• Tidak ada hasil yang ditemukan

View of A RELATIONSHIP BETWEEN METACOGNITIVE LEARNING STRATEGY AND JAPANESE LANGUAGE LEARNING ACHIEVEMENT OF UPPER SECONDARY LEVEL STUDENTS IN BANGKOK

N/A
N/A
Protected

Academic year: 2024

Membagikan "View of A RELATIONSHIP BETWEEN METACOGNITIVE LEARNING STRATEGY AND JAPANESE LANGUAGE LEARNING ACHIEVEMENT OF UPPER SECONDARY LEVEL STUDENTS IN BANGKOK"

Copied!
15
0
0

Teks penuh

(1)

Research Article

ความสัมพันธระหวางกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา

กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษาญี่ปุนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตกรุงเทพมหานคร

A RELATIONSHIP BETWEEN METACOGNITIVE LEARNING STRATEGY AND JAPANESE LANGUAGE LEARNING ACHIEVEMENT

OF UPPER SECONDARY LEVEL STUDENTS IN BANGKOK

ฉัตรวัฒน หวังศิริกําโชค1* และ ยุพกา ฟูกุชิมา2 Chattrawat Wangsirikamchok1* and Yupaka Fukushima2

หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร

กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย1*, 2

Master of Arts Program in Eastern Language, Faculty of Humanities, Kasetsart University, Bangkok, Thailand1*, 2

Email: [email protected]1*

Received: 2018-05-31 Revised: 2018-10-11 Accepted: 2018-10-14

บทคัดยอ

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค ไดแก 1) เพื่อศึกษาการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาในการ เรียนรูภาษาญี่ปุนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อวิเคราะห

ความสัมพันธระหวางกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษาญี่ปุนของ นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตกรุงเทพมหานคร กลุมตัวอยางของงานวิจัยนี้คือนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ที่กําลังศึกษาอยูในแผนการเรียนสายศิลป-ภาษาญี่ปุนของโรงเรียนรัฐบาล ในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 11 โรงเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร จํานวน 323 คน เก็บขอมูลโดยการใชแบบสอบถาม การสังเกตการณในพื้นที่จริงอยางมีสวนรวม รวมถึงการสัมภาษณผูเรียนกลุมตัวอยาง สถิติที่นํามาใชในการวิเคราะหขอมูล ไดแก คารอยละ คาเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธเพียรสัน

(2)

ผลการวิจัยพบวา ผูเรียนกลุมตัวอยางมีผลการเรียนภาษาญี่ปุนในระดับปานกลาง ( = 74.31) และใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาในระดับสูง ( = 3.61) สวนความสัมพันธระหวางกลวิธี

การเรียนรูเชิงอภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษาญี่ปุนของผูเรียนกลุมตัวอยาง อยูในระดับ ปานกลางอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ 0.01 (r = 0.44, p < 0.01) อาจเปนดวยเหตุผลที่วา กลวิธี

การเรียนรูเชิงอภิปญญาเปนกลวิธีที่มุงใหผูเรียนสํารวจและประเมินตนเองเปนหลัก กระนั้นก็ตาม กลุมตัวอยางที่เปนผูเรียน ยังเปนผูเรียนภาษาญี่ปุนในระดับตน จึงอาจตองใชกลวิธีการเรียนรูอื่น ๆ ชวยสนับสนุนการเรียนภาษาญี่ปุนดวย

คําสําคัญ กลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู ผูเรียนภาษาญี่ปุนชาวไทย ABSTRACT

This research’s purposes were 1) to study about the use of metacognitive learning strategy of Thai learners of Japanese Language in upper secondary level in Bangkok and 2) to analyze the relationship between metacognitive learning strategy and learning achievement of Thai learners of Japanese Language in upper secondary level in Bangkok.

The sample of this research were 323 students studying in Matthayomsuksa 4 (Grade 10) level of 11 government schools under the Office of Basic Education Commission (OBEC).

The data were collected by questionnaires, participative observation, and interview and analyzed by statistics, namely, percentage, means, standard deviation, and Pearson correlation coefficient.

This research found that samples learning achievement were at a medium level ( = 74.31), and metacognitive learning strategy was used by the sample at a high-frequency level ( = 3.61). As for the relationship between metacognitive learning strategy and learning achievement, it was at a medium level (r = 0.44, p < 0.01) since the metacognitive learning strategy is the strategy that helps language learners investigate and assess themselves. However, content that samples were studying was elementary Japanese. Other learning strategies, thereby, were acquired by samples to use simultaneously.

Keywords: metacognitive learning strategy, learning achievement, Thai learners of the Japanese language

(3)

บทนํา

การเรียนรูภาษาที่สอง (second language acquisition) หรือเรียกวาการเรียนรู

ภาษาตางประเทศ เปนกระบวนการเรียนรูที่

เกิดขึ้นไดจากการฝกฝน ซึ่งแตกตางจากการ เรียนรูภาษาแมที่ดําเนินไปไดอยางเปนธรรมชาติ

การเรียนรูภาษาที่สองยังเกี่ยวของกับปจจัยอีก หลายประการ ไมวาจะเปนวิธีการเรียน เนื้อหา ที่เรียน สภาพแวดลอมทางสังคมของผูเรียน รวมทั้งทัศนคติของผูเรียน (Arthornturasook, 2014) เพื่อใหการเรียนรูมีประสิทธิภาพจนชวยให

ผูเรียนประสบผลสําเร็จ ผูสอนและผูเรียนจะตอง มีปฏิสัมพันธรวมกันในกระบวนการเรียนรู ปจจัย ประการนี้เรียกวา กลวิธีการเรียนรู (learning strategies)

กลวิธีการเรียนรูสามารถแบงออกได

เปน 2 กลุมใหญ ๆ ตามแนวคิดของ Oxford (1990) คือ

1. กลวิธีทางตรง (direct strategies) หมายถึง กลวิธีที่เกี่ยวของโดยตรงกับเปาหมาย ของผูเรียน ประกอบดวย

