เหตุผลไม่ร ับร ัฐธรรมนูญ
ผศ.ชมพู โกติรัมย์
ขณะนี้สังคมไทยได ้มีความขัดแย ้งทางความคิดอย่างรุนแรง เป็นความ ขัดแย ้งบนความเห็นต่างในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญตั้งแต่เริ่ม แต่ที่สำาคัญก็คือ ประเด็นที่มาของรัฐธรรมนูญ และตามด ้วยพ.ร.บ ว่าด ้วยการออกเสียง
ประชามติเพื่อเป็นการปรามกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อควำ่ารัฐธรรมนูญ ซึ่งถึงว่าเป็น ความขัดแย ้งทางสังคมในระดับมหภาค เพราะรัฐธรรมนูญเป็นแม่ทบในอันที่จะ มากำาหนดก ้าวย่างของประเทศทั้งในบริบทเศรษฐกิจ สังคม การเมือง แต่สิ่ง ที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้นั้นมักไม่ได ้ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริงมากนักนั่น ก็คือ รัฐธรรมนูญมักจะถูกเชื่อมโยงกับประเด็นการเมืองและ เศรษฐกิจ เป็น ด ้านหลัก ทั้งนี้ด ้วยเห็นว่า เมื่อมีการเลือกตั้งได ้รัฐบาลมาจากระบอบ ประชาธิปไตยแล ้วจะทำาให ้เกิดความเชื่อมั่นจากธุรกิจภาคเอกชนจากในและ ต่างประเทศ รัฐธรรมนูญจึงเป็นดังตัวประกัน ถ ้าไม่ผ่านการลงมติก็จะไม่มีการ เลือกตั้ง แท ้ที่จริงการเลือกตั้งยิ่งต ้องมีเพื่อคืนอำานาจให ้กับประชาชน เพราะตามปรัชญาการเมืองเสรีประชาธิปไตยที่เริมต ้นจากการการที่ประชาชน เรียกร ้องสิทธิของตนเอง แล ้วแสวงหาจุดยืนร่วมกันเป็นความลงตัวระหว่าง สิทธิปัจเจกชน และชุมชน หากแต่ว่าเราไม่ได ้เริ่มต ้นจากจุดนี้แต่ว่าถ่ายโอน ระบอบการปกครอบแบบประชาธิปไตยจากบนสู่ล่าง เป็นความไม่ลงตัว
ระหว่างสิทธิอำานาจของปัจเจกชน ที่มักมาเหนือสิทธิอำานาจชุมชน (ส่วนรวม)
หลักการก็คือประชาชนมีอำานาจอธิปไตยตามธรรมชาติของตนเอง แล ้วจึงมอบ อำานาจอธิปไตยของตนเองที่มีนั้นไปให ้ผู้แทนโดยตรง หรือโดยอ ้อม แล ้วผู้
แทนจึงไปกำาหนดอำานาจทั้งสาม คืออำานาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการขึ้น มาบริหารปกครองบ ้านเมือง ที่มาของรัฐธรรมนูญจะมาจากส่วนล่างสู่บน คือ ประชาชนมีส่วนร่วมเพราะในความเป็นจริงแล ้วรัฐธรรมนูญคือจิตวิญญาณของ สังคมอันเป็นวัฒนธรรมทางนามธรรมในรูปของคติความเชื่อ ค่านิยม
กฎหมาย โดยที่สิ่งเหล่านี้มีรากเหง ้าจากพุทธศาสนาเป็นหน่อใหญ่ผสมผสาน ด ้วยหน่อย่อย แล ้วแตกเรียวกิ่งเป็นวัฒนธรรม วิถีชีวิตในองคาพยพของความ เป็นไทย ถ ้ารัฐธรรมนูญเดินตามกรอบหลักการนี้ประชาธิปไตยจึงจะ
