• Tidak ada hasil yang ditemukan

PDF 2556

N/A
N/A
Nguyễn Gia Hào

Academic year: 2023

Membagikan "PDF 2556"

Copied!
143
0
0

Teks penuh

วัตถุเจือปนอาหารหมายถึงสารที่ปกติไม่บริโภค อาหารหรือไม่ใช้เป็นส่วนประกอบหลักของอาหารไม่ว่าสารนั้นจะมีคุณค่าทางโภชนาการหรือไม่ก็ตาม การจงใจเติมสารลงในอาหารเพื่อวัตถุประสงค์ทางเทคโนโลยีในการผลิต การแปรรูป การบรรจุ การขนส่ง หรือการเก็บรักษาอาหาร ซึ่งมีผลกระทบหรือคาดว่าจะมีผลกระทบ (ทางตรงหรือทางอ้อม) ของสารนั้นเองหรือผลพลอยได้ของมันในการเป็นส่วนหนึ่งของอาหารนั้น ๆ หรือที่มีผลกระทบต่อลักษณะเฉพาะของอาหารนั้น ทั้งนี้ ไม่รวมถึงสารปนเปื้อน (สารปนเปื้อน) หรือสารที่เติมลงในอาหารเพื่อรักษาหรือปรับปรุงคุณภาพทางโภชนาการ ในทางกลับกันหากไม่ได้ใช้ พ.ศ. 2547 แนบท้ายประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง หลักเกณฑ์การใช้วัตถุเจือปนอาหาร ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ปรากฏในภาคผนวก

ระดับความถูกต้องของการวิเคราะห์ตัวอย่างทีระดับความเข้มข้นต่างกัน

เกณฑ์การยอมรับ %recovery ตามมาตรฐานทางอาหารและยา

ความสัมพันธ์ระหว่างค่าความเข้มข้นกับ predicted Horwitz จากการทดสอบซํา

ปริมาณวัตถุเจือปนอาหารในตัวอย่างไส้กรอก สามารถคำนวณความเข้มข้นของวัตถุเจือปนอาหารในตัวอย่างไส้กรอก ไส้กรอก A – ไส้กรอก F ผลการทดลองดังแสดงในตารางที่ 4.4 รูปที่ ข.63 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ใต้จุดสูงสุดและความเข้มข้น ของมาตรฐานสารละลายกรดซิตริกในช่วงความเข้มข้น 0.5 – 10 ppm

รายชือสารเคมีทีใช้ในการทดลอง

รายชือตัวอย่างอาหารทีใช้ในการทดลอง

ชั่งน้ำหนักของแข็งมาตรฐาน 0.1xxx กรัมด้วยความสมดุลละเอียด ละลายด้วยน้ำปราศจากไอออน ใส่ลงในขวดปริมาตร 100.00 มล. ปรับปริมาตรด้วยน้ำปราศจากไอออน 2.2 สารละลายมาตรฐานที่มีความเข้มข้น 100 ppm ปิเปต สารละลายมาตรฐานหลายรายการจากสารละลายมาตรฐานที่มี มีความเข้มข้น 100 ppm และ 1,000 ppm

การเตรียมสารละลายมาตรฐานผสมสําหรับการสร้างกราฟมาตรฐาน

ภาพที่ ข.61 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ใต้พีคกับความเข้มข้นของสารละลายมาตรฐานกรดฟูมาริกในช่วงความเข้มข้น 0.5 – 10 ppm ภาพที่ ข.62 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ใต้พีคและความเข้มข้น สารละลายมาตรฐานกรดฟูมาริกในช่วงความเข้มข้น 0.5 – 10 ppm