1.1 กลวิธีการจํา (memory strategy) คือการจดจํา รวมทั้งวิธีการอื่น ๆ ที่กอใหเกิดการจํา

1.2 กลวิธีดานการรูคิด (cognitive strategy) คือ การเพิ่มพูนทักษะการอาน คิด วิเคราะห เขียน สื่อความ และตัดสินใจ เชน การทําแบบฝกหัดทบทวน การเขียนแสดง ความรูสึกและความคิดเห็น การแปล การจด บันทึก การสรุปความ เปนตน

1.3 กลวิธีการทดแทน (compensation strategy) คือ การใชสิ่งอื่น ๆ ไมวาจะเปนคําที่มี

ในภาษาแม การอธิบายความดวยภาษาเปาหมาย โดยใชคําเหมือน (synonym) หรือการใชสีหนา ทาทางประกอบ

2. กลวิธีทางออม (indirect strategies) หมายถึง กลวิธีที่ชวยสนับสนุนและจัดการ เรียนรูภาษาโดยไมเกี่ยวของกับการใชภาษา ประกอบดวย

2.1 ก ล วิ ธี เ ชิ ง อ ภิ ป  ญ ญ า (metacognitive strategy) คือ การมุงพิจารณา ตัวผูเรียนเองโดยเฉพาะ อาทิ การวางแผนการ เรียนรูที่เหมาะสมกับตนเอง การเลือกสื่อการ เรียนรูที่เหมาะสมกับความสามารถของผูเรียน การรับผิดชอบและควบคุมตนเองในการเรียน

2.2 กลวิธีดานอารมณ (affective strategy) คือ การจัดการปญหาของผูเรียน เกี่ยวกับอารมณความรูสึก เชน การทําสมาธิ

การใหกําลังใจตนเอง การใชเพลงหรือดนตรี และ การสรางเสียงหัวเราะ

2.3 กลวิธีเชิงสังคม (social strategy) คือ การมีสวนรวม รวมถึงการสรางปฏิสัมพันธกับ เจาของภาษาเปาหมายเพื่อใหเกิดความเขาใจ ซึ่งกันและกันผานกระบวนการตาง ๆ ไมวาจะเปน การซักถามเพื่อความเขาใจ การขอใหเจาของ ภาษาชวยแกไขขอผิดพลาดที่เกิดจากการใช

ภาษา การใหความรวมมือกับเจาของภาษา ในการทํากิจกรรมรวมกัน หรือการเสริมสราง และพัฒนาความเขาใจทางวัฒนธรรม

หนึ่งในกลวิธีการเรียนรูทางออมที่ได

ศึกษาในการวิจัยนี้ คือ กลวิธีเชิงอภิปญญา (metacognitive strategy) กลวิธีนี้เปนกลวิธีที่

(4)

ผูเรียนใชในการควบคุมตนเอง (Rubin, 1987) รวมถึงจัดการการเรียนรูและวางแผนการเรียน เพื่อใหสามารถเรียนรูภาษาไดอยางมีประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้น ซึ่งการวางแผนการเรียนนั้น ผูเรียนจะตอง มีความตระหนักในตนเอง (self-awareness) เกี่ยวกับทักษะ วิธีการ รวมถึงแหลงขอมูลในการ เรียนรูที่เหมาะสมกับความสามารถของตนเอง ยิ่งไปกวานั้น กลวิธีเชิงอภิปญญายังชวยให

ผูเรียนสามารถควบคุมตนเอง รวมทั้งกลไก ในการเรียนรูเพื่อใหประสบผลสําเร็จในการเรียนรู

ผานวิธีการตาง ๆ ไมวาจะเปนการวางแผนการเรียน การตรวจสอบและประเมินตนเอง การทดสอบ การทบทวนและปรับเปลี่ยนวิธีการเรียน เปนตน

สิ่งที่เปนผลจากการเลือกใชกลวิธีการ เรียนรูที่เหมาะสมกับตัวผูเรียน คือสิ่งที่เรียกวา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู (learning achievement) หมายถึง ความสามารถหรือผลสําเร็จที่ผูเรียน ไดรับจากการเรียนการสอน อันจะเปนการเพิ่มพูน ประสบการณ อีกทั้งยังชวยใหผูเรียนสามารถ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนได

ทั้งนี้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูเปนสิ่งที่สามารถ วัดและประเมินผลไดโดยใชกระบวนการทดสอบ และการประเมินตามสภาพจริง ซึ่งเปนตัวชี้วัด ถึงระดับความสําเร็จที่เกิดจากการเรียน การฝกฝน และการปฏิบัติตลอดหลักสูตร (Hsiang, Jin &

Hui, 2013)

ในสวนของความสัมพันธระหวางกลวิธี

การเรียนรูกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูนั้น Ellis (1994) กลาววาทั้งสองสิ่งนี้มีความสัมพันธ

ซึ่งกันและกัน กลาวคือ กลวิธีการเรียนรูที่

เหมาะสมกับตัวผูเรียนจะสนับสนุนใหผูเรียน

มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น และผลสัมฤทธิ์

ทางการเรียนที่ดีคือสิ่งที่สะทอนการที่ผูเรียน เลือกใชกลวิธีการเรียนรูที่เหมาะสมกับตนเอง ยิ่งผูเรียนสามารถเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพ โดยเลือกใชวิธีการเรียน แหลงขอมูล และสื่อ การเรียนรูที่เหมาะสมกับตนเอง ก็ยิ่งมีสวนชวยให

