Research Article
ความสัมพันธระหวางกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา
กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษาญี่ปุนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตกรุงเทพมหานคร
A RELATIONSHIP BETWEEN METACOGNITIVE LEARNING STRATEGY AND JAPANESE LANGUAGE LEARNING ACHIEVEMENT
OF UPPER SECONDARY LEVEL STUDENTS IN BANGKOK
ฉัตรวัฒน หวังศิริกําโชค1* และ ยุพกา ฟูกุชิมา2 Chattrawat Wangsirikamchok1* and Yupaka Fukushima2
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย1*, 2
Master of Arts Program in Eastern Language, Faculty of Humanities, Kasetsart University, Bangkok, Thailand1*, 2
Email: [email protected]1*
Received: 2018-05-31 Revised: 2018-10-11 Accepted: 2018-10-14
บทคัดยอ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค ไดแก 1) เพื่อศึกษาการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาในการ เรียนรูภาษาญี่ปุนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อวิเคราะห
ความสัมพันธระหวางกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษาญี่ปุนของ นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตกรุงเทพมหานคร กลุมตัวอยางของงานวิจัยนี้คือนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ที่กําลังศึกษาอยูในแผนการเรียนสายศิลป-ภาษาญี่ปุนของโรงเรียนรัฐบาล ในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 11 โรงเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร จํานวน 323 คน เก็บขอมูลโดยการใชแบบสอบถาม การสังเกตการณในพื้นที่จริงอยางมีสวนรวม รวมถึงการสัมภาษณผูเรียนกลุมตัวอยาง สถิติที่นํามาใชในการวิเคราะหขอมูล ไดแก คารอยละ คาเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธเพียรสัน
ผลการวิจัยพบวา ผูเรียนกลุมตัวอยางมีผลการเรียนภาษาญี่ปุนในระดับปานกลาง ( = 74.31) และใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาในระดับสูง ( = 3.61) สวนความสัมพันธระหวางกลวิธี
การเรียนรูเชิงอภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษาญี่ปุนของผูเรียนกลุมตัวอยาง อยูในระดับ ปานกลางอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ 0.01 (r = 0.44, p < 0.01) อาจเปนดวยเหตุผลที่วา กลวิธี
การเรียนรูเชิงอภิปญญาเปนกลวิธีที่มุงใหผูเรียนสํารวจและประเมินตนเองเปนหลัก กระนั้นก็ตาม กลุมตัวอยางที่เปนผูเรียน ยังเปนผูเรียนภาษาญี่ปุนในระดับตน จึงอาจตองใชกลวิธีการเรียนรูอื่น ๆ ชวยสนับสนุนการเรียนภาษาญี่ปุนดวย
คําสําคัญ กลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู ผูเรียนภาษาญี่ปุนชาวไทย ABSTRACT
This research’s purposes were 1) to study about the use of metacognitive learning strategy of Thai learners of Japanese Language in upper secondary level in Bangkok and 2) to analyze the relationship between metacognitive learning strategy and learning achievement of Thai learners of Japanese Language in upper secondary level in Bangkok.
The sample of this research were 323 students studying in Matthayomsuksa 4 (Grade 10) level of 11 government schools under the Office of Basic Education Commission (OBEC).
The data were collected by questionnaires, participative observation, and interview and analyzed by statistics, namely, percentage, means, standard deviation, and Pearson correlation coefficient.
This research found that samples learning achievement were at a medium level ( = 74.31), and metacognitive learning strategy was used by the sample at a high-frequency level ( = 3.61). As for the relationship between metacognitive learning strategy and learning achievement, it was at a medium level (r = 0.44, p < 0.01) since the metacognitive learning strategy is the strategy that helps language learners investigate and assess themselves. However, content that samples were studying was elementary Japanese. Other learning strategies, thereby, were acquired by samples to use simultaneously.