ความเข้มข้นของสารละลายมาตรฐานที spiked ลงไปในตัวอย่าง sausage A – sausage F

ความเข้มข้นของสารละลายมาตรฐานที spiked ลงไปในตัวอย่าง chinese A – chinese F

ความเข้มข้นของสารละลายมาตรฐานที spiked ลงไปในตัวอย่าง mango A – mango E

การเตรียมสารละลายมาตรฐานผสมสําหรับการทํา standard addition

ค่า retention time และค่า resolution (R s ) ของวัตถุเจือปนอาหารในสารละลาย

การศึกษาความเป็นเชิงเส้น ขีดจำกัดการตรวจจับ และขีดจำกัดของปริมาณในการวิเคราะห์วัตถุเจือปนอาหารโดยใช้เทคนิคโครมาโทกราฟีแบบไอออน จากกราฟมาตรฐานสามารถคำนวณสมการเชิงเส้นและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r2) ได้ สมการเชิงเส้นขีดจำกัดการตรวจจับ (LOD) หรือขีดจำกัดต่ำสุดที่สามารถวิเคราะห์สำหรับวัตถุเจือปนอาหารและขีดจำกัดปริมาณ (LOQ) หรือ ขีดจำกัดต่ำสุดที่สามารถวัดปริมาณมาวิเคราะห์ได้ผลการทดลองสรุปไว้ในตารางที่ 4.2

ค่า LOD, LOQ, linear equation, correlation coefficient (r 2 ) และ working range ของ

เข้าถึงได้จากhttp://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/3141/fumaric-acid [14] สมาคมพิษวิทยาแห่งประเทศไทย. ภาพที่ ข.58 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ใต้พีคกับความเข้มข้นของสารละลายมาตรฐานของกรดมาลิกในช่วงความเข้มข้น 0.5 – 10 ppm

ปริมาณของวัตถุเจือปนอาหารในตัวอย่าง sausage C ทีใช้เวลาในการสกัดเป็น 10, 20, 30

ปริมาณของวัตถุเจือปนอาหาร ในตัวอย่าง sausage A - sausage F

ค่า %RSD ทีได้จากการหา precision แบบ inter – day precision (n=7) ในตัวอย่าง

ในการทดลองนี้ วิเคราะห์วัตถุเจือปนอาหารในตัวอย่างด้วยวิธีเติมมาตรฐานเพื่อเปรียบเทียบกับผลการทดลองที่ได้จากการวิเคราะห์สารเติมแต่ง อาหารในตัวอย่างโดยใช้วิธี Calibration Curve และเปรียบเทียบกับปริมาณวัตถุเจือปนอาหาร หาได้จาก http://www.foods-solution.com/products/myproducts1-index/chemical

ค่า %recovery ทีได้จากการศึกษา accuracy ในตัวอย่าง sausage A - sausage F

ปริมาณของวัตถุเจือปนอาหารในตัวอย่างกุนเชียง chinese A ทีใช้เวลาในการสกัดเป็น

ปริมาณของวัตถุเจือปนอาหาร ในตัวอย่าง chinese A - chinese F

ค่า %RSD ทีได้จากการหา precision แบบ inter – day precision (n=7) ในตัวอย่าง

เมื่อเปรียบเทียบผลการทดลองที่ได้จากการวิเคราะห์โดยใช้วิธีเส้นโค้งสอบเทียบกับวิธีการเติมมาตรฐาน ผลการทดลองแสดงไว้ในตารางที่ 4.16 http://www.thaitox.org/knowledge/detail.php?section=8&.