สมบูรณ์มิใช่ประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญเท่านันถึงแม ้จะองมีรัฐธรรมนูญก็มิได ้ หมายว่าจะเป็นประชาธิปไตย
ก่อนอื่นควรศึกษาหลักการทำาประชามติก่อนแล ้วนำาไปสู่เหตุผลทำาไมไม่
รับรัฐธรรมนูญ เมื่อนำาการทำาประชามติมาใช ้กับรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่
ควรทำาในรูปแบบนี้ เพียงแค่คิดก็ผิดฝาผิดตัว หรือพูดให ้ชัดคือการทำา ประชามติเป็นสิ่งที่ดีตามหลักประชาธิปไตยโดยตรงโดยไม่ผ่านผู ้ทำาหน ้าที่
แทน แต่ไม่ถูกที่ไม่ถูกเวลา โดยเริ่มจากที่มาของรัฐธรรมนูญไม่ถูกตามหลัก สากล เพราะไม่ได ้มาจากตัวแทนประชาชนอย่างแท ้จริงเมื่อที่มาไม่ชอบธรรม จึงหาทางสร ้างความชอบธรรม โดยให ้ประชาชนลงมติว่ารับหรือไม่รับ เพื่อ แสดงให ้เห็นว่าประชาชนได ้มีส่วนร่วม เมื่อติดที่ประเด็นรับหรือไม่รับ ทางคมช.และรัฐบาลจึงทุ่มทุนประชาสัมสัมพันธ์หลากหลายวิธีเพื่อผลักดันให ้ รับ ประเด็นไม่ได ้อยู่ที่รับหรือไม่รับเพราะตัวเนื้อหา แต่ประเด็นที่ประชาชน
ติดใจคือ ผู ้ยกร่างเป็นคนของใครคนเหล่านั้นมาจากไหน ประเด็นนี้จะนำา มาเชื่อมกับการลงมติของประชาชนเพื่อสร ้างความชอบธรรม ดูแล ้วเป็นความ ชอบธรรมสำาหรับใครเพราะกติกานี้ใครเป็นผู ้กำาหนด ตรงนี้เพียงแค่คิดก็ผิด แล ้ว ประเด็นไม่ได ้อยู่ที่รับหรือไม่รับถัดมาคือ ความเป็นจริงมีอยู่ว่าเมื่อเรา ยอมรับในตัวแทนของเราเพราะผ่านการเลือกสรรแล ้วรัฐธรรมนูญที่ยกร่างย่อม เป็นความชอบธรรม เพราะยอมรับในผลผลิตที่มีแต่ต ้นจึงไม่ติดใจในบันปลาย ตรงนี้คือเหตุที่ว่าผิดฝาผิดตัวเหตุที่กล่าวเช่นนี้เพราะนิยามการทำาประชามติ
หมายถึงการที่รัฐคืนอำานาจตัดสินใจให ้กับประชาชนเพื่อออกเสียงลงมติทาง ตรง ซี่งเป็นรูปแบบที่เปิดโอกาสให ้ประชาชนเจ ้าของอำานาจอธิปไตยที่แท ้จริง เป็นผู ้ใช ้อำานาจนี้ด ้วยตนเองแทนระบบตัวแทนประเด็นก็คือ การคืนอำานาจ ตัดสินใจให ้กับประชาชน ความหมายว่าคืนหมายถึงสังคมในขณะนั้นจะต ้องมี
บรรยากาศการแสดงความคิดเห็น สามารถกระทำากิจกรรมทางการเมืองได ้ อย่างเสรี ตัวอย่างเช่นการทำาประชามติภายหลังการให ้สัตยาบันสนธิสัญญาก่อ ตั้งรัฐธรรมนูญยุโรปของประเทศฝรั่งเศล ถ ้าหากประชาชนมีมติไม่เห็นด ้วยต่อ ร่างรัฐธรรมนูญรัฐก็มิอาจบังคับใช ้ได ้ เนื่องด ้วยยตะหนักถึงความสำาคัญของผล ที่จะเกิดต่อประเทศและประชาชน