Keywords: metacognitive learning strategy, learning achievement, Thai learners of the Japanese language
บทนํา
การเรียนรูภาษาที่สอง (second language acquisition) หรือเรียกวาการเรียนรู
ภาษาตางประเทศ เปนกระบวนการเรียนรูที่
เกิดขึ้นไดจากการฝกฝน ซึ่งแตกตางจากการ เรียนรูภาษาแมที่ดําเนินไปไดอยางเปนธรรมชาติ
การเรียนรูภาษาที่สองยังเกี่ยวของกับปจจัยอีก หลายประการ ไมวาจะเปนวิธีการเรียน เนื้อหา ที่เรียน สภาพแวดลอมทางสังคมของผูเรียน รวมทั้งทัศนคติของผูเรียน (Arthornturasook, 2014) เพื่อใหการเรียนรูมีประสิทธิภาพจนชวยให
ผูเรียนประสบผลสําเร็จ ผูสอนและผูเรียนจะตอง มีปฏิสัมพันธรวมกันในกระบวนการเรียนรู ปจจัย ประการนี้เรียกวา กลวิธีการเรียนรู (learning strategies)
กลวิธีการเรียนรูสามารถแบงออกได
เปน 2 กลุมใหญ ๆ ตามแนวคิดของ Oxford (1990) คือ
1. กลวิธีทางตรง (direct strategies) หมายถึง กลวิธีที่เกี่ยวของโดยตรงกับเปาหมาย ของผูเรียน ประกอบดวย
1.1 กลวิธีการจํา (memory strategy) คือการจดจํา รวมทั้งวิธีการอื่น ๆ ที่กอใหเกิดการจํา
1.2 กลวิธีดานการรูคิด (cognitive strategy) คือ การเพิ่มพูนทักษะการอาน คิด วิเคราะห เขียน สื่อความ และตัดสินใจ เชน การทําแบบฝกหัดทบทวน การเขียนแสดง ความรูสึกและความคิดเห็น การแปล การจด บันทึก การสรุปความ เปนตน
1.3 กลวิธีการทดแทน (compensation strategy) คือ การใชสิ่งอื่น ๆ ไมวาจะเปนคําที่มี
ในภาษาแม การอธิบายความดวยภาษาเปาหมาย โดยใชคําเหมือน (synonym) หรือการใชสีหนา ทาทางประกอบ
2. กลวิธีทางออม (indirect strategies) หมายถึง กลวิธีที่ชวยสนับสนุนและจัดการ เรียนรูภาษาโดยไมเกี่ยวของกับการใชภาษา ประกอบดวย
2.1 ก ล วิ ธี เ ชิ ง อ ภิ ป ญ ญ า (metacognitive strategy) คือ การมุงพิจารณา ตัวผูเรียนเองโดยเฉพาะ อาทิ การวางแผนการ เรียนรูที่เหมาะสมกับตนเอง การเลือกสื่อการ เรียนรูที่เหมาะสมกับความสามารถของผูเรียน การรับผิดชอบและควบคุมตนเองในการเรียน
2.2 กลวิธีดานอารมณ (affective strategy) คือ การจัดการปญหาของผูเรียน เกี่ยวกับอารมณความรูสึก เชน การทําสมาธิ
การใหกําลังใจตนเอง การใชเพลงหรือดนตรี และ การสรางเสียงหัวเราะ
2.3 กลวิธีเชิงสังคม (social strategy) คือ การมีสวนรวม รวมถึงการสรางปฏิสัมพันธกับ เจาของภาษาเปาหมายเพื่อใหเกิดความเขาใจ ซึ่งกันและกันผานกระบวนการตาง ๆ ไมวาจะเปน การซักถามเพื่อความเขาใจ การขอใหเจาของ ภาษาชวยแกไขขอผิดพลาดที่เกิดจากการใช
ภาษา การใหความรวมมือกับเจาของภาษา ในการทํากิจกรรมรวมกัน หรือการเสริมสราง และพัฒนาความเขาใจทางวัฒนธรรม
หนึ่งในกลวิธีการเรียนรูทางออมที่ได
ศึกษาในการวิจัยนี้ คือ กลวิธีเชิงอภิปญญา (metacognitive strategy) กลวิธีนี้เปนกลวิธีที่
ผูเรียนใชในการควบคุมตนเอง (Rubin, 1987) รวมถึงจัดการการเรียนรูและวางแผนการเรียน เพื่อใหสามารถเรียนรูภาษาไดอยางมีประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้น ซึ่งการวางแผนการเรียนนั้น ผูเรียนจะตอง มีความตระหนักในตนเอง (self-awareness) เกี่ยวกับทักษะ วิธีการ รวมถึงแหลงขอมูลในการ เรียนรูที่เหมาะสมกับความสามารถของตนเอง ยิ่งไปกวานั้น กลวิธีเชิงอภิปญญายังชวยให
ผูเรียนสามารถควบคุมตนเอง รวมทั้งกลไก ในการเรียนรูเพื่อใหประสบผลสําเร็จในการเรียนรู
ผานวิธีการตาง ๆ ไมวาจะเปนการวางแผนการเรียน การตรวจสอบและประเมินตนเอง การทดสอบ การทบทวนและปรับเปลี่ยนวิธีการเรียน เปนตน
สิ่งที่เปนผลจากการเลือกใชกลวิธีการ เรียนรูที่เหมาะสมกับตัวผูเรียน คือสิ่งที่เรียกวา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู (learning achievement) หมายถึง ความสามารถหรือผลสําเร็จที่ผูเรียน ไดรับจากการเรียนการสอน อันจะเปนการเพิ่มพูน ประสบการณ อีกทั้งยังชวยใหผูเรียนสามารถ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนได
ทั้งนี้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูเปนสิ่งที่สามารถ วัดและประเมินผลไดโดยใชกระบวนการทดสอบ และการประเมินตามสภาพจริง ซึ่งเปนตัวชี้วัด ถึงระดับความสําเร็จที่เกิดจากการเรียน การฝกฝน และการปฏิบัติตลอดหลักสูตร (Hsiang, Jin &
Hui, 2013)
ในสวนของความสัมพันธระหวางกลวิธี
การเรียนรูกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูนั้น Ellis (1994) กลาววาทั้งสองสิ่งนี้มีความสัมพันธ
ซึ่งกันและกัน กลาวคือ กลวิธีการเรียนรูที่
เหมาะสมกับตัวผูเรียนจะสนับสนุนใหผูเรียน
มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น และผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนที่ดีคือสิ่งที่สะทอนการที่ผูเรียน เลือกใชกลวิธีการเรียนรูที่เหมาะสมกับตนเอง ยิ่งผูเรียนสามารถเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพ โดยเลือกใชวิธีการเรียน แหลงขอมูล และสื่อ การเรียนรูที่เหมาะสมกับตนเอง ก็ยิ่งมีสวนชวยให
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูสูงขึ้น
การเรียนการสอนภาษาญี่ปุนใน ประเทศไทย มีการพัฒนาอยางตอเนื่องนับแตอดีต จนถึงปจจุบัน อีกทั้งจํานวนผูเรียน ผูสอน และ สถาบันการศึกษาที่จัดการเรียนการสอนภาษา ญี่ปุนก็เพิ่มจํานวนมากขึ้นเชนเดียวกัน จากขอมูล ของ Japan Foundation (2017) ซึ่งดําเนินการ สํารวจในปค.ศ.2015 พบวาจํานวนผูเรียนภาษา ญี่ปุนในประเทศไทยมีจํานวน 173,817 คน เพิ่มขึ้นจากการสํารวจครั้งกอนในป ค.ศ. 2012 ประมาณรอยละ 34 จัดอยูในอันดับที่ 6 ของโลก มีจํานวนสถาบันการศึกษาที่จัดการเรียนการสอน ภาษาญี่ปุนอยู 606 แหง เพิ่มขึ้นจากการสํารวจ ครั้งลาสุดประมาณรอยละ 32 และมีจํานวน ผูสอนภาษาญี่ปุนทั้งสิ้น 1,911 คน จัดอยูใน อันดับที่ 7 ของโลกซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่สํารวจ ครั้งลาสุดประมาณรอยละ 38 อยางไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากผลการสอบวัดความถนัดทาง วิชาการและวิชาชีพ (Professional Aptitude Test: PAT) ที่จัดสอบโดยสถาบันทดสอบทาง การศึกษาแหงชาติ (สทศ.) ในรอบ 2 ปที่ผานมานี้
จะเห็นไดวา คะแนนเฉลี่ยในรายวิชาภาษาญี่ปุน อยูในระดับที่คอนขางตํ่า คืออยูในชวง 90.01 - 120 คะแนน จากคะแนนเต็มทั้งหมด 300 คะแนน (National Institute of Educational Testing
Service, 2016, 2017) สถาบันการศึกษา จึงมีความจําเปนตองเสริมสรางประสิทธิภาพ การเรียนรูเพื่อใหเกิดประโยชนสูงสุดตอผูเรียน
จากการสํารวจของ Japan Foundation ที่ดําเนินการเมื่อปค.ศ.2015 พบวา กรุงเทพมหานคร เปนจังหวัดที่มีจํานวนสถาบันการศึกษาที่จัด การเรียนการสอนภาษาญี่ปุน เฉพาะในระดับ มัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสถาบันการศึกษา ของรัฐและเอกชนมีจํานวนถึงกวา 75 แหง อีกทั้ง ยังมีจํานวนผูเรียนภาษาญี่ปุนในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลายอีกกวา 8,025 คน จากจํานวนผูเรียน ภาษาญี่ปุนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ทั่วประเทศ 58,348 คน ซึ่งมีจํานวนมากเปน อันดับที่ 1 จากทั้งหมด 64 จังหวัดที่มีสถาบัน การศึกษาซึ่งจัดการเรียนการสอนภาษาญี่ปุน ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย การที่กรุงเทพ- มหานคร มีจํานวนผูเรียนภาษาญี่ปุนในระบบ โรงเรียนมากเปนอันดับตน ๆ ของประเทศ จึงมี
ความจําเปนที่สถาบันการศึกษาจะตองปรับปรุง พัฒนามาตรฐานในการจัดการเรียนการสอน ใหกาวหนายิ่งขึ้น
จากที่กลาวมานี้ ผูวิจัยจึงไดมุงที่จะ ศึกษาความสัมพันธระหวางกลวิธีการเรียนรู
เชิงอภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษา ญี่ปุนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในเขต กรุงเทพมหานคร ผลที่ไดจากการวิจัยในครั้งนี้
ผูวิจัยเห็นวา อาจเปนประโยชนตอสถานศึกษา ในอันที่จะชวยใหสามารถออกแบบหลักสูตร กิจกรรมการเรียนการสอน รวมถึงสื่อการเรียน การสอน ใหสอดรับกับความสนใจ ความตองการ ความสามารถ ความถนัด รวมถึงเปาหมายของ ผูเรียน เพื่อใหการเรียนการสอนภาษาญี่ปุน มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น
วัตถุประสงคของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาการใชกลวิธีการเรียนรู
เชิงอภิปญญาในการเรียนรูภาษาญี่ปุนของ ผูเรียนชาวไทยระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตกรุงเทพมหานคร
2. เพื่อวิเคราะหความสัมพันธระหวาง กลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนรูภาษาญี่ปุนของผูเรียนชาวไทยระดับ ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตกรุงเทพมหานคร ขอบเขตของการวิจัย
การวิจัยนี้ มุงศึกษาเฉพาะกลุมตัวอยาง จากประชากรที่เปนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 4 ซึ่งกําลังศึกษาอยูในแผนการเรียนศิลป- ภาษาญี่ปุนของโรงเรียนรัฐบาล สังกัดสํานักงาน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในเขตกรุงเทพมหานคร
ระเบียบวิธีวิจัย
เนื่องจากงานวิจัยชิ้นนี้มุงศึกษาถึง ความสัมพันธระหวางการใชกลวิธีการเรียนรูเชิง อภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษา ญี่ปุน ผูวิจัยจึงไดเลือกใชระเบียบวิธีการวิจัย เชิงปริมาณควบคูกับระเบียบวิธีการวิจัยเชิง คุณภาพ โดยมีวิธีการในแตละขั้นตอน ดังนี้
1. กําหนดขนาดกลุมตัวอยางและ สุมตัวอยางจากประชากร เนื่องจากการวิจัยนี้
มุงศึกษากลุมตัวอยางจากประชากรที่เปนนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งกําลังศึกษาอยูใน แผนการเรียนสายศิลป-ภาษาญี่ปุนของโรงเรียน รัฐบาลสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่มีที่ตั้งอยูในกรุงเทพมหานคร (ในที่นี้เลือกใชนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เนื่องจากเปนชั้นปเริ่มตนในการเรียนภาษาญี่ปุน เปนวิชาบังคับตามหลักสูตรชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลาย) ผูวิจัยจึงไดกําหนดขนาดกลุมตัวอยาง และสุมตัวอยาง โดยในขั้นแรกนั้น ผูวิจัยไดสํารวจ รายชื่อโรงเรียนที่เปดการเรียนการสอนสายศิลป-
ภาษาญี่ปุนในกรุงเทพมหานครจากฐานขอมูล ออนไลนของ Japan Foundation (2017) จากนั้น จึงนํามาคัดแยกใหเหลือเฉพาะโรงเรียนรัฐบาล ในสังกัด สพฐ. ซึ่งพบวามีทั้งหมด 49 โรงเรียน ในเขตกรุงเทพมหานครที่เปดการเรียนการสอน สายศิลป-ภาษาญี่ปุนอยูในขณะนี้ ขั้นตอมา ผูวิจัยไดตรวจสอบขอมูลกับทางโรงเรียนใน สวนของจํานวนนักเรียน แลวจึงไดกําหนดกลุม ตัวอยางจากประชากรทั้งสิ้น 1,545 คน โดยใช
สูตรการคํานวณหากลุมตัวอยางของ Yamane (1973) ที่ระดับความคลาดเคลื่อน 0.05 ไดจํานวน กลุมตัวอยางขั้นตํ่า 317 คน ในขั้นสุดทาย ผูวิจัย ไดเลือกโรงเรียนโดยใชวิธีสุมอยางงายดวยการ จับสลาก ไดจํานวนโรงเรียนที่เปนกลุมตัวอยาง ทั้งสิ้น 11 โรงเรียน จํานวนนักเรียนที่เปนกลุม ตัวอยาง รวม 323 คน
2. เก็บและรวบรวมขอมูล เมื่อไดโรงเรียน ที่เปนกลุมตัวอยางพรอมกับจํานวนนักเรียน กลุมตัวอยางแลว ผูวิจัยจึงไดดําเนินการจัดทํา แบบสอบถาม ซึ่งเปนเครื่องมือวิจัยหลักสําหรับ กรอบแนวคิดของการวิจัย
ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย (ปรับจาก Ellis, 1994) กลวิธีการเรียนรู
(learning strategies) - กลวิธีทางตรง ไดแก กลวิธีการจํา กลวิธี
การรูคิด กลวิธีการทดแทน
- กลวิธีทางออม ไดแก กลวิธีเชิงอภิปญญา กลวิธีดานอารมณ กลวิธีดานสังคม
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู
(learning achievement) - ระดับคะแนน
- ความสําเร็จในการเรียน
การเก็บขอมูลในครั้งนี้ แบบสอบถามที่ผูวิจัย ไดจัดทําขึ้นนั้นประกอบดวย 3 สวน ไดแก
สวนแรก เปนขอมูลสวนบุคคลของผูตอบ แบบสอบถาม ประกอบดวย เพศ โรงเรียน คะแนนรวมในรายวิชาภาษาญี่ปุนจากคะแนนเต็ม 100 คะแนนในภาคเรียนที่ผานมา ประสบการณ
การเรียนภาษาญี่ปุนกอนที่จะขึ้นชั้นมัธยม ศึกษาตอนปลาย และเหตุผลที่เลือกเรียนใน แผนการเรียนสายศิลป-ภาษาญี่ปุน สวนที่สอง เปนขอมูลเกี่ยวกับการใชกลวิธีการเรียนรูเชิง อภิปญญาในการเรียนภาษาญี่ปุน ลักษณะของ แบบสอบถามในสวนนี้เปนแบบมาตราสวน ประมาณคา ซึ่งผูวิจัยไดดัดแปลงจาก แบบสอบถามวาดวยการใชกลวิธีการเรียนรู
ภาษาของ Oxford (1990) (ใชเฉพาะสวนที่
เกี่ยวของกับกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา) และ แบบสอบถามเกี่ยวกับการใชกลวิธีการเรียนรู