ค่า %recovery ทีได้จากการศึกษา accuracy ในตัวอย่าง chinese A - chinese F

กรอบแนวคิดในการวิจัย

โครงสร้างทางเคมีของกรดอะซิติก

โครงสร้างทางเคมีของกรดโพรพิโอนิก

โครงสร้างทางเคมีของไนไตรท์

สมการแสดงการเกิดสารประกอบไนโตรซามีน

โครงสร้างทางเคมีของโมโนโซเดียมกลูตาเมต

โครงสร้างทางเคมีของกรดมาลิก

โครงสร้างทางเคมีของโซเดียมเมตาไบซัลไฟท์

โครงสร้างทางเคมีของไนเตรท

โครงสร้างทางเคมีของกรดฟูมาริก

โครงสร้างทางเคมีของกรดเบนโซอิก

โครงสร้างทางเคมีของกรดซิตริก

ในรูปของประจุ มีความสามารถในการแยกและวิเคราะห์ไอออนบวกและไอออนลบโดยใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนไอออนระหว่างเฟสเคลื่อนที่และกลุ่มแลกเปลี่ยนไอออนบนวัสดุรองรับ (ในกรณีแยกไอออนจะทำด้วย หมู่ควอเทอร์นารีแอมโมเนียมที่ติดอยู่กับโพลีเมอร์ และในกรณีแยกไอออนบวกด้วยหมู่ซัลโฟเนต คาร์บอกซิล หรือฟอสโฟเนต) ส่วนประกอบหลัก เครื่องโครมาโตกราฟีไอออน ดังแสดงในรูปที่ 2.12

แผนภาพแสดงองค์ประกอบของเครืองไอออนโครมาโตกราฟี

การทํางานของเครืองผลิตตัวชะอัตโนมัติ (EG50)

การทํางานของ suppressor

ขีดจำกัดปริมาณ (LOQ) การทดลองทำโดยใช้น้ำปราศจากไอออนโดยเติมสารละลายมาตรฐานจำนวนเล็กน้อย (ความเข้มข้น 0.05 มก./ลิตร) วิเคราะห์สารละลายโดยใช้เทคนิค IC พร้อมการฉีดซ้ำ 10 ครั้ง นำค่าพื้นที่พีคที่ได้รับทั้งหมด 10 ครั้ง มาคำนวณค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) แล้วคำนวณความเข้มข้นที่สอดคล้องกับสัญญาณ 3SD จากสมการความสัมพันธ์ การค้นหาสภาวะที่เหมาะสมของเทคนิค IC เพื่อกำหนดปริมาณวัตถุเจือปนอาหาร ในการวิเคราะห์สภาวะที่เหมาะสมสำหรับการแยกวัตถุเจือปนอาหารโดยใช้เทคนิค Ion Chromatography โดยใช้เฟสคงที่ เช่น Dionex IonPac AS18 (ซึ่งมีหมู่ฟังก์ชันควอเทอร์นารีแอมโมเนียมอัลคาโนล) และใช้เฟสเคลื่อนที่ เช่น โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์

จากนั้นวิเคราะห์ประสิทธิภาพการแยกพีคต่างๆ โดยใช้ค่าความละเอียด ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าเวลากักเก็บ (tR) ของสารแต่ละชนิดและค่าความละเอียด (Rs) แสดงไว้ในตารางที่ 4.1

กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างพืนทีใต้พีคกับความเข้มข้นของสารละลายมาตรฐาน

กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างพืนทีใต้พีคกับความเข้มข้นของสารละลายมาตรฐาน

รูปที่ 4.5 โครมาโตกราฟีของวัตถุเจือปนอาหารในตัวอย่างไส้กรอก D โดยเติมสารละลายมาตรฐานผสม (spiked) สารละลายมาตรฐานผสม (spiked) หลังจากนั้นทำการวิเคราะห์เพื่อหาปริมาณวัตถุเจือปนอาหารในตัวอย่างไส้กรอก ไส้กรอก A – ไส้กรอก F ผลการทดลอง แสดงเป็นโครมาโตแกรมตามลำดับในภาพ

จากรูปที่ 4.4 และ 4.5 ​​จะเห็นได้ว่าพื้นที่ใต้พีคของอะซิเตต โพรพิโอเนต ไนไตรท์ ผงชูรส กรดมาลิก ไบซัลเฟต ไนเตรต และกรดฟูมาริกเพิ่มขึ้นเมื่อเติมสารละลายมาตรฐานลงในตัวอย่าง แสดงว่าสังเกตได้ ว่าพีคของสารละลายมาตรฐานที่เติมเข้าไป จะเป็นพีคเดียวกับใน