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูสูงขึ้น

การเรียนการสอนภาษาญี่ปุนใน ประเทศไทย มีการพัฒนาอยางตอเนื่องนับแตอดีต จนถึงปจจุบัน อีกทั้งจํานวนผูเรียน ผูสอน และ สถาบันการศึกษาที่จัดการเรียนการสอนภาษา ญี่ปุนก็เพิ่มจํานวนมากขึ้นเชนเดียวกัน จากขอมูล ของ Japan Foundation (2017) ซึ่งดําเนินการ สํารวจในปค.ศ.2015 พบวาจํานวนผูเรียนภาษา ญี่ปุนในประเทศไทยมีจํานวน 173,817 คน เพิ่มขึ้นจากการสํารวจครั้งกอนในป ค.ศ. 2012 ประมาณรอยละ 34 จัดอยูในอันดับที่ 6 ของโลก มีจํานวนสถาบันการศึกษาที่จัดการเรียนการสอน ภาษาญี่ปุนอยู 606 แหง เพิ่มขึ้นจากการสํารวจ ครั้งลาสุดประมาณรอยละ 32 และมีจํานวน ผูสอนภาษาญี่ปุนทั้งสิ้น 1,911 คน จัดอยูใน อันดับที่ 7 ของโลกซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่สํารวจ ครั้งลาสุดประมาณรอยละ 38 อยางไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากผลการสอบวัดความถนัดทาง วิชาการและวิชาชีพ (Professional Aptitude Test: PAT) ที่จัดสอบโดยสถาบันทดสอบทาง การศึกษาแหงชาติ (สทศ.) ในรอบ 2 ปที่ผานมานี้

จะเห็นไดวา คะแนนเฉลี่ยในรายวิชาภาษาญี่ปุน อยูในระดับที่คอนขางตํ่า คืออยูในชวง 90.01 - 120 คะแนน จากคะแนนเต็มทั้งหมด 300 คะแนน (National Institute of Educational Testing

(5)

Service, 2016, 2017) สถาบันการศึกษา จึงมีความจําเปนตองเสริมสรางประสิทธิภาพ การเรียนรูเพื่อใหเกิดประโยชนสูงสุดตอผูเรียน

จากการสํารวจของ Japan Foundation ที่ดําเนินการเมื่อปค.ศ.2015 พบวา กรุงเทพมหานคร เปนจังหวัดที่มีจํานวนสถาบันการศึกษาที่จัด การเรียนการสอนภาษาญี่ปุน เฉพาะในระดับ มัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสถาบันการศึกษา ของรัฐและเอกชนมีจํานวนถึงกวา 75 แหง อีกทั้ง ยังมีจํานวนผูเรียนภาษาญี่ปุนในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลายอีกกวา 8,025 คน จากจํานวนผูเรียน ภาษาญี่ปุนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ทั่วประเทศ 58,348 คน ซึ่งมีจํานวนมากเปน อันดับที่ 1 จากทั้งหมด 64 จังหวัดที่มีสถาบัน การศึกษาซึ่งจัดการเรียนการสอนภาษาญี่ปุน ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย การที่กรุงเทพ- มหานคร มีจํานวนผูเรียนภาษาญี่ปุนในระบบ โรงเรียนมากเปนอันดับตน ๆ ของประเทศ จึงมี

ความจําเปนที่สถาบันการศึกษาจะตองปรับปรุง พัฒนามาตรฐานในการจัดการเรียนการสอน ใหกาวหนายิ่งขึ้น

จากที่กลาวมานี้ ผูวิจัยจึงไดมุงที่จะ ศึกษาความสัมพันธระหวางกลวิธีการเรียนรู

เชิงอภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษา ญี่ปุนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในเขต กรุงเทพมหานคร ผลที่ไดจากการวิจัยในครั้งนี้

ผูวิจัยเห็นวา อาจเปนประโยชนตอสถานศึกษา ในอันที่จะชวยใหสามารถออกแบบหลักสูตร กิจกรรมการเรียนการสอน รวมถึงสื่อการเรียน การสอน ใหสอดรับกับความสนใจ ความตองการ ความสามารถ ความถนัด รวมถึงเปาหมายของ ผูเรียน เพื่อใหการเรียนการสอนภาษาญี่ปุน มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น

วัตถุประสงคของการวิจัย

1. เพื่อศึกษาการใชกลวิธีการเรียนรู

เชิงอภิปญญาในการเรียนรูภาษาญี่ปุนของ ผูเรียนชาวไทยระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตกรุงเทพมหานคร

2. เพื่อวิเคราะหความสัมพันธระหวาง กลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนรูภาษาญี่ปุนของผูเรียนชาวไทยระดับ ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตกรุงเทพมหานคร ขอบเขตของการวิจัย

การวิจัยนี้ มุงศึกษาเฉพาะกลุมตัวอยาง จากประชากรที่เปนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 4 ซึ่งกําลังศึกษาอยูในแผนการเรียนศิลป- ภาษาญี่ปุนของโรงเรียนรัฐบาล สังกัดสํานักงาน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในเขตกรุงเทพมหานคร

(6)

ระเบียบวิธีวิจัย

เนื่องจากงานวิจัยชิ้นนี้มุงศึกษาถึง ความสัมพันธระหวางการใชกลวิธีการเรียนรูเชิง อภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษา ญี่ปุน ผูวิจัยจึงไดเลือกใชระเบียบวิธีการวิจัย เชิงปริมาณควบคูกับระเบียบวิธีการวิจัยเชิง คุณภาพ โดยมีวิธีการในแตละขั้นตอน ดังนี้

1. กําหนดขนาดกลุมตัวอยางและ สุมตัวอยางจากประชากร เนื่องจากการวิจัยนี้

มุงศึกษากลุมตัวอยางจากประชากรที่เปนนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งกําลังศึกษาอยูใน แผนการเรียนสายศิลป-ภาษาญี่ปุนของโรงเรียน รัฐบาลสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่มีที่ตั้งอยูในกรุงเทพมหานคร (ในที่นี้เลือกใชนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เนื่องจากเปนชั้นปเริ่มตนในการเรียนภาษาญี่ปุน เปนวิชาบังคับตามหลักสูตรชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลาย) ผูวิจัยจึงไดกําหนดขนาดกลุมตัวอยาง และสุมตัวอยาง โดยในขั้นแรกนั้น ผูวิจัยไดสํารวจ รายชื่อโรงเรียนที่เปดการเรียนการสอนสายศิลป-