เชิงอภิปญญาของ Turan, Demiral & Sayek (2009) มีจํานวนทั้งสิ้น 19 ขอ และสวนที่สาม เปนการสอบถามความเขาใจและความคิดเห็น ของนักเรียนเกี่ยวกับกลวิธีการเรียนรูเชิง อภิปญญาเพื่ออภิปรายและยืนยันผลการศึกษา เชิงปริมาณ ประกอบดวยคําถามปลายเปด 2 ขอ เมื่อดําเนินการจัดทําเครื่องมือวิจัยเรียบรอยแลว ผูวิจัยจึงไดดําเนินการทดสอบเครื่องมือวิจัย กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 จํานวน 20 คน ผลปรากฏวาคาความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม ทั้งฉบับเทากับ 0.94 เมื่อไดปรับปรุงเครื่องมือ วิจัยเรียบรอยแลว ผูวิจัยจึงไดสงหนังสือ ขออนุญาตเขาพื้นที่เพื่อเก็บขอมูลไปตาม โรงเรียนกลุมตัวอยางทั้ง 11 โรงเรียน นอกจาก
การเก็บขอมูลเชิงปริมาณโดยใชแบบสอบถาม ในการเขาพื้นที่เพื่อเก็บขอมูลในโรงเรียน กลุมตัวอยาง ผูวิจัยยังไดสังเกตการจัดการเรียน การสอนอยางมีสวนรวมในชั้นเรียนจริง ทั้งยังได
ดําเนินการสัมภาษณนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนในระดับสูงเพื่ออภิปรายและยืนยันผล การศึกษาเชิงปริมาณอีกชั้นหนึ่ง โดยผูใหขอมูลหลัก มีจํานวนทั้งสิ้น 32 คนจากทั้งหมด 11 โรงเรียน
3. วิเคราะหขอมูล หลังจากที่ผูวิจัย ดําเนินการเก็บขอมูลเรียบรอยแลว ไดนําขอมูล ทั้งนั้นมาวิเคราะหดวยโปรแกรมสําเร็จรูปทางสถิติ
โดยที่ขอมูลเบื้องตนของผูตอบแบบสอบถาม ไดแก จํานวนผูตอบแบบสอบถาม คะแนน รายวิชาภาษาญี่ปุน ประสบการณการเรียน ภาษาญี่ปุนกอนขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และเหตุผลที่เลือกเรียนในแผนการเรียนศิลป- ภาษาญี่ปุน รวมถึงระดับการใชกลวิธีการเรียนรู
เชิงอภิปญญา ไดนํามาวิเคราะหโดยใชสถิติ
เชิงพรรณนา ไดแก คาเฉลี่ยและคารอยละ สําหรับ ระดับการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา มีการ แปลผลดังนี้
4.21 - 5.00 หมายถึง มีการใชกลวิธี
ในระดับสูงมาก
3.41 - 4.20 หมายถึง มีการใชกลวิธี
ในระดับสูง
2.61 - 3.40 หมายถึง มีการใชกลวิธี
ในระดับปานกลาง
1.81 - 2.60 หมายถึง มีการใชกลวิธี
ในระดับตํ่า
1.00 - 1.80 หมายถึง มีการใชกลวิธี
ในระดับตํ่ามาก
สวนขอมูลเกี่ยวกับความสัมพันธระหวาง การใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญากับผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนรูภาษาญี่ปุน ผูวิจัยไดนํามา วิเคราะหโดยใชสถิติเชิงอนุมานเพื่อใชในการ ทดสอบสมมติฐาน ในที่นี้ ผูวิจัยไดเลือกใชการ วิเคราะหหาคาสหสัมพันธเพียรสัน เพื่อหาคา ความสัมพันธระหวางขอมูลเชิงปริมาณทั้งสองชุด หากคาสหสัมพันธมีคาเปนบวกตั้งแต 0.01 จนถึง 1 หมายถึงขอมูลทั้งสองชุดมีความสัมพันธ
ไปในทางเดียวกัน หากคาสหสัมพันธมีคาเปนศูนย
ถือวาขอมูลทั้งสองชุดไมมีความสัมพันธกัน แตหาก คาสหสัมพันธมีคาเปนลบตั้งแต -0.01 จนถึง -1 หมายความวาความสัมพันธของขอมูลทั้งสองชุด เปนไปในทิศทางตรงกันขาม ทั้งนี้ กําหนดระดับ นัยสําคัญทางสถิติที่ 0.01 และ 0.05 โดยแปลผล คาสหสัมพันธตามเกณฑของ Evans (1996) ดังนี้
ตั้งแต 0.80 ขึ้นไป หมายถึง ความสัมพันธ
อยูในระดับสูงมาก
0.60 - 0.79 หมายถึง ความสัมพันธ
อยูในระดับสูง
0.40 - 0.59 หมายถึง ความสัมพันธ
อยูในระดับปานกลาง
0.20 - 0.39 หมายถึง ความสัมพันธ
อยูในระดับตํ่า
ตํ่ากวา .20 หมายถึง ความสัมพันธ
อยูในระดับตํ่ามาก
สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย สรุปผลการวิจัย
จากการเก็บขอมูลในโรงเรียน กลุมตัวอยางทั้ง 11 โรงเรียน ขอมูลเบื้องตน
เกี่ยวกับผูตอบแบบสอบถาม พบวาผูตอบ แบบสอบถามเปนเพศหญิงมากกวาเพศชาย โดยเพศหญิง มีจํานวน 219 คน คิดเปน รอยละ 67.8 สวนเพศชายมีจํานวน 104 คน คิดเปนรอยละ 32.2 เมื่อจําแนกตามประสบการณ
การเรียนภาษาญี่ปุนกอนขึ้นชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลาย ผูตอบแบบสอบถามสวนใหญ