ปริมาณของวัตถุเจือปนอาหารในตัวอย่างไส้กรอก sausage C ทีพบเมือใช้เวลา

รูปที่ 4.7 โครมาโตแกรมของวัตถุเจือปนอาหารในไส้กรอกตัวอย่าง A (ดูตัวเลขในรูปที่ 4.1)

รูปที่ 4.9 โครมาโตแกรมของวัตถุเจือปนอาหารในตัวอย่างไส้กรอก C (ดูตัวเลขในรูปที่ 4.1)

รูปที่ 4.11 โครมาโตแกรมของวัตถุเจือปนอาหารในไส้กรอกตัวอย่าง E (ดูตัวเลขในรูปที่ 4.1)

เมื่อศึกษาความแม่นยำของการวิเคราะห์ตามค่า % การคืนสภาพ ให้เติมสารละลายมาตรฐานลงในตัวอย่างไส้กรอกโดยเติมลงในแต่ละตัวอย่างด้วยความเข้มข้น 2 ระดับ คือ ความเข้มข้นต่ำและความเข้มข้นสูง ผลการทดลองแสดงไว้ในตารางที่ 4.6 เมื่อศึกษาความแม่นยำของการวิเคราะห์ตามค่า % การคืนสภาพโดยการแทงสารละลายมาตรฐานลงในตัวอย่างมะม่วงดอง โดยแทงแต่ละตัวอย่างที่ความเข้มข้น 2 ระดับ คือ ที่

ปริมาณของวัตถุเจือปนอาหารในตัวอย่างกุนเชียง chinese A ทีพบเมือใช้เวลาในการสกัด

จากตารางที่ 4.8 จะเห็นได้ว่าในตัวอย่างไส้กรอกจีนมีอะซิเตตเป็นส่วนประกอบอยู่จำนวนหนึ่ง สารที่สำคัญและพบบ่อยที่สุดในตัวอย่างภาษาจีน A (โดยสั่งปริมาณอะซิเตตคือ จีน A > จีน D > จีน B > จีน F > จีน E > จีน C) พบว่ามีกรดฟูมาริกในปริมาณ ความแม่นยำในการวิเคราะห์จากค่า % การคืนสภาพ โดยการเติมสารละลายมาตรฐานในตัวอย่างกุนเชียงโดยเติมลงในตัวอย่างแต่ละตัวอย่างที่ความเข้มข้น 2 ระดับ คือ ความเข้มข้นต่ำและความเข้มข้นสูง ผลการทดลองได้ดังแสดงในตารางที่ 4.10

ปริมาณของวัตถุเจือปนอาหารในตัวอย่าง mango A ทีพบเมือใช้เวลาในการสกัด

กราฟวิธีการบวกมาตรฐานในรูปที่ 4.30 แสดงให้เห็นว่าสมการเชิงเส้นคือ y = mx + C โดยที่ m คือความชันของเส้นตรง และ C คือจุดตัดแกน y ตัวอย่างหาได้จากจุดตัดของแกน x ค่า x ที่ได้รับจะเป็นความเข้มข้นของสารที่สนใจ และจุดตัดของแกน x สามารถหาได้โดยการแทนที่ค่า y = 0 ลงในสมการเชิงเส้น คุณสามารถค้นหาความเข้มข้นของสารที่คุณสนใจได้ ตารางที่ 4.15 ปริมาณวัตถุเจือปนอาหารในตัวอย่างมะม่วงอีด้วยวิธีเติมมาตรฐาน วัตถุเจือปนอาหาร สมการเชิงเส้น r2 ความเข้มข้นของสาร

กราฟ standard addition method ของการวิเคราะห์ตัวอย่าง mango A

Referensi

Dokumen terkait

2558 1 ประเด็นและข้อปัญหาในเชิง ประสิทธิภาพและความชัดเจนของกฎหมาย เช่น ปัญหาความไม่ชัดเจนของ บทบัญญัติ เช่น นิยามของทะเลชายฝั่ง “ทะเล ชายฝั่ง” ในกรณีเขตพื้นที่ในการทำประมงพื้นบ้าน