ภาษาญี่ปุนในกรุงเทพมหานครจากฐานขอมูล ออนไลนของ Japan Foundation (2017) จากนั้น จึงนํามาคัดแยกใหเหลือเฉพาะโรงเรียนรัฐบาล ในสังกัด สพฐ. ซึ่งพบวามีทั้งหมด 49 โรงเรียน ในเขตกรุงเทพมหานครที่เปดการเรียนการสอน สายศิลป-ภาษาญี่ปุนอยูในขณะนี้ ขั้นตอมา ผูวิจัยไดตรวจสอบขอมูลกับทางโรงเรียนใน สวนของจํานวนนักเรียน แลวจึงไดกําหนดกลุม ตัวอยางจากประชากรทั้งสิ้น 1,545 คน โดยใช

สูตรการคํานวณหากลุมตัวอยางของ Yamane (1973) ที่ระดับความคลาดเคลื่อน 0.05 ไดจํานวน กลุมตัวอยางขั้นตํ่า 317 คน ในขั้นสุดทาย ผูวิจัย ไดเลือกโรงเรียนโดยใชวิธีสุมอยางงายดวยการ จับสลาก ไดจํานวนโรงเรียนที่เปนกลุมตัวอยาง ทั้งสิ้น 11 โรงเรียน จํานวนนักเรียนที่เปนกลุม ตัวอยาง รวม 323 คน

2. เก็บและรวบรวมขอมูล เมื่อไดโรงเรียน ที่เปนกลุมตัวอยางพรอมกับจํานวนนักเรียน กลุมตัวอยางแลว ผูวิจัยจึงไดดําเนินการจัดทํา แบบสอบถาม ซึ่งเปนเครื่องมือวิจัยหลักสําหรับ กรอบแนวคิดของการวิจัย

ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย (ปรับจาก Ellis, 1994) กลวิธีการเรียนรู

(learning strategies) - กลวิธีทางตรง ไดแก กลวิธีการจํา กลวิธี

การรูคิด กลวิธีการทดแทน

- กลวิธีทางออม ไดแก กลวิธีเชิงอภิปญญา กลวิธีดานอารมณ กลวิธีดานสังคม

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู

(learning achievement) - ระดับคะแนน

- ความสําเร็จในการเรียน

(7)

การเก็บขอมูลในครั้งนี้ แบบสอบถามที่ผูวิจัย ไดจัดทําขึ้นนั้นประกอบดวย 3 สวน ไดแก

สวนแรก เปนขอมูลสวนบุคคลของผูตอบ แบบสอบถาม ประกอบดวย เพศ โรงเรียน คะแนนรวมในรายวิชาภาษาญี่ปุนจากคะแนนเต็ม 100 คะแนนในภาคเรียนที่ผานมา ประสบการณ

การเรียนภาษาญี่ปุนกอนที่จะขึ้นชั้นมัธยม ศึกษาตอนปลาย และเหตุผลที่เลือกเรียนใน แผนการเรียนสายศิลป-ภาษาญี่ปุน สวนที่สอง เปนขอมูลเกี่ยวกับการใชกลวิธีการเรียนรูเชิง อภิปญญาในการเรียนภาษาญี่ปุน ลักษณะของ แบบสอบถามในสวนนี้เปนแบบมาตราสวน ประมาณคา ซึ่งผูวิจัยไดดัดแปลงจาก แบบสอบถามวาดวยการใชกลวิธีการเรียนรู

ภาษาของ Oxford (1990) (ใชเฉพาะสวนที่

เกี่ยวของกับกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา) และ แบบสอบถามเกี่ยวกับการใชกลวิธีการเรียนรู

เชิงอภิปญญาของ Turan, Demiral & Sayek (2009) มีจํานวนทั้งสิ้น 19 ขอ และสวนที่สาม เปนการสอบถามความเขาใจและความคิดเห็น ของนักเรียนเกี่ยวกับกลวิธีการเรียนรูเชิง อภิปญญาเพื่ออภิปรายและยืนยันผลการศึกษา เชิงปริมาณ ประกอบดวยคําถามปลายเปด 2 ขอ เมื่อดําเนินการจัดทําเครื่องมือวิจัยเรียบรอยแลว ผูวิจัยจึงไดดําเนินการทดสอบเครื่องมือวิจัย กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 จํานวน 20 คน ผลปรากฏวาคาความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม ทั้งฉบับเทากับ 0.94 เมื่อไดปรับปรุงเครื่องมือ วิจัยเรียบรอยแลว ผูวิจัยจึงไดสงหนังสือ ขออนุญาตเขาพื้นที่เพื่อเก็บขอมูลไปตาม โรงเรียนกลุมตัวอยางทั้ง 11 โรงเรียน นอกจาก

การเก็บขอมูลเชิงปริมาณโดยใชแบบสอบถาม ในการเขาพื้นที่เพื่อเก็บขอมูลในโรงเรียน กลุมตัวอยาง ผูวิจัยยังไดสังเกตการจัดการเรียน การสอนอยางมีสวนรวมในชั้นเรียนจริง ทั้งยังได

ดําเนินการสัมภาษณนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนในระดับสูงเพื่ออภิปรายและยืนยันผล การศึกษาเชิงปริมาณอีกชั้นหนึ่ง โดยผูใหขอมูลหลัก มีจํานวนทั้งสิ้น 32 คนจากทั้งหมด 11 โรงเรียน

3. วิเคราะหขอมูล หลังจากที่ผูวิจัย ดําเนินการเก็บขอมูลเรียบรอยแลว ไดนําขอมูล ทั้งนั้นมาวิเคราะหดวยโปรแกรมสําเร็จรูปทางสถิติ

โดยที่ขอมูลเบื้องตนของผูตอบแบบสอบถาม ไดแก จํานวนผูตอบแบบสอบถาม คะแนน รายวิชาภาษาญี่ปุน ประสบการณการเรียน ภาษาญี่ปุนกอนขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และเหตุผลที่เลือกเรียนในแผนการเรียนศิลป- ภาษาญี่ปุน รวมถึงระดับการใชกลวิธีการเรียนรู