ไมเคยเรียนภาษาญี่ปุนมากอน จํานวน 223 คน คิดเปนรอยละ 69.0 สวนผูตอบแบบสอบถาม ที่เคยเรียนภาษาญี่ปุนมากอนมีจํานวน 100 คน คิดเปนรอยละ 31.0 ผูที่เคยเรียนภาษาญี่ปุน มากอน สวนใหญเรียนภาษาญี่ปุนมาเปนเวลา 1 ป คิดเปนรอยละ 39.0 เหตุผลที่เลือกเรียน ในสายศิลป-ภาษาญี่ปุนที่ผูตอบแบบสอบถาม เลือกตอบมากที่สุด คือ สนใจในภาษาญี่ปุน มีผูตอบจํานวน 233 คน คิดเปนรอยละ 72.1 สวนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษาญี่ปุนของ ผูตอบแบบสอบถามนั้น จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน คะแนนสูงสุดคือ 99 คะแนน คะแนนตํ่าสุดคือ 21 คะแนน คะแนนเฉลี่ย อยูในระดับปานกลาง ( = 74.31) สวนเบี่ยงเบน มาตรฐานเทากับ 12.96
ในสวนของผลการวิจัยตามวัตถุประสงค
การวิจัย วัตถุประสงคขอที่ 1 เพื่อศึกษาการใช
กลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาในการเรียนรู
ภาษาญี่ปุนของผูเรียนชาวไทยระดับมัธยม ศึกษาตอนปลายในเขตกรุงเทพมหานคร พบวา กลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาทั้ง 19 วิธียอย มีระดับการใชที่แตกตางกันดังแสดงในตาราง ตอไปนี้
ตารางที่ 1 ระดับการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาในการเรียนภาษาญี่ปุน
กลวิธียอย
1. ขาพเจาพยายามหาวิธีการตาง ๆ เพื่อเรียนรูภาษาญี่ปุน
2. ขาพเจาเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตนเองที่สุดในการเรียนรูภาษาญี่ปุน 3. ขาพเจาสังเกตขอผิดพลาดในการใชภาษาญี่ปุน
และพยายามแกไขขอผิดพลาดนั้น
4. ขาพเจาแกปญหาที่พบในการเรียนรูภาษาญี่ปุน
5. ขาพเจาปรับเปลี่ยนวิธีการแกปญหาในการเรียนรูภาษาญี่ปุน อยางตอเนื่อง
6. ขาพเจาตั้งใจฟงเมื่อมีคนพูดภาษาญี่ปุน
7. ขาพเจาหาวิธีปรับปรุงตนเองใหเปนผูเรียนภาษาญี่ปุนที่ดี
8. ขาพเจาจัดตารางเวลาใหมีเวลาเพียงพอตอการเรียนภาษาญี่ปุน 9. ขาพเจาวางแผนที่จะเลือกใชแหลงขอมูลและสื่อการเรียนรูภาษาญี่ปุน ที่เหมาะสมกับตนเอง
10. ขาพเจาจัดลําดับความสําคัญของเปาหมายในการเรียนรูภาษาญี่ปุน 11. ขาพเจาหาโอกาสในการพูดภาษาญี่ปุนเทาที่จะทําได
12. ขาพเจาหาโอกาสในการอานภาษาญี่ปุนเทาที่จะทําได
13. ขาพเจาใชแหลงขอมูลและสื่อการเรียนรูที่จําเปนและเหมาะสมกับตนเอง ในการเรียนรูภาษาญี่ปุน
14. ขาพเจาประเมินวิธีการเรียนรูเพื่อตรวจสอบวาวิธีนั้นชวยใหขาพเจา เรียนรูภาษาญี่ปุนไดดีหรือไม
15. ขาพเจามีเปาหมายที่ชัดเจนในการเรียนรูภาษาญี่ปุน 16. ขาพเจาตระหนักถึงความกาวหนาในการเรียนรูภาษาญี่ปุน 17. หลังจากที่ไดทําการบานหรืองานที่ไดรับมอบหมายในชั้นเรียน ขาพเจาประเมินตนเองวาไดเรียนรูเนื้อหาในสวนนั้น ๆ อยางสมบูรณ
แลวหรือยัง
18. ขาพเจาประเมินวาไดบรรลุเปาหมายในการเรียนรูภาษาญี่ปุนแลวหรือยัง 19. หลังจากที่บรรลุวัตถุประสงคแลว ขาพเจาแสวงหาเปาหมายใหม ๆ ในการเรียนรูภาษาญี่ปุน
เฉลี่ยการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาโดยรวม
3.563.80 3.66 3.613.34
4.153.87 3.363.69
3.703.59 3.723.67
3.32 3.733.81 3.33
3.173.53
3.61
.76.79 .83 .83.77
.80.76 .91.89
.87.99 .95.86
.96 .99.82 .93
.96.95
.55
สูงสูง สูง ปานกลางสูง
สูงสูง ปานกลาง
สูง สูงสูง สูงสูง
ปานกลาง สูงสูง ปานกลาง
ปานกลาง สูง สูง S.D. การแปลผล
จากตารางที่ 1 แสดงใหเห็นวา ผูเรียน ภาษาญี่ปุนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานครใชกลวิธีการ เรียนรูเชิงอภิปญญาในระดับสูง โดยเฉพาะ
กลวิธียอยขอที่ 6 คือการตั้งใจฟงเมื่อมีผูพูด ภาษาญี่ปุน ซึ่งเปนกลวิธียอยที่มีคาเฉลี่ยสูงกวา กลวิธียอยขออื่น ๆ
สวนผลการวิจัยตามวัตถุประสงคในขอ ที่ 2 เพื่อวิเคราะหความสัมพันธระหวางกลวิธี
การเรียนรูเชิงอภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนรูภาษาญี่ปุนของผูเรียนชาวไทยระดับชั้น
มัธยมศึกษาตอนปลายในเขตกรุงเทพมหานคร ผลปรากฏวา ระดับการใชกลวิธีการเรียนรูเชิง อภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษา ญี่ปุนมีความสัมพันธดังแสดงในตารางที่ 2
กลวิธียอย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู
r 0.39**
0.35**
0.33**
0.19**
0.18**
0.27**
0.26**
0.24**
0.26**
0.31**
0.22**
0.36**
0.23**
0.15**
0.30**
0.39**
0.24**
0.29**
0.23**
0.44**
ตํ่าตํ่า ตํ่า ตํ่ามาก ตํ่ามาก ตํ่าตํ่า ตํ่าตํ่า
ตํ่าตํ่า ตํ่าตํ่า
ตํ่ามาก ตํ่าตํ่า ตํ่า ตํ่าตํ่า
ปานกลาง การแปลผล 1. ขาพเจาพยายามหาวิธีการตาง ๆ เพื่อเรียนรูภาษาญี่ปุน
2. ขาพเจาเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตนเองที่สุดในการเรียนรูภาษาญี่ปุน 3. ขาพเจาสังเกตขอผิดพลาดในการใชภาษาญี่ปุน และพยายามแกไข ขอผิดพลาดนั้น
4. ขาพเจาแกปญหาที่พบในการเรียนรูภาษาญี่ปุน
5. ขาพเจาปรับเปลี่ยนวิธีการแกปญหาในการเรียนรูภาษาญี่ปุนอยางตอเนื่อง 6. ขาพเจาตั้งใจฟงเมื่อมีคนพูดภาษาญี่ปุน
7. ขาพเจาหาวิธีปรับปรุงตนเองใหเปนผูเรียนภาษาญี่ปุนที่ดี
8. ขาพเจาจัดตารางเวลาใหมีเวลาเพียงพอตอการเรียนภาษาญี่ปุน 9. ขาพเจาวางแผนที่จะเลือกใชแหลงขอมูลและสื่อการเรียนรูภาษาญี่ปุน ที่เหมาะสมกับตนเอง
10. ขาพเจาจัดลําดับความสําคัญของเปาหมายในการเรียนรูภาษาญี่ปุน 11. ขาพเจาหาโอกาสในการพูดภาษาญี่ปุนเทาที่จะทําได
12. ขาพเจาหาโอกาสในการอานภาษาญี่ปุนเทาที่จะทําได
13. ขาพเจาใชแหลงขอมูลและสื่อการเรียนรูที่จําเปนและเหมาะสมกับตนเอง ในการเรียนรูภาษาญี่ปุน
14. ขาพเจาประเมินวิธีการเรียนรูเพื่อตรวจสอบวาวิธีนั้นชวยใหขาพเจาเรียนรู
ภาษาญี่ปุนไดดีหรือไม
15. ขาพเจามีเปาหมายที่ชัดเจนในการเรียนรูภาษาญี่ปุน 16. ขาพเจาตระหนักถึงความกาวหนาในการเรียนรูภาษาญี่ปุน
17. หลังจากที่ไดทําการบานหรืองานที่ไดรับมอบหมายในชั้นเรียน ขาพเจา ประเมินตนเองวาไดเรียนรูเนื้อหาในสวนนั้น ๆ อยางสมบูรณแลวหรือยัง 18. ขาพเจาประเมินวาไดบรรลุเปาหมายในการเรียนรูภาษาญี่ปุนแลวหรือยัง 19. หลังจากที่บรรลุวัตถุประสงคแลว ขาพเจาแสวงหาเปาหมายใหม ๆ ในการเรียนรูภาษาญี่ปุน
เฉลี่ยการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาโดยรวม
ตารางที่ 2 ความสัมพันธระหวางระดับการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา กับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนรูภาษาญี่ปุน
**มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
จากตารางที่ 2 จะเห็นไดวา กลวิธียอย ในกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญามีความสัมพันธกับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษาญี่ปุนเปนรายกลวิธี
โดยมากจะอยูในระดับตํ่าอยางมีนัยสําคัญทาง สถิติที่ 0.01 ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธระหวาง คาเฉลี่ยการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา โดยภาพรวม กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษา ญี่ปุนอยูในระดับปานกลาง (r = 0.44) อยางมี
นัยสําคัญทางสถิติที่ 0.01 อาจกลาวไดวา กลวิธี
การเรียนรูเชิงอภิปญญาโดยภาพรวมมีผลตอ การเรียนรูภาษาญี่ปุนพอสมควร แตกลวิธียอย บางประการแทบไมมีความสัมพันธกับการเรียนรู
ภาษาญี่ปุน แมผูเรียนภาษาญี่ปุนไมเลือกวิธีนั้น มาปฏิบัติก็ไมมีผลตอการเรียนรูภาษาญี่ปุน แตอยางใด
อภิปรายผลการวิจัย
จากผลการวิจัยสามารถนํามาอภิปราย ตามวัตถุประสงคการวิจัยไดดังนี้
เกี่ยวกับระดับการใชกลวิธีการเรียนรู
เชิงอภิปญญา จะเห็นไดวา กลวิธียอยทั้ง 19 กลวิธี
โดยมากมีการใชในระดับสูง เนื่องจากผูเรียน กลุมเปาหมายเปนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ซึ่งสวนมากไมมีพื้นฐานทางภาษาญี่ปุนมากอน จึงตองพยายามที่จะใชวิธีการตาง ๆ เพื่อใหเรียนรู
ภาษาญี่ปุนไดเหมาะสมกับความสามารถ ความถนัด และความสนใจของตน กลวิธียอย ที่มีคาเฉลี่ยการใชมากที่สุด คือ การตั้งใจฟง เมื่อมีคนพูดภาษาญี่ปุน ( = 4.15) เหตุผลที่
ผูเรียนกลุมเปาหมายใชวิธีนี้มากที่สุด ผูวิจัย คาดวา จากการใหขอมูลผานการสัมภาษณของ นักเรียนกลุมตัวอยาง นอกจากการเลือกใชสื่อ
แบบดั้งเดิม เชน แบบฝกฟงในตําราเรียน พวกเขา ยังเลือกที่จะฝกฟงภาษาญี่ปุนจากสื่อแบบใหม
ไมวาจะเปนเพลงภาษาญี่ปุน หรือภาพยนตร
การตูนแอนิเมชั่นเสียงพากยภาษาญี่ปุน ซึ่งเปน สื่อที่เขาถึงเด็กและเยาวชนในชวงวัยเดียวกัน กับผูเรียนกลุมเปาหมายไดเปนอยางดี นอกจาก ชวยเพิ่มพูนทักษะการฟงภาษาญี่ปุนแลว ยังชวย ใหผูเรียนกลุมเปาหมายเพิ่มพูนความรูเกี่ยวกับ คําศัพทและไวยากรณภาษาญี่ปุนไดอีกดวย จึงอาจกลาวไดวา การใชสื่อที่เหมาะสมกับชวงวัย ของผูเรียนจะชวยชักนําใหผูเรียนมีความสนใจ ที่จะเรียนรูและขยายขอบเขตของการเรียนรู