การทำาประชามติของฝรังเศลในครั้งนั้นเมื่อ เปรียบเทียบจำานวนนักการเมืองที่เห็นด ้วยกับไม่เห็นด ้วยแล ้ว เห็นได ้อย่าง ชัดเจนว่า กลุ่มที่ไม่เห็นด ้วยคือกลุ่มเล็กๆที่ไม่ได ้รับโอกาสทัดเทียมจากสื่อ และสังคมในการเสนอความคิดเห็นของตน นี่คือต ้นแบบการลงมติที่ทำา เฉพาะเรื่องที่ง่ายต่อการตัดสินใจ แต่ในส่วนของประเทศไทยการลงมติเพียง ว่ารับ หรือไม่รับ ดูเหมือนมัดมือชกเป็นเพียงการลงความเห็นที่ไม่ได ้ใช ้ความ คิดสนับสนุนเพราะหากเห็นว่าส่วนที่ดีมีอยู่บ ้างแต่มาติดขัดส่วนที่ไม่ดีก็จำาตัดใจ เลือกไม่รับก็เป็นได ้ และเป็นการลงมติท่ามกลางความไม่รู ้ไม่เข ้าใจของ ประชาชน การลงมติรับรัฐธรรมนูญในลักษณะนี้ประเทศไทยเป็นประเทศแรก ของโลก เมื่อการลงมติเป็นวิถีทางประชาธิปไตยโดยตรง จะต ้องตั้งอยู่บนพื้น ฐานการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท ้จริง ความแท ้จริงนั้นน่าจะหมายถึง ตัวแทนอย่างแท ้จริงแล ้วนำาไปสู่ขั้นตอนการยกร่าง มิใช่แค่ร่วมฟังแล ้วเสนอ กระทู ้ถามที่ไม่อิสระพอเพราะมีธงประเด็นคำาถามนำาร่องนำาเสนอแก่ผู ้ร่วม ประชุมอยู่ก่อนแล ้ว และที่สำาคัญบรรยากาศการทำาประชามต ิจะต ้องมี
บรรยากาศที่ประชาธิปไตยเบ่งบาน โดยที่นักการเมืองในฐานะผู ้ใช ้รัฐธรรมนูญ โดยตรงมีส่วนร่วม และรัฐจะต ้องให ้เงินสนับบนุนพิเศษแก่พรรคการเมืองเพื่อ ใช ้ในการรณรงค์การแสดงประชามติด ้วย นี่คือการทำาประชามติตามหลักสากล
“ การมีส่วนร่วมนำาไปสู่การสนับสนุนและรับผิดชอบ” หากการลงมติไม่ได ้ เป็นไปตามลักษณะนี้คงเป็นเพียงอภิชนามติ
หากย ้อนมาดูรัฐธรรมนูญฉบับที่แพงที่สุดในโลกเพราะมีต ้นทุนการลง มต ิสูง แต่ม ีต ้นทุนทางสังคมตำ่าเพราะ อยู่ในบรรยากาศขาดความเป็น ประชาธิปไตยเนื่องจากนักการเมือง ในฐานะตัวแทนของประชาชนไม่ได ้ทำา กิจกรรมทางการเมืองในระดับต่างๆในลักษณะร่วมคิดร่วมทำา “ รัฐธรรมนูญผู ้ ร่างไม่ได ้ใช ้ ผู ้ใช ้ไม่ได ้ร่าง”(บรรหาร ศิลปอาชา) ได ้สะท ้อนถึงความรู ้สึกของ นักการเมืองต่อการมีส่วนร่วมโดยตรงหรือทางอ ้อม ในฐานะผู ้ทำากิจกรรม
ทางการเมือง เพราะกระบวนการจัดทำารัฐธรรมนูญควรรับฟังทุกฝ่าย ตาม หลักประชาธิปไตยคือการมีส่วนร่วมของประชาชนมิอาจปฎิเสธได ้ ในขณะ เดียวกันในห ้วงเวลาแห่งการยกร่างรัฐธรรมนูญสังคมไทยยังอยู่ในกฎเหล็กคือ คำาสั่ง คปค.ฉบับที่ 15 และ 27 คำาสั่งฉบับดังกล่าวเป็นอุปสรรคสำาคัญต่อ การพัฒนาประชาธ ิปไตย เราควรยอมรับความจร ิงว่า ความเข ้าใจใน รัฐธรรมนูญของปรชาชนมีต่างกัน ประเด็นที่สำาคัญอันดับแรกคือทำาอย่างไร ให ้ประชาชนได ้รู ้ระดับเข ้าใจในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญสามารถทำาประชามติ
แบบหวังผลได ้ เพราะหากการมุ่งทำาประชามติในบรรยากาศที่ประชาชนไม่ได ้ มีส่วนร่วมตั้งแต่ต ้น ไม่มีบรรยากาศแห่งความเป็นประชาธิปไตยแล ้ว หากการ ทำาประชามติในบรรยากาศเช่นนี้คงเป็นเพียงสัญลักษณ์ประชาธิปไตยที่แต ้มทา ด ้วยอามาตยาธิปไตยเท่านั้น โดยขาดเนื้อแท ้ของกระบวนการมีส่วนร่วมที่มีจิต วิญญาณแห่งการดิ้นรน ต่อสู ้เพื่อความหวังที่ดีกว่าภายใต ้การปกครองระบอบนี้
ทำาอย่างไรประชาชนจะได ้รับข ้อมูลข่าวสาร ความคิดเห็นต่างๆอย่างครบถ ้วน เพื่อใช ้ประกอบการตัดสินของตนในฐานะเป็นเจ ้าของอำานาจอธิปไตย จาก กรณีการทำาประชามติรัฐธรรมนูญของไทยที่จักมีขึ้นในวันที่ 19 สิงหาคมนี้
ที่สำาคัญพึงยอมรับความเห็นต่าง หรืออย่ามองกลุ่มที่มีความเห็นต่างเป็นศัตรู
ทางการเมือง หรือคนทำาลายชาติหรือหนักไปกว่านั้นมองว่าเป็นพวกอำานาจเก่า การมองเช่นนี้เท่าผลักดันความคิดเห็นของประชาชนให ้เป็นคนละฝ่าย ผู ้ที่
เกี่ยวข ้องกับการทำาประชามติต ้องยอมรับความเป็นจริงที่มีความเห็นต่างอย่า มองด ้านเดียวว่าต ้องผ่าน เพราะหากมองเช่นนี้เท่ากับเผด็จการทางความคิด ควรมีความคิดที่เป็นกลางๆ อาจผ่านการยอมรับจากประชาชนก็ได ้หากมี
เงื่อนไขที่สมเหตุสมผลเหมาะสมกับเวลา มีค่าในตัว ในทางกลับกันอาจไม่
ผ่านก็ได ้ทั้งนี้เพราะทุกอย่างมันมีเหตุปัจจัยอยู่เช่นเดียวกัน เพราะหากตั้งธง ล่วงหน ้าว่าจะต ้องผ่านเป็นท่าทีที่ตึงขึงขังอยู่ในตัวสะท ้อนถึงพฤติกรรมที่พร ้อม ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือแม ้แต่การบริการขนคนไปลงมติตามที่
เป็นข่าวล ้วนแล ้วแต่เป็นพฤติกรรมที่นัยว่าต ้องผ่าน
ในทัศนะส่วนที่ไม่รับรัฐธรรมเพราะมีเหตุผลจากกรอบความคิดบางประการดังนี้
1. .เห็นว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้โดยรวมไม่เอื้ออำานวยต่อการปฏิรูป สังคมและการเมืองอย่างแท ้จริง และละเลยอำานาจทางการเมืองที่ชอบธรรม ของประชาชนในหลายด ้าน แต่กลับให ้อำานาจดังกล่าวแก่กลุ่มข ้าราชการและ โดยเฉพาะข ้าราชการตุลาการ และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติกำาลังดำาเนิน การ เพื่อสืบทอดอำานาจต่อไปโดยการพยายามผลักดันออกกฎหมายการรักษา ความมั่นคงในราชอาณาจักร ย่อมเป็นการยกเลิกเพิกถอนสิทธิของประชาชนตาม รัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติไปโดยทันที และนอกจากนั้นเห็นว่ากฎหมายการทำา ประชามติไม่มีความเป็นประชาธิปไตยยังลิดรอนสิทธิของประชาชน ในการลง ประชามติ ควรเปิดโอกาสให ้ประชาชนมีสิทธิ์ทำาเครื่องหมายในช่อง “ไม่แสดง ความคิดเห็น” หรือ “ไม่ออกเสียงลงประชามติ” ผู ้เขียนเชื่อและมั่นใจใน วิจารณญาณของประชาชน ปัญหาอยู่ที่การให ้ข ้อมูลในระดับไหนเป็นการชี้นำา
หรือไม่ชี้นำา รัฐบาลควรวางตัวเป็นกลางในฐานะผู ้ดำาเนินการทำาประชามติและ มีผลได ้เสียโดยตรง เพราะความเป็นจริงประชาชนมีความรู ้เรื่อง และสนใจต่อ รัฐธรรมนูญน ้อยมาก และในความเป็นจริงชีวิตประจำาของชาวบ ้านส่วนมากของ ประเทศแทบไม่เกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ การลงประชามติครั้งนี้คงหนีไป พ ้นมีการเกณฑ์คนไปลงมติ หรือชี้นำาเพื่อหวังผลคือผ่าน แต่ในขณะเดียวกัน กฎหมายเกี่ยวกับการลงประชามติทบทวนดูลิดรอนสิทธิของประชาชนตั้งแต่ต ้น แล ้วจะให ้ความเป็นประชาธิปไตยได ้อย่างไร
2.มองจากความคิดเกี่ยวก ับส ังคมที่แยกออกจากร ัฐ ซึ่งเป็นความ คิดก่อตัวขึ้นหลังจากการปฎิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปเป็นกระบวนการทำาลาย ระบบสังคมดั้งเดิม โดยชนชั้นนายทุน(กุมฎุมพี) ที่มีกำาลัง (ทางการเงิน)ก ้าวสู่
อำานาจแทน เมื่อมีการแยกออกจากกันระหว่างรัฐ กับสังคม จึงเกิดปัญหา การเชื่อมระหว่างรัฐกับสังคมแยกได ้ 3 ทัศนะกล่าวคือ
1.สังคม คือสิ่งที่ถูกปกครอง
2.การเมือง คือผลผลิตของสังคม
3.สังคม และการปกครองเป็นอิสระซึ่งกันและกันในบางส่วนและพึ่งพา อาศัยกันในบางส่วน
จากแนวคิดที่ 1 ส ังคมคือสิ่งที่ถูกปกครอง ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิด คนในสังคมมีความสนใจทางการเมืองน ้อย มวลชนถูกกีดกันออกจากการมี
ส่วนร่วมทางการเมือง และจะได ้รับความสนใจจากรัฐเพียงในฐานะผู ้เสียภาษี
เกณฑ์ทหาร แนวคิดนี้เริ่มสลายตัวลงเมื่อการมีสวนร่วมทางการเมืองของ ประชาชนเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันหากการมีส่วนร่วมทางการเมืองน ้อย สังคม คือสิ่งที่ถูกปกครองประชาชนยังเป็นฝ่ายถูกกระทำา หรือจับวางตามหมากที่
กำาหนดไว ้แม ้แต่การแสดงความคิดเห็น (ลงมติ) ก็หมากตัวหนึ่งของเกม อำานาจที่ยังไม่อิสระจากการชี้นำา
แนวคิดที่ 2 การเมืองคือผลผลิตทางส ังคม แนวคิดนี้ Montesquieu
เสนอว่า ความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีอย่างเท่าเทียมกันคือการที่ไม่ถูก ครอบงำาโดยอภิชน การเมืองควรตอบสนองและแสวงหาวิธีการอย่างมี
เหตุผลเพื่อนำาทางสามัญชนสู่ผลประโยชน์ร่วมกันอย่างสันติ แนวคิดนี้
สะท ้อนถึงการรับฟังความคิดเห็นอันสะท ้อนจากสังคมว่า สังคมได ้ร่วมกัน เพาะเมล็ดพันธุ์รัฐธรรมนูญอย่างไร รัฐธรรมนูญคือผลผลิตของสังคมเป็น ผลผลิตที่ประชาชนต ้องการกินอะไรแล ้วบ่มเพาะให ้เหมาะสมกับสภาพดินฟ้า อาการนี่คือรัฐธรรมที่มาจากล่าสู่บนตามหลักสากลที่นำาเสนอไปแล ้ว
แนวคิดที่ 3 ส ังคมและการปกครอง อิสระในบางส่วนและพึ่งพาก ัน ในบางส่วน สะท ้อนถึงความแตกต่างระหว่างศีลธรรม (ศาสนา) เป็นสิ่งมีอยู่คู่
กับสังคม ตามลัทธิเสรีนิยมรัฐเกิดจากการเข ้าร่วมกันของกลุ่มต่างๆ แล ้วก ลุ่มต่างๆเหล่านั้นต่างยอมรับในอำานาจอันชอบธรรมเดียวกัน โดยไม่อยู่ภาย ใต ้อำานาจอื่น การยอมรับในอำานาจนั้นทำาให ้รัฐมีอำานาจ การรวมกลุ่มเป็น เสรีภาพส่วนบุคคล รัฐจะเข ้ามาข ้องเกี่ยวด ้วยเพียงเพื่อปกป้องรักษา เสรีภาพส่วนบุคคลไว ้ โดยที่กลุ่มต่างๆในสังคม เป็นตัวกำาหนดการปกครอง เพื่อมาจำากัดขอบเขตความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมนั้น และรัฐเองจะต ้อง ได ้รับการยอมรับจากกลุ่มต่างๆในสังคม เรื่องที่ต ้องทบทวนว่า อะไรหรือ
ส่วนไหนต้องพึงพาและส่วนไหนต้องอิสระระหว่างประชาชนก ับการ ปกครอง เพราะหากแยกศูนย์รวมทางการเมืองมาอยู่ที่อำานาจ แทนที่จะ เป็นรัฐ เมื่อเป็นเช่นนี้เท่ากับตอกยำ้ากระบวนการทางการเมืองก็คือการต่อสู ้ ระหว่างกลุ่มทางการเมือง เพื่อเพิ่มพูนอำานาจของกลุ่มตนเพื่อเชื่อมสะพาน ไปยังกลุ่มผลประโยชน์อยู่เบื้องหลัง ในส่วนของรัฐภายใต ้กรอบความคิด ศูนย์รวมทางการเมืองในลักษณะนี้ การแจกจ่ายผลประโยชน์ขึ้นอยู่กับว่า ใครมีอำานาจเหนือกว่า การศึกษาแนวนี้ ใช ้แนวคิดเรื่องผลประโยชน์ และ การช่วงชิงผลประโยชน์ ภายใต้กรอบประชาชนและการปกครอง จะพบ ว่าไม่สามารถหลุดจากปมความขัดแย ้งได ้ตราบเท่าที่การพึ่งพาประชาชนยัง เป็นเพียงวาทะ ทำาเพื่อประชาชน แต่ประชาชนมิอาจพึ่งพิงได ้ ยิ่งกว่านั้น ความไม่อิสระในการแสดงสิทธิ์และเสียงของประชาชน จากกรอบคิดนี้
สะท ้อนให ้เห็น การปฎิวัติที่ผ่านมาแล ้วประมงลผลมาสู่การลงประชามติแท ้ที่
จริงก็คือการช่วงชิงอำานาจเพื่อเชื่อมผลประโยชน์จากกลุ่มหนึ่งไปอีกกลุ่ม หนึ่ง โดยใช ้กติกาใหม่เพื่อเปิดทางการแข่งขันอย่างเสรีเพื่ออธิปไตยเป็น ปลายทาง แล ้วกลุ่มไหนเป็นฝ่ายเขียนกติกา ตามกรอบแนวคิดนี้ในส่วนของ การเขียนกติกาบ ้านเมืองยิ่งต ้องพึ่งพาประชาชนจากทุกภาคส่วนด ้วยความ บริสุทธิ์ใจอย่างแท ้จริง ส่วนขั้นตอนการลงประชามติควรเป็นขั้นตอนที่อิสระ อย่างเต็มที่ แต่ที่กำาลังเป็นอยู่ในขณะนี้ได ้กลับตาลปัตร ขั้นตอนเขียน กติกากลับไม่พึ่งพาในความหมายการมีส่วนร่วมย่างแท ้จริงปราศจากทำาเพียง เป็นสัญลักษณ์ ท ้ายที่สุดก็ผลักเสียงประชาชนออก กรณีองค์กรชาวพุทธที่มี
เครือข่ายทั่วประเทศและมีการเคลื่อนไหวเรียกร ้องประเด็น พุทธศาสนาเป็น ศาสนาประจำาชาติ ตรงนี้เป็นประเด็นที่ต ้องทบทวน ร่วมคิด รวมสร้าง ร่วมร่างร ัฐธรรมนูญ แท ้ที่จริงเป็นเพียงความจริงแท ้หรือความจริงเทียม
3.มองจากวิถีทางอันเป็นกรอบที่เป็นสากลนั่นคือการเมืองในประเทศ นั้นๆ อยู่ในระบอบไหนและระบอบนั้นมีความเป็นสากลแค่ไหน หากมีความ ขัดแย ้งระหว่างกลุ่มต่างๆ เพื่อช่วงชิงผลประโยชน์โดยกลุ่มต่างๆภายใต ้กฎ กติกา หรือระบบใด ระบบหนึ่ง ก็ควรหาทางคลี่คลายในตัวของมันเอง และการแสวงหาผลลัพท์ที่ต่อรองกันได ้(Negotaible ends) ต ้องแยกให ้ออก ระหว่างคนกับตัวระบบ ตัวระบบควรมีความศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกฝ่ายให ้ความเคารพ หากต ้องแก ้ไขก็เป็นไปตามมติมหาชน คนต่างหากต ้องปรับตัวเข ้าหาระบบ มิใช่ปรับระบบเข ้าหาคนหากเป็นเช่นนี้ปฎิบัติ 19 กันยายน 2549 คงมิใช่ครั้ง สุดท ้ายของประเทศไทยเรา จากกรอบความคิดนี้ผู ้เขียนเห็นว่าไม่ควรรับ เพราะต ้องการให ้ระบบเรียนเรียนรู ้การหาข ้อยุติด ้วยระบบเอง
4.มองการเมืองในลักษณะพยายามเปลี่ยนแปลงระบบสังคมทั้งหมด หรือ
การใฝ่หาผลลัพท์ที่ต่อรองกันไม่ได ้ (Non- tiable ends) เป็นการไม่เคารพ สิทธิของประชาชน แท ้ที่จริงการต่อรองโดยเฉพาะการต่อรองทางการ เมืองที่มีมิติทางผลประโยชน์ มิติอำานาจ เข ้าทับซ ้อนอยู่นั้น สิ่งที่จำาเป็นมาก ที่สุดคือต ้องเคารพในกติกา และเรียนรู ้ที่จะมีความอดทนหากขาดเสียซึ่งสิ่ง นี้ไม่สามารถตกลงกันได ้จึงหันไปจัดการที่ระบบเพื่อใช ้ระบบมาจัดการที่
คน(สังคม) การใช ้ระบบมาจัดการคนหรือเปลี่ยนกติกานี้ ต ้องใช ้กำาลัง อำานาจเป็นวิธีการที่ไม่เป็นสากล ส่วนการใช ้ระบบที่มีอยู่(ประชาธิปไตย)มา
แก ้ไขที่ตัวระบบโดยใช ้อำานาจประชาชน และเชื่อว่าประเทศไทยมีบทเรียน แสนเจ็บปวดที่ประชาธิปไตยได ้มาด ้วยเลือดและเนื้อ ประชาชนยังสามารถ จัดการความขัดแย ้งด ้วยระบบประชาธิปไตยได ้โดยไม่ต ้องอาศัยกำาลังอำานาจ
5.เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับที่จะลงประชามตินี้ มีจุดมุ่งหมายให ้รัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้งอ่อนแอ เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคไม่มีเสถียรภาพ ทางการเมือง เมื่อเป็นเช่นนี้นโยบายของพรรคของพรรคการเมืองเป็นเพียง นโยบายขายฝันที่ไม่สามารถผลักดันเป็นนโยบายของรัฐบาลได ้ เนื่องจาก การผสมผสานหลายพรรค และต ้องอยู่ภายใต ้การควบคุมดูแลของอภิชนและ ขุนนางข ้าราชการผู ้ใหญ่ทั้งหลายผ่านทางวุฒิสภาและตุลาการทั้งหลาย
6.เห็นว่ารัฐธรรมนูญย่อมไม่สมบูรณ์เต็มร ้อย แต่พลังของประชาชนย่อม มีเต็มร ้อยการใดๆ ที่เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนย่อมชอบธรรมจากที่มา และมีความเป็นร ้อย ฉะนั้นเห็นควรเรียกร ้องให ้จัดการเลือกตั้งภายใต ้ รัฐธรรมนูญ2540ไหนๆ ฝ่ายรัฐบาลก็ประกาศวันเลือกตั้งไว ้ก่อนแล ้ว หรือ พยายามผลักดันให ้รัฐธรรมนูญผ่านเพื่อเลือกตั้งภายใต ้กรอบกต ิกานี้
7. เห็นว่าระบอบ อำามาตยาธิปไตย มาไกลแล ้วหยั่งรากลึกพอแล ้วจาก
2475 เรามักถูกแทรกแซงมาตลอดในนามวงจรอุบาทว์ทางการเมือง เมื่อเลือก ตั้งแล ้ว มีการจัดตั้งรัฐบาล แล ้วไปสู่ความขัดแย ้งทางผลประโยชน์หรือความ ไม่ลงตัวเพราะเป็นรัฐบาลที่ผสมหลายพรรค เราเดินมาได ้แค่นี้เองแล ้วเราจะ ก ้าวข ้ามตรงนี้ได ้อย่างไรคือไม่เลือกที่จะปฎิวัติแล ้วผ่าทางตันด ้วยสติปัญญา และพลังประชาชนในระบอบประชาธิปไตยเอง ตรงนี้มองจากทฤษฎีปฎิสัมพันธ์
ทางสังคม (social action) กล่าวคือเมื่อรูปแบบพฤติกรรมหนึ่งซึ่งอาจจะดีหรือไม่
ดีก็ตามได ้รับการปฎิสัมพันธ์ เชิงบวก(ยอมรับ) บุคคลก็จะเลือกแสดงพฤติกรรม นั้นๆซำ้า ฉะนั้นในกรณีลงประชามติในครั้งนี้ผู ้เขียนเห็นว่าควรแสดงพฤติกรรม เชิงลบ เพราะต ้องการพัฒนาการทางการเมืองไทยมีความเข ้มแข็งเรียนรู ้ที่จะ ปรับตัวและเอาตัวรอดจากทางตันนั้น