เชิงอภิปญญา ไดนํามาวิเคราะหโดยใชสถิติ

เชิงพรรณนา ไดแก คาเฉลี่ยและคารอยละ สําหรับ ระดับการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา มีการ แปลผลดังนี้

4.21 - 5.00 หมายถึง มีการใชกลวิธี

ในระดับสูงมาก

3.41 - 4.20 หมายถึง มีการใชกลวิธี

ในระดับสูง

2.61 - 3.40 หมายถึง มีการใชกลวิธี

ในระดับปานกลาง

1.81 - 2.60 หมายถึง มีการใชกลวิธี

ในระดับตํ่า

1.00 - 1.80 หมายถึง มีการใชกลวิธี

ในระดับตํ่ามาก

(8)

สวนขอมูลเกี่ยวกับความสัมพันธระหวาง การใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญากับผลสัมฤทธิ์

ทางการเรียนรูภาษาญี่ปุน ผูวิจัยไดนํามา วิเคราะหโดยใชสถิติเชิงอนุมานเพื่อใชในการ ทดสอบสมมติฐาน ในที่นี้ ผูวิจัยไดเลือกใชการ วิเคราะหหาคาสหสัมพันธเพียรสัน เพื่อหาคา ความสัมพันธระหวางขอมูลเชิงปริมาณทั้งสองชุด หากคาสหสัมพันธมีคาเปนบวกตั้งแต 0.01 จนถึง 1 หมายถึงขอมูลทั้งสองชุดมีความสัมพันธ

ไปในทางเดียวกัน หากคาสหสัมพันธมีคาเปนศูนย

ถือวาขอมูลทั้งสองชุดไมมีความสัมพันธกัน แตหาก คาสหสัมพันธมีคาเปนลบตั้งแต -0.01 จนถึง -1 หมายความวาความสัมพันธของขอมูลทั้งสองชุด เปนไปในทิศทางตรงกันขาม ทั้งนี้ กําหนดระดับ นัยสําคัญทางสถิติที่ 0.01 และ 0.05 โดยแปลผล คาสหสัมพันธตามเกณฑของ Evans (1996) ดังนี้

ตั้งแต 0.80 ขึ้นไป หมายถึง ความสัมพันธ

อยูในระดับสูงมาก

0.60 - 0.79 หมายถึง ความสัมพันธ

อยูในระดับสูง

0.40 - 0.59 หมายถึง ความสัมพันธ

อยูในระดับปานกลาง

0.20 - 0.39 หมายถึง ความสัมพันธ

อยูในระดับตํ่า

ตํ่ากวา .20 หมายถึง ความสัมพันธ

อยูในระดับตํ่ามาก

สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย สรุปผลการวิจัย

จากการเก็บขอมูลในโรงเรียน กลุมตัวอยางทั้ง 11 โรงเรียน ขอมูลเบื้องตน

เกี่ยวกับผูตอบแบบสอบถาม พบวาผูตอบ แบบสอบถามเปนเพศหญิงมากกวาเพศชาย โดยเพศหญิง มีจํานวน 219 คน คิดเปน รอยละ 67.8 สวนเพศชายมีจํานวน 104 คน คิดเปนรอยละ 32.2 เมื่อจําแนกตามประสบการณ

การเรียนภาษาญี่ปุนกอนขึ้นชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลาย ผูตอบแบบสอบถามสวนใหญ

ไมเคยเรียนภาษาญี่ปุนมากอน จํานวน 223 คน คิดเปนรอยละ 69.0 สวนผูตอบแบบสอบถาม ที่เคยเรียนภาษาญี่ปุนมากอนมีจํานวน 100 คน คิดเปนรอยละ 31.0 ผูที่เคยเรียนภาษาญี่ปุน มากอน สวนใหญเรียนภาษาญี่ปุนมาเปนเวลา 1 ป คิดเปนรอยละ 39.0 เหตุผลที่เลือกเรียน ในสายศิลป-ภาษาญี่ปุนที่ผูตอบแบบสอบถาม เลือกตอบมากที่สุด คือ สนใจในภาษาญี่ปุน มีผูตอบจํานวน 233 คน คิดเปนรอยละ 72.1 สวนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษาญี่ปุนของ ผูตอบแบบสอบถามนั้น จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน คะแนนสูงสุดคือ 99 คะแนน คะแนนตํ่าสุดคือ 21 คะแนน คะแนนเฉลี่ย อยูในระดับปานกลาง ( = 74.31) สวนเบี่ยงเบน มาตรฐานเทากับ 12.96

ในสวนของผลการวิจัยตามวัตถุประสงค

การวิจัย วัตถุประสงคขอที่ 1 เพื่อศึกษาการใช

กลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาในการเรียนรู

ภาษาญี่ปุนของผูเรียนชาวไทยระดับมัธยม ศึกษาตอนปลายในเขตกรุงเทพมหานคร พบวา กลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาทั้ง 19 วิธียอย มีระดับการใชที่แตกตางกันดังแสดงในตาราง ตอไปนี้

(9)

ตารางที่ 1 ระดับการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาในการเรียนภาษาญี่ปุน

กลวิธียอย

1. ขาพเจาพยายามหาวิธีการตาง ๆ เพื่อเรียนรูภาษาญี่ปุน

2. ขาพเจาเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตนเองที่สุดในการเรียนรูภาษาญี่ปุน 3. ขาพเจาสังเกตขอผิดพลาดในการใชภาษาญี่ปุน

และพยายามแกไขขอผิดพลาดนั้น

4. ขาพเจาแกปญหาที่พบในการเรียนรูภาษาญี่ปุน

5. ขาพเจาปรับเปลี่ยนวิธีการแกปญหาในการเรียนรูภาษาญี่ปุน อยางตอเนื่อง

6. ขาพเจาตั้งใจฟงเมื่อมีคนพูดภาษาญี่ปุน

7. ขาพเจาหาวิธีปรับปรุงตนเองใหเปนผูเรียนภาษาญี่ปุนที่ดี

8. ขาพเจาจัดตารางเวลาใหมีเวลาเพียงพอตอการเรียนภาษาญี่ปุน 9. ขาพเจาวางแผนที่จะเลือกใชแหลงขอมูลและสื่อการเรียนรูภาษาญี่ปุน ที่เหมาะสมกับตนเอง

10. ขาพเจาจัดลําดับความสําคัญของเปาหมายในการเรียนรูภาษาญี่ปุน 11. ขาพเจาหาโอกาสในการพูดภาษาญี่ปุนเทาที่จะทําได

12. ขาพเจาหาโอกาสในการอานภาษาญี่ปุนเทาที่จะทําได

13. ขาพเจาใชแหลงขอมูลและสื่อการเรียนรูที่จําเปนและเหมาะสมกับตนเอง ในการเรียนรูภาษาญี่ปุน

14. ขาพเจาประเมินวิธีการเรียนรูเพื่อตรวจสอบวาวิธีนั้นชวยใหขาพเจา เรียนรูภาษาญี่ปุนไดดีหรือไม

15. ขาพเจามีเปาหมายที่ชัดเจนในการเรียนรูภาษาญี่ปุน 16. ขาพเจาตระหนักถึงความกาวหนาในการเรียนรูภาษาญี่ปุน 17. หลังจากที่ไดทําการบานหรืองานที่ไดรับมอบหมายในชั้นเรียน ขาพเจาประเมินตนเองวาไดเรียนรูเนื้อหาในสวนนั้น ๆ อยางสมบูรณ

แลวหรือยัง

18. ขาพเจาประเมินวาไดบรรลุเปาหมายในการเรียนรูภาษาญี่ปุนแลวหรือยัง 19. หลังจากที่บรรลุวัตถุประสงคแลว ขาพเจาแสวงหาเปาหมายใหม ๆ ในการเรียนรูภาษาญี่ปุน

เฉลี่ยการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาโดยรวม

3.563.80 3.66 3.613.34

4.153.87 3.363.69

3.703.59 3.723.67

3.32 3.733.81 3.33

3.173.53

3.61

.76.79 .83 .83.77

.80.76 .91.89

.87.99 .95.86

.96 .99.82 .93

.96.95

.55

สูงสูง สูง ปานกลางสูง

สูงสูง ปานกลาง

สูง สูงสูง สูงสูง

ปานกลาง สูงสูง ปานกลาง

ปานกลาง สูง สูง S.D. การแปลผล

จากตารางที่ 1 แสดงใหเห็นวา ผูเรียน ภาษาญี่ปุนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานครใชกลวิธีการ เรียนรูเชิงอภิปญญาในระดับสูง โดยเฉพาะ

กลวิธียอยขอที่ 6 คือการตั้งใจฟงเมื่อมีผูพูด ภาษาญี่ปุน ซึ่งเปนกลวิธียอยที่มีคาเฉลี่ยสูงกวา กลวิธียอยขออื่น ๆ

(10)

สวนผลการวิจัยตามวัตถุประสงคในขอ ที่ 2 เพื่อวิเคราะหความสัมพันธระหวางกลวิธี

การเรียนรูเชิงอภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนรูภาษาญี่ปุนของผูเรียนชาวไทยระดับชั้น

มัธยมศึกษาตอนปลายในเขตกรุงเทพมหานคร ผลปรากฏวา ระดับการใชกลวิธีการเรียนรูเชิง อภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษา ญี่ปุนมีความสัมพันธดังแสดงในตารางที่ 2

กลวิธียอย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู

r 0.39**

0.35**

0.33**

0.19**

0.18**

0.27**

0.26**

0.24**

0.26**

0.31**

0.22**

0.36**

0.23**

0.15**

0.30**

0.39**

0.24**

0.29**

0.23**

0.44**

ตํ่าตํ่า ตํ่า ตํ่ามาก ตํ่ามาก ตํ่าตํ่า ตํ่าตํ่า

ตํ่าตํ่า ตํ่าตํ่า

ตํ่ามาก ตํ่าตํ่า ตํ่า ตํ่าตํ่า

ปานกลาง การแปลผล 1. ขาพเจาพยายามหาวิธีการตาง ๆ เพื่อเรียนรูภาษาญี่ปุน

2. ขาพเจาเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตนเองที่สุดในการเรียนรูภาษาญี่ปุน 3. ขาพเจาสังเกตขอผิดพลาดในการใชภาษาญี่ปุน และพยายามแกไข ขอผิดพลาดนั้น

4. ขาพเจาแกปญหาที่พบในการเรียนรูภาษาญี่ปุน

5. ขาพเจาปรับเปลี่ยนวิธีการแกปญหาในการเรียนรูภาษาญี่ปุนอยางตอเนื่อง 6. ขาพเจาตั้งใจฟงเมื่อมีคนพูดภาษาญี่ปุน

7. ขาพเจาหาวิธีปรับปรุงตนเองใหเปนผูเรียนภาษาญี่ปุนที่ดี

8. ขาพเจาจัดตารางเวลาใหมีเวลาเพียงพอตอการเรียนภาษาญี่ปุน 9. ขาพเจาวางแผนที่จะเลือกใชแหลงขอมูลและสื่อการเรียนรูภาษาญี่ปุน ที่เหมาะสมกับตนเอง

10. ขาพเจาจัดลําดับความสําคัญของเปาหมายในการเรียนรูภาษาญี่ปุน 11. ขาพเจาหาโอกาสในการพูดภาษาญี่ปุนเทาที่จะทําได

12. ขาพเจาหาโอกาสในการอานภาษาญี่ปุนเทาที่จะทําได

13. ขาพเจาใชแหลงขอมูลและสื่อการเรียนรูที่จําเปนและเหมาะสมกับตนเอง ในการเรียนรูภาษาญี่ปุน

14. ขาพเจาประเมินวิธีการเรียนรูเพื่อตรวจสอบวาวิธีนั้นชวยใหขาพเจาเรียนรู

ภาษาญี่ปุนไดดีหรือไม

15. ขาพเจามีเปาหมายที่ชัดเจนในการเรียนรูภาษาญี่ปุน 16. ขาพเจาตระหนักถึงความกาวหนาในการเรียนรูภาษาญี่ปุน

17. หลังจากที่ไดทําการบานหรืองานที่ไดรับมอบหมายในชั้นเรียน ขาพเจา ประเมินตนเองวาไดเรียนรูเนื้อหาในสวนนั้น ๆ อยางสมบูรณแลวหรือยัง 18. ขาพเจาประเมินวาไดบรรลุเปาหมายในการเรียนรูภาษาญี่ปุนแลวหรือยัง 19. หลังจากที่บรรลุวัตถุประสงคแลว ขาพเจาแสวงหาเปาหมายใหม ๆ ในการเรียนรูภาษาญี่ปุน

เฉลี่ยการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาโดยรวม

ตารางที่ 2 ความสัมพันธระหวางระดับการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา กับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนรูภาษาญี่ปุน

**มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01

(11)

จากตารางที่ 2 จะเห็นไดวา กลวิธียอย ในกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญามีความสัมพันธกับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษาญี่ปุนเปนรายกลวิธี

โดยมากจะอยูในระดับตํ่าอยางมีนัยสําคัญทาง สถิติที่ 0.01 ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธระหวาง คาเฉลี่ยการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา โดยภาพรวม กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูภาษา ญี่ปุนอยูในระดับปานกลาง (r = 0.44) อยางมี

นัยสําคัญทางสถิติที่ 0.01 อาจกลาวไดวา กลวิธี

การเรียนรูเชิงอภิปญญาโดยภาพรวมมีผลตอ การเรียนรูภาษาญี่ปุนพอสมควร แตกลวิธียอย บางประการแทบไมมีความสัมพันธกับการเรียนรู

ภาษาญี่ปุน แมผูเรียนภาษาญี่ปุนไมเลือกวิธีนั้น มาปฏิบัติก็ไมมีผลตอการเรียนรูภาษาญี่ปุน แตอยางใด

อภิปรายผลการวิจัย

จากผลการวิจัยสามารถนํามาอภิปราย ตามวัตถุประสงคการวิจัยไดดังนี้

เกี่ยวกับระดับการใชกลวิธีการเรียนรู

เชิงอภิปญญา จะเห็นไดวา กลวิธียอยทั้ง 19 กลวิธี

โดยมากมีการใชในระดับสูง เนื่องจากผูเรียน กลุมเปาหมายเปนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ซึ่งสวนมากไมมีพื้นฐานทางภาษาญี่ปุนมากอน จึงตองพยายามที่จะใชวิธีการตาง ๆ เพื่อใหเรียนรู

ภาษาญี่ปุนไดเหมาะสมกับความสามารถ ความถนัด และความสนใจของตน กลวิธียอย ที่มีคาเฉลี่ยการใชมากที่สุด คือ การตั้งใจฟง เมื่อมีคนพูดภาษาญี่ปุน ( = 4.15) เหตุผลที่

ผูเรียนกลุมเปาหมายใชวิธีนี้มากที่สุด ผูวิจัย คาดวา จากการใหขอมูลผานการสัมภาษณของ นักเรียนกลุมตัวอยาง นอกจากการเลือกใชสื่อ

แบบดั้งเดิม เชน แบบฝกฟงในตําราเรียน พวกเขา ยังเลือกที่จะฝกฟงภาษาญี่ปุนจากสื่อแบบใหม

ไมวาจะเปนเพลงภาษาญี่ปุน หรือภาพยนตร

การตูนแอนิเมชั่นเสียงพากยภาษาญี่ปุน ซึ่งเปน สื่อที่เขาถึงเด็กและเยาวชนในชวงวัยเดียวกัน กับผูเรียนกลุมเปาหมายไดเปนอยางดี นอกจาก ชวยเพิ่มพูนทักษะการฟงภาษาญี่ปุนแลว ยังชวย ใหผูเรียนกลุมเปาหมายเพิ่มพูนความรูเกี่ยวกับ คําศัพทและไวยากรณภาษาญี่ปุนไดอีกดวย จึงอาจกลาวไดวา การใชสื่อที่เหมาะสมกับชวงวัย ของผูเรียนจะชวยชักนําใหผูเรียนมีความสนใจ ที่จะเรียนรูและขยายขอบเขตของการเรียนรู

ใหกวางขวางออกไปได สวนกลวิธียอยที่มีคาเฉลี่ย การใชนอยที่สุด คือ การประเมินตนเองหลังเรียนจบ เนื้อหาในแตละสวนวาไดบรรลุเปาหมายของ การเรียนแลวหรือยัง ( = 3.17) จากการเก็บ ขอมูลดวยการสังเกตการณและการสัมภาษณ

กลุมตัวอยาง ผูวิจัยพบวา เนื่องจากชั้นมัธยม ศึกษาปที่ 4 เปนชั้นปแรกที่เริ่มเรียนภาษาญี่ปุน เปนวิชาบังคับตามหลักสูตรแกนกลาง ผูเรียน สวนมากไมเคยเรียนภาษาญี่ปุนมากอนขึ้นชั้น มัธยมศึกษาตอนปลาย เปาหมายในการเรียนรู

ภาษาญี่ปุนจึงอาจจะยังไมชัดเจน นอกจากนั้น เหตุผลที่ผูเรียนกลุมเปาหมายเลือกเรียน สายศิลป-ภาษาญี่ปุนที่มีผูเลือกตอบมากที่สุด คือ สนใจในภาษาญี่ปุน ผูเรียนกลุมเปาหมาย จึงพยายามที่จะเรียนรูใหมากที่สุด ใหมีความรู

เพียงพอที่จะนําไปใชในระดับหนึ่ง ซึ่งสอดคลอง กับผลการศึกษาของ Fujita (2014) ที่พบวา กลวิธียอยในกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาที่

ผูเรียนภาษาญี่ปุนชาวตางชาติใชมากที่สุดคือ

(12)

การแกไขปญหาที่ผูเรียนพบในระหวางเรียน และการมุงใหความสนใจโดยตรง สวนที่แตกตาง จากผลการศึกษาของ Fujita คือ กลวิธียอย ที่ผูเรียนภาษาญี่ปุนชาวตางชาติใชนอยที่สุด คือการจัดการกับความรูสวนบุคคล ซึ่งในงานวิจัย ชิ้นนี้ คือ การหาโอกาสพูดและอานภาษาญี่ปุน มีระดับการใชที่คอนขางสูง เนื่องจากโรงเรียน หลายแหงที่ผูวิจัยไดเขาพื้นที่เพื่อเก็บขอมูล มีการ จางครูผูสอนชาวญี่ปุนมาชวยครูผูสอนชาวไทย จัดการเรียนการสอนรายวิชาภาษาญี่ปุนพื้นฐาน ในสวนของทักษะการฟงและการพูด ทําใหผูเรียน ไดมีโอกาสฝกทักษะการสื่อสารกับเจาของภาษา โดยใชความรูที่เรียนมาจากครูผูสอนชาวไทย อันจะเปนผลดีตอการนําความรูและทักษะไปใช

ประโยชนในอนาคต

ในสวนของการใชกลวิธีการเรียนรู

เชิงอภิปญญาในภาพรวม คาเฉลี่ยการใชถือวา อยูในระดับที่คอนขางสูง ( = 3.61) เนื่องจาก กลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา เปนกลวิธีที่กระตุน ใหผูเรียนเกิดการเรียนรูพรอมทั้งประสาน องคความรูที่มีใหเขาเปนหมวดหมูผานวิธีการ ตาง ๆ ไมวาจะเปนการวางแผนการเรียนรูให

เหมาะสมกับตนเอง การเลือกสื่อการเรียนรู

ที่เหมาะสมกับระดับความสามารถ ความถนัด และความสนใจ การรับผิดชอบและควบคุม ตนเองในการเรียน หรือการประเมินตนเองกอน และหลังเรียน ซึ่งมีบทบาทในการที่จะชวยเสริม กลวิธีการเรียนรูอื่น ๆ เชน กลวิธีการจํา กลวิธี

การรูคิด ใหมีประสิทธิภาพมากขึ้น แตกตางจาก ผลการศึกษาของ ไพลิน กลิ่นเกษร (Klinkesorn, 2012) ที่ศึกษาเกี่ยวกับการใชกลวิธีการเรียนรู

ภาษาญี่ปุนโดยภาพรวมของผูเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนปลายชาวไทย ซึ่งพบวาผูเรียน ภาษาญี่ปุนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ชาวไทยใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญาในระดับ ปานกลาง เนื่องจากในปจจุบันมีสื่อการเรียน การสอนที่ผูเรียนสามารถเลือกใชไดหลากหลาย มากขึ้น อีกทั้งผูเรียนยังสามารถแสวงหาความรู

ไดจากแหลงขอมูลที่หลากหลายมากขึ้นดวย จากการที่ผูวิจัยไดเก็บขอมูลจากการสัมภาษณ

รวมถึงคําถามปลายเปดเพื่อสอบถามความคิดเห็น ของกลุมเปาหมายในแบบสอบถาม กลุมตัวอยาง สวนมากใหขอมูลวา นอกจากการเรียนภาษา ญี่ปุนในชั้นเรียน พวกเขายังสามารถหาขอมูล และฝกทักษะเพิ่มเติมไดจากสื่อแขนงตาง ๆ เชน เพลง ภาพยนตร ละคร การตูนแอนิเมชัน เว็บไซตตาง ๆ แอปพลิเคชันสําหรับโทรศัพท

เคลื่อนที่ คลิปวีดีโอการสอนภาษาญี่ปุน คลิป วีดีโอรายการโทรทัศนที่ออกอากาศในประเทศ ญี่ปุนเปนภาษาญี่ปุน หรือแมกระทั่งเกม คอมพิวเตอร ผูเรียนกลุมตัวอยางใหขอมูลวา สามารถชวยเพิ่มพูนความรูเกี่ยวกับคําศัพท

และโครงสรางไวยากรณไดมากขึ้น และเมื่อศึกษา จากสื่อทางเลือกดังกลาวแลว ยังมีคําศัพทหรือ โครงสรางทางไวยากรณที่ไมเขาใจดี ก็สามารถ คนหาเพิ่มเติมได

เกี่ยวกับความสัมพันธระหวางกลวิธีการ เรียนรูเชิงอภิปญญากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู

จากกลวิธียอยทั้งหมด 19 วิธี ทั้งหมดนั้นมีความ สัมพันธในเชิงบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู

แตสวนมากมีความสัมพันธในระดับตํ่า ทั้งนี้

เนื่องจากการใชกลวิธีการเรียนรูเชิงอภิปญญา

Referensi

Dokumen terkait

This research aims at presenting a study of the English teacher who teaches the students by applying Metacognitive Strategies in her teaching process and the learners

The results of the data analysis show that the level of Arabic oral language anxiety among religious secondary school students in Malaysia in listening and speaking skills reach

Original Research Article Artikel Penelitian Orisinal The Relationship Between Peer Social Support and Academic Stress Among University Students During the COVID-19 Pandemic

Results and Discusssion This chapter discusses in detail the results of research on the Relationship between Reading Interest and Figurative Language Mastery with Short Story Writing

sustainability Article Impact of Corporate Political Activity on the Relationship Between Corporate Social Responsibility and Financial Performance: A Dynamic Panel Data Approach

Loh School of Liberal Arts and Sciences, Faculty of Arts and Social Sciences, Taylor’s University, Malaysia Abstract: This research aims to investigate the relationship between

DISCUSSION The main objective of this research was to examine a relationship between time of simple motor reaction and magnitude of rotational inertia of the reacting seg ment, which

Research Article Relationship Between Spouse Abuse and Obsessive-Compulsive Disorder and Predictors of Domestic Violence in Women Visiting Comprehensive Urban Health Service Centers in