นกวาปกติจนถึงเปนภัยตอกาย เชน เทอุจจาระรด ถายปสสาวะรดตัวคน เปนตน การกระทําตอจิตใจ ไดแกทําใหตกใจ ทําใหหมดสติ ไมแตเพียงเกิดความรูสึกกลัว โกรธ หรือเสียใจ นอยใจ เจ็บใจ แคนใจ ซึ่งเปนแตเพียงอารมณ
ขูเข็ญวาจะทําอันตราย เปนการแสดงวาจะทําใหเกิดภัยแกผูหนึ่งผูใด ผูถูกขูเข็ญจะ กลัวหรือไมกลัวก็เปนการขูเข็ญอาจขูตรง ๆ หรือใชถอยคําหรือกิริยาใหเขาใจเชนนั้นโดยไมขูตรง ๆ ก็ได การขูวาจะทํารายอาจทําไดทั้งที่ผูขูไมตั้งใจจะทํารายจริง ถาทําโดยเจตนาใหผูถูกขูเขาใจวาจะ ถูกทํารายก็เปนการขู เชนใชปนไมมีกระสุนขูวาจะยิง ซึ่งผูถูกขูเขาใจวามีกระสุนก็เปนการขู ใชปน ไมมีกระสุนขูจริง ๆ แตผูถูกขูเขาใจวาขูเลน ๆ ก็สําเร็จเปนการขู ผูถูกขูไมกลัวก็สําเร็จเปนการขูแต
ไมสําเร็จเปนการกรรโชก เปนไดแคพยายามกรรโชกเชนเดียวกับขูจริงแตผูถูกขูไมกลัว
ขมขืนใจผูอื่นใหยอมใหหรือยอมจะให เปนการกระทําอันเปนลักษณะของการ ประทุษรายหรือขูเข็ญ เปนการกระทําถัดจากการประทุษรายหรือขูเข็ญ คือเรียกเอาประโยชนโดย การประทุษรายหรือขูเข็ญขมขืนใจ ถาผูกระทํารายไมไดขมขืนใจใหยอมใหหรือยอมจะให แต
ผูถูกกระทํารายกลัวและขอใหประโยชนเสียเอง แมผูกระทํารายหรือขูจะรับเอาก็เปนความคิดขึ้น ภายหลังการประทุษรายหรือขูเข็ญไมเปนกรรโชก การขมขืนใจนั้นเมื่อมีการประทุษรายหรือขูเข็ญ ขึ้นแลวก็มีความหมายแตเพียงวาเปนการบังคับเอาโดยผูถูกขูเข็ญมิไดสมัครใจการยอมใหหรือยอม จะใหโดยถูกบังคับเชนนั้นไมใชยินยอมโดยสมัครใจ ถาผูถูกประทุษรายหรือขูเข็ญไมกลัว แตยอม ใหโดยเหตุอยางอื่น เชน เพื่อจับกุมผูกระทําความผิด ก็ไมมีผลเปนการขมขืนใจ อาจเปนเพียงขั้น พยายามกรรโชก อยางไรก็ดี ถาผูถูกบังคับจําเปนตองยอมใหเพราะถูกทํารายหรือกลัวจะถูกทําราย ไมเปนการใหโดยสมัครใจ แมจะเตรียมหลักฐานไวเพื่อจับกุมหรือเอาทรัพยคืนภายหลัง เชนทํา เครื่องหมายไวที่ธนบัตร ก็ยังเปนความผิดสําเร็จ
ความผิดตามมาตรานี้ สําเร็จเมื่อผูถูกขมขืนใจยอมตามที่ถูกบังคับเชนวานั้น คือ ยอม ใหประโยชนในเวลาที่บังคับเอานั้น หรือยอมจะใหประโยชนในภายหนาก็เปนผลสําเร็จ ถายอมให
ประโยชนอยางอื่นแทนประโยชนที่เรียกเอา แตผูกระทําไมยอมรับ ไมถือเปนการยอมตามที่เรียกเอา แตถาผูขูเข็ญยอมจะรับเอาประโยชนอื่นแทนประโยชนที่เรียกเอา ก็ถือไดวาเปนประโยชนที่ไดมา โดยการขมขืนใจ เปนความผิดสําเร็จเชนเดียวกัน ดังนั้น การยอมใหหรือยอมจะใหตองเปนผลจาก
การขมขืนใจ คือยอมเพราะกลัวการทําราย เปนผลจากการประทุษรายหรือขูเข็ญวาจะทําอันตราย ดังกลาวมาแลว
5.3 ความผิดลหุโทษ
ในกรณีที่ผูนําสิ่งเทียมอาวุธปนไปขมขูผูอื่นเพื่อใหผูอื่นหวาดกลัวเปนความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392 ซึ่งบัญญัติวา
ผูใดทําใหผูอื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขูเข็ญ ตองระวางโทษจําคุกไม
เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไมเกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
“ขูเข็ญ” คือ แสดงวาจะทําใหเกิดภัยแกเขา จะเปนภัยที่เกิดในทันทีหรือตอไปภายหนา ก็ได อาจทําโดยกิริยา วาจาโดยตรงหรือโดยใหเขาใจเชนนั้น ซึ่งตองทําใหผูถูกขูทราบถึงการขูวาจะ ทํารายนั้น ศาลเคยวินิจฉัยวาเงื้อขวานจะฟนและไลไปอีก 5-6 ศอก ไมเปนการขูตามมาตรานี้ แต
ตอมาจึงมีกรณีที่ศาลวินิจฉัยวา ศ. ถือมีดตรงเขามาจะแทง ม. ม. วาผมไมสูและวิ่งหนี แสดงวา ม.
กลัวภัยที่จะเกิดเปนความผิดตามมาตรานี้ แตรวมเปนสวนหนึ่งของการพยายยามทํารายรางกาย (คํา พิพากษาฎีกาที่ 40/2509) การกระทําตามมาตรานี้ ตองเกิดผล คือ กลัวหรือตกใจ แตไมตองเกิดผล ตอไปถึงยอมใหทําอะไรดังมาตรา 309 ถาขูแตไมกลัวไมตกใจ ก็ไมลงโทษฐานพยายาม เพราะ ยกเวนตามมาตรา 105 ผูเสียหายกลัวหรือไม ดูที่พฤติการณ แมจะบอกวาไมกลัว ตามพฤติการณที่
จําเลยกับพวกเขาไปในเคหสถานของผูเสียหายเวลาเที่ยงคืน ใชอาวุธขูผูเสียหายมิใหเกี่ยวของหาม ปรามการกระทําของจําเลยกับพวก โดยปกติยอมทําใหเกิดความกลัวหรือความตกใจ และผูเสียหาย ก็ไมกลาขัดขืนยอมปฏิบัติตามที่ขูเข็ญแสดงวา การขูนั้นทําใหผูเสียหายเกิดความกลัวแลว จึงเปน ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392 แมการขูจะไมสามารถทํารายไดจริง ถาเกิดผล คือ ผูถูกขูกลัวก็เปนความผิด เชนใชปนไมมีกระสุนขูจะยิง แตผูถูกขูเชื่อวามีกระสุน
ดังจะเห็นไดจากบทบัญญัติเกี่ยวกับการลงโทษกรณีที่บุคคลนําเอาสิ่งเทียมอาวุธปน เชน ปนที่ใชเพื่อการกีฬา ปนที่เปนของเลน หรือปนที่เปนของรางวัลมีไวใชเพื่อเก็บสะสม ไปใชผิด วัตถุประสงคจะมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญาไมวาจะเปนการกรรโชก หรือไมก็เปนความผิด ลหุโทษฐานทําใหบุคคลอื่นเกิดความกลัวหรือตกใจซึ่งมีโทษนอยมากเมื่อเทียบกับการนําอาวุธปน จริงไปใชในการกอเหตุทางอาญา
ทั้งนี้กระทรวงมหาดไทยเคยมีหนังสือหารือ ถึงสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (เรื่องเสร็จที่ 846/2551)สรุปความวา นายณัฐพงษ กิ่งแกว ประธานชมรม BB Gun อําเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีหนังสือถึงอธิบดีกรมการปกครอง ขอหารือวา BB Gun เปนอาวุธปนตาม พระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.
2490 หรือไม และประชาชนที่ครอบครอง BB Gun อยูขณะนี้มีความผิดตามพระราชบัญญัติดังกลาว หรือไม หากผิดกฎหมายตองปฏิบัติอยางไรใหถูกตอง
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 11) ไดพิจารณาขอหารือประกอบกับขอเท็จจริง ดังกลาวแลวมีความเห็นในแตละประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง ปญหาที่วา BB Gun เปนอาวุธปนตามพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่อง กระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธ พ.ศ.2490 หรือไม นั้น เห็นวา มาตรา 4 (1) และ (2) [1] แหงพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิงและสิ่งเทียม อาวุธปน พ.ศ.2490 ซึ่งแกไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่องกระสุนปน (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ.2501 ไดกําหนดบทนิยามคําวา อาวุธปนใหหมายความรวมตลอดถึงอาวุธทุกชนิดซึ่งใชสง เครื่องกระสุนปน โดยวิธีระเบิดหรือกําลังดันของแกสหรืออัดลมหรือเครื่องกลไกอยางใดซึ่งตอง อาศัยอํานาจของพลังงานและกําหนดนิยามคําวา “อาวุธปน” ใหหมายความรวมตลอดถึงอาวุธทุก ชนิดซึ่งใชสงเครื่องกระสุนปนโดยวิธีระเบิดหรือกําลังดันของแกสหรืออัดลมหรือเครื่องกลไกอยาง ใด ซึ่งตองอาศัยอํานาจของพลังงานและกําหนดบทนิยามคําวา “เครื่องกระสุนปน” ใหหมายความ รวมตลอดถึงกระสุนโดด กระสุนปราย กระสุนแตก เมื่อปรากฏขอเท็จจริงวา วัตถุที่ BB Gun ใชสง ดวยกําลังดันของแกสหรืออัดลม คือ สิ่งที่ทํามาจากพลาสติกหรือเซรามิกสังเคราะหซึ่งมิใชเครื่อง กระสุนปน นอกจากนั้น ยังปรากฏขอเท็จจริงวา โดยสภาพโครงสรางของ BB Gun ที่ผลิตจาก พลาสติกและเหล็กธรรมดาบางสวนซึ่งไมมีความแข็งแรงทนทานเพียงพอที่จะใช BB Gun เปน อาวุธสงเครื่องกระสุนปนได ดังนั้น BB Gun จึงไมเปนอาวุธปนตามบทนิยามคําวา “อาวุธปน” แหง พระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.
2490
ประเด็นที่สอง ปญหาที่วา หาก BB Gun เปนอาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490 ประชาชนที่ครอบครอง BB Gun อยูในขณะนี้โดย ไมไดรับอนุญาตจากนายทะเบียนทองที่ถือเปนผูฝาฝนตามมาตรา 7 แหงพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490 หรือไม นั้น เห็นวา เมื่อ ไดใหความเห็นในประเด็นที่หนึ่งแลววา BB Gun ไมเปนอาวุธปนตามพระราชบัญญัติอาวุธปน เครื่องกระสุนปน วัตถุระเบิด ดอกไมเพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปน พ.ศ.2490 จึงไมจําเปนตอง พิจารณาในประเด็นนี้
กรมการปกครองมีหนังสือถึงผูบัญชาการตํารวจแหงชาติขอหารือวา ปนอัดลมเบา และเครื่องกระสุนปน (BB Gun) จะถือเปนอาวุธปนและเครื่องกระสุนปน หรือสิ่งเทียมอาวุธปน