ใหกวางขวางออกไปได สวนกลวิธียอยที่มีคาเฉลี่ย การใชนอยที่สุด คือ การประเมินตนเองหลังเรียนจบ เนื้อหาในแตละสวนวาไดบรรลุเปาหมายของ การเรียนแลวหรือยัง ( = 3.17) จากการเก็บ ขอมูลดวยการสังเกตการณและการสัมภาษณ
กลุมตัวอยาง ผูวิจัยพบวา เนื่องจากชั้นมัธยม ศึกษาปที่ 4 เปนชั้นปแรกที่เริ่มเรียนภาษาญี่ปุน เปนวิชาบังคับตามหลักสูตรแกนกลาง ผูเรียน สวนมากไมเคยเรียนภาษาญี่ปุนมากอนขึ้นชั้น มัธยมศึกษาตอนปลาย เปาหมายในการเรียนรู
ภาษาญี่ปุนจึงอาจจะยังไมชัดเจน นอกจากนั้น เหตุผลที่ผูเรียนกลุมเปาหมายเลือกเรียน สายศิลป-ภาษาญี่ปุนที่มีผูเลือกตอบมากที่สุด คือ สนใจในภาษาญี่ปุน ผูเรียนกลุมเปาหมาย จึงพยายามที่จะเรียนรูใหมากที่สุด ใหมีความรู
เพียงพอที่จะนําไปใชในระดับหนึ่ง ซึ่งสอดคลอง กับผลการศึกษาของ Fujita (2014) ที่พบวา กลวิธียอยในกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาที่
ผูเรียนภาษาญี่ปุนชาวตางชาติใชมากที่สุดคือ
การแกไขปญหาที่ผูเรียนพบในระหวางเรียน และการมุงใหความสนใจโดยตรง สวนที่แตกตาง จากผลการศึกษาของ Fujita คือ กลวิธียอย ที่ผูเรียนภาษาญี่ปุนชาวตางชาติใชนอยที่สุด คือการจัดการกับความรูสวนบุคคล ซึ่งในงานวิจัย ชิ้นนี้ คือ การหาโอกาสพูดและอานภาษาญี่ปุน มีระดับการใชที่คอนขางสูง เนื่องจากโรงเรียน หลายแหงที่ผูวิจัยไดเขาพื้นที่เพื่อเก็บขอมูล มีการ จางครูผูสอนชาวญี่ปุนมาชวยครูผูสอนชาวไทย จัดการเรียนการสอนรายวิชาภาษาญี่ปุนพื้นฐาน ในสวนของทักษะการฟงและการพูด ทําใหผูเรียน ไดมีโอกาสฝกทักษะการสื่อสารกับเจาของภาษา โดยใชความรูที่เรียนมาจากครูผูสอนชาวไทย อันจะเปนผลดีตอการนําความรูและทักษะไปใช
ประโยชนในอนาคต
ในสวนของการใชกลวิธีการเรียนรู
เชิงอภิปญญาในภาพรวม คาเฉลี่ยการใชถือวา อยูในระดับที่คอนขางสูง ( = 3.61) เนื่องจาก กลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา เปนกลวิธีที่กระตุน ใหผูเรียนเกิดการเรียนรูพรอมทั้งประสาน องคความรูที่มีใหเขาเปนหมวดหมูผานวิธีการ ตาง ๆ ไมวาจะเปนการวางแผนการเรียนรูให
เหมาะสมกับตนเอง การเลือกสื่อการเรียนรู
ที่เหมาะสมกับระดับความสามารถ ความถนัด และความสนใจ การรับผิดชอบและควบคุม ตนเองในการเรียน หรือการประเมินตนเองกอน และหลังเรียน ซึ่งมีบทบาทในการที่จะชวยเสริม กลวิธีการเรียนรูอื่น ๆ เชน กลวิธีการจํา กลวิธี
การรูคิด ใหมีประสิทธิภาพมากขึ้น แตกตางจาก ผลการศึกษาของ ไพลิน กลิ่นเกษร (Klinkesorn, 2012) ที่ศึกษาเกี่ยวกับการใชกลวิธีการเรียนรู
ภาษาญี่ปุนโดยภาพรวมของผูเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนปลายชาวไทย ซึ่งพบวาผูเรียน ภาษาญี่ปุนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ชาวไทยใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาในระดับ ปานกลาง เนื่องจากในปจจุบันมีสื่อการเรียน การสอนที่ผูเรียนสามารถเลือกใชไดหลากหลาย มากขึ้น อีกทั้งผูเรียนยังสามารถแสวงหาความรู
ไดจากแหลงขอมูลที่หลากหลายมากขึ้นดวย จากการที่ผูวิจัยไดเก็บขอมูลจากการสัมภาษณ
รวมถึงคําถามปลายเปดเพื่อสอบถามความคิดเห็น ของกลุมเปาหมายในแบบสอบถาม กลุมตัวอยาง สวนมากใหขอมูลวา นอกจากการเรียนภาษา ญี่ปุนในชั้นเรียน พวกเขายังสามารถหาขอมูล และฝกทักษะเพิ่มเติมไดจากสื่อแขนงตาง ๆ เชน เพลง ภาพยนตร ละคร การตูนแอนิเมชัน เว็บไซตตาง ๆ แอปพลิเคชันสําหรับโทรศัพท
เคลื่อนที่ คลิปวีดีโอการสอนภาษาญี่ปุน คลิป วีดีโอรายการโทรทัศนที่ออกอากาศในประเทศ ญี่ปุนเปนภาษาญี่ปุน หรือแมกระทั่งเกม คอมพิวเตอร ผูเรียนกลุมตัวอยางใหขอมูลวา สามารถชวยเพิ่มพูนความรูเกี่ยวกับคําศัพท
และโครงสรางไวยากรณไดมากขึ้น และเมื่อศึกษา จากสื่อทางเลือกดังกลาวแลว ยังมีคําศัพทหรือ โครงสรางทางไวยากรณที่ไมเขาใจดี ก็สามารถ คนหาเพิ่มเติมได
เกี่ยวกับความสัมพันธระหวางกลวิธีการ เรียนรูเชิงอภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู
จากกลวิธียอยทั้งหมด 19 วิธี ทั้งหมดนั้นมีความ สัมพันธในเชิงบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู
แตสวนมากมีความสัมพันธในระดับตํ่า ทั้งนี้
เนื่องจากการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา