แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งความสุข สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 2
วิทยานิพนธ์
ของ ณัฐพงษ์ น้อยโคตร
เสนอต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและพัฒนาการศึกษา
มกราคม 2565
ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งความสุข สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 2
วิทยานิพนธ์
ของ ณัฐพงษ์ น้อยโคตร
เสนอต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและพัฒนาการศึกษา
มกราคม 2565
ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
Development Guidelines of Happy Organization in School under Mahasarakham Primary Educational Service Area Office 2
Natthapong Noikotr
A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of Requirements for Master of Education (Educational Administration and Development)
January 2022
Copyright of Mahasarakham University
คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ ได้พิจารณาวิทยานิพนธ์ของนายณัฐพงษ์ น้อยโคตร แล้วเห็นสมควรรับเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชา การบริหารและพัฒนาการศึกษา ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์
(รศ. ดร. พชรวิทย์ จันทร์ศิริสิร )
ประธานกรรมการ
(รศ. ดร. บุญชม ศรีสะอาด )
อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์หลัก
(รศ. ดร. ธรินธร นามวรรณ )
กรรมการ
(ผศ. ดร. จ าเนียร พลหาญ )
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก
มหาวิทยาลัยอนุมัติให้รับวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญา การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและพัฒนาการศึกษา ของมหาวิทยาลัย มหาสารคาม
(รศ. ดร. พชรวิทย์ จันทร์ศิริสิร )
คณบดีคณะศึกษาศาสตร์
(รศ. ดร. กริสน์ ชัยมูล ) คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย
ง
บทคัดย่อ ภาษาไทย
ชื่อเรื่อง แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งความสุข สังกัดส านักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ผู้วิจัย ณัฐพงษ์ น้อยโคตร
อาจารย์ที่ปรึกษา รองศาสตราจารย์ ดร. บุญชม ศรีสะอาด
ปริญญา การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชา การบริหารและพัฒนาการศึกษา
มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีที่พิมพ์ 2565
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความ ต้องการจ าเป็นของความเป็นองค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 2) พัฒนาแนวทางสู่ความเป็นองค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะ ที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจ าเป็นของความเป็นองค์กรแห่ง ความสุขในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 กลุ่ม ตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน ในสถานศึกษาสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 จ านวน 306 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัย คือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมานค่า ระยะที่ 2 แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กร แห่งความสุข สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 และประเมิน แนวทางโดยผู้ทรงคุณวุฒิจ านวน 5 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่ง ความสุข สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความ ต้องการจ าเป็น
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน ในสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 มีความคิดเห็นต่อสภาพปัจจุบันของความเป็นองค์กรแห่งความสุข ในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ของความเป็นองค์กรแห่งความสุขใน สถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนความต้องการจ าเป็นของความเป็นองค์กรแห่งความสุข ในสถานศึกษา เรียงล าดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ 1) ด้านที่ท างานน่าอยู่ 2) ด้านความสมานฉันท์ใน
จ องค์กร 3) ด้านทัศนคติเชิงบวกต่องานที่ท า และ 4) ด้านคนท างานมีความสุข
2. แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งความสุข สังกัดส านักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ประกอบด้วย 1 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านความสมานฉันใน องค์กร 2) ด้านทัศนคติเชิงบวกต่องานที่ท า 3) ด้านที่ท างานน่าอยู่ 4) ด้านคนท างานมีความสุข ทั้ง 4 ด้าน มีแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งความสุข รวมทั้งสิ้น 27 แนวทาง โดยรวมมีความ เหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด
ค าส าคัญ : แนวทางการพัฒนา, องค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา
ฉ
บทคัดย่อ ภาษาอังกฤษ
TITLE Development Guidelines of Happy Organization in School under Mahasarakham Primary Educational Service Area Office 2
AUTHOR Natthapong Noikotr
ADVISORS Associate Professor Boonchom Srisa-ard , Ed.D.
DEGREE Master of Education MAJOR Educational
Administration and Development
UNIVERSITY Mahasarakham
University
YEAR 2022
ABSTRACT
This research aimed to; 1) study current conditions, desirable conditions, and the needs to the happy organization in school under Mahasarakham Primary Educational Service Area Office 2 and 2) develop guidelines of happy organization in school Mahasarakham Primary Educational Service Area Office 2. The research method was divided into 2 phases. Phase 1 was to study current conditions, desirable conditions, and the needs to the happy organization in school under Mahasarakham Primary Educational Service Area Office 2. The samples were 306 school administrators and teachers under Mahasarakham Primary Educational Service Area Office 2 through stratified random sampling technique and research instrument was a rating scale questionnaire. Phase 2 was to develop guidelines of the happy organization in school under Mahasarakham Primary Educational Service Area Office 2. The development guideline was evaluated by 5 experts through purposive sampling technique and research instrument was an assessment of appropriateness and feasibility of the guideline. Data were analyzed by using mean, standard deviation and Priority Needs Index Modified.
ช The results showed that;
1. The overall opinions concerning the current conditions to the happy organization in school under Mahasarakham Primary Educational Service Area Office 2 were found to be at the high level. In addition, the desirable conditions could be observed at the highest level. Furthermore, the priority need order from high to low as follow: 1) Livable workplace; 2) Solidarity in the Organization; 3) Positive attitude towards work; and 4) Workforce happiness.
2. The development guideline of the happy organization in school under Mahasarakham Primary Educational Service Area Office 2 could be established consisting of four aspects as follows: 1) Solidarity in the Organization; 2) Positive attitude towards work; 3) Livable workplace; and 4) Workforce happiness. These four aspects could be elaborated into twenty-seven detailed guidelines for developing schools into happy organizations. The degree of suitability and possibility of this guidelines were ranked at the highest level.
Keyword : Development Guidelines, Happy Organization in School
ซ
กิตติกรรมประกาศ
กิตติกรรมประกาศ
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ส าเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างสูงยิ่งจาก รองศาสตราจารย์ ดร.บุญชม ศรีสะอาด อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ รองศาสตราจารย์ ดร.พชรวิทย์
จันทร์ศิริสิร ประธานกรรมการสอบ รองศาสตราจารย์ ดร.ธรินธร นามวรรณ กรรมการสอบ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จ าเนียร พลหาญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก ที่ได้กรุณาถ่ายทอดความรู้
แนวคิด วิธีการ ค าแนะน า และตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่ยิ่ง ผู้วิจัยขอกราบ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ขอขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน ที่กรุณาตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย และได้กรุณาปรับปรุง แก้ไขข้อบกพร่อง และให้ค าแนะน าในการสร้างเครื่องมือให้
ถูกต้องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมทั้งบุคคลที่ผู้วิจัยได้อ้างอิงทางวิชาการตามที่ปรากฏในบรรณานุกรม
ขอขอบพระคุณผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 2 ทุกท่านที่ให้ความอนุเคราะห์และความสะดวกในการเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย ตลอดจนผู้บริหารสถานศึกษา และคณะครู ทุกท่านที่เป็นกลุ่มตัวอย่างที่ให้ความร่วมมือในการเก็บข้อมูล ครั้งนี้เป็นอย่างดี
ขอขอบพระคุณคณาจารย์ และเพื่อนนิสิตสาขาการบริหารและพัฒนาการศึกษา รุ่น พ.33 ทุกท่าน ที่ได้ให้ค าแนะน าและส่งเสริมก าลังใจตลอดมา นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ให้ความร่วมมือช่วยเหลืออีก หลายท่าน ซึ่งผู้วิจัยไม่สามารถกล่าวนามในที่นี้ได้หมด จึงขอขอบคุณทุกท่านเหล่านั้นไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย
ขอขอบพระคุณสมาชิกในครอบครัวทุกคนที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือและเป็นก าลังใจ ตลอดมา จนการวิจัยครั้งนี้ส าเร็จลงอย่างสมบูรณ์
คุณค่าและประโยชน์จากการวิจัยฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็นเครื่องบูชา พระคุณบิดา มารดา ครู
อาจารย์ และผู้มีพระคุณทุกท่าน ที่ให้การศึกษาอบรมสั่งสอนส่งผลให้ผู้วิจัยประสบความส าเร็จใน การศึกษาและก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
ณัฐพงษ์ น้อยโคตร
สารบัญ
หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ... ง บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ... ฉ กิตติกรรมประกาศ... ซ สารบัญ ... ฌ สารบัญตาราง ... ฎ สารบัญภาพประกอบ... ฑ
บทที่ 1 บทน า ... 1
ภูมิหลัง ... 1
ค าถามการวิจัย ... 5
ความมุ่งหมายของการวิจัย ... 5
ความส าคัญของการวิจัย ... 5
ขอบเขตของการวิจัย ... 6
นิยามศัพท์เฉพาะ ... 7
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ... 9
องค์กร ... 10
ความสุข... 23
องค์กรแห่งความสุข ... 45
แนวทางและการพัฒนาแนวทาง ... 65
แนวคิดเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ... 68
บริบทส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ... 72
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ... 79
ญ
งานวิจัยในประเทศ ... 79
งานวิจัยต่างประเทศ ... 84
กรอบแนวคิดและทฤษฎีที่ใช้ในการวิจัย ... 86
บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย ... 88
ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจ าเป็นของความเป็น องค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 2 ... 90
ระยะที่ 2 แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งความสุข สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ... 98
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ... 103
สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ... 103
ล าดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล... 103
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ... 104
บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ... 141
ความมุ่งหมายของการวิจัย ... 141
สรุปผล ... 141
อภิปรายผล ... 144
ข้อเสนอแนะ ... 151
บรรณานุกรม ... 153
ภาคผนวก... 163
ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ... 164
ภาคผนวก ข คุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ... 180
ภาคผนวก ค หนังสือขอความอนุเคราะห์ ... 186
ประวัติผู้เขียน ... 202
สารบัญตาราง
หน้า
ตาราง 1 ผลการวิเคราะห์เคราะห์องค์ประกอบขององค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา ... 56
ตาราง 2 ผลการสังเคราะห์องค์ประกอบขององค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา ... 57
ตาราง 3 สถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ... 76
ตาราง 4 จ านวนนักเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ... 76
ตาราง 5 จ านวนครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ... 77
ตาราง 6 จ านวนประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ... 91
ตาราง 7 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ขององค์กรแห่ง ความสุขในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 โดยรวม และรายด้าน ... 104
ตาราง 8 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนา แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์แห่งความสุขในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ด้านความสมานฉันท์ในองค์กร รายข้อ ... 105
ตาราง 9 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนา แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์แห่งความสุขในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ด้านทัศนคติเชิงบวกต่องานที่ท า รายข้อ ... 106
ตาราง 10 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการ พัฒนาแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์แห่งความสุขในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ด้านที่ท างานน่าอยู่ รายข้อ ... 108
ตาราง 11 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ขององค์กร แห่งความสุขในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ด้าน คนท างานมีความสุข รายข้อ ... 109
ฏ ตาราง 12 แสดงค่าเฉลี่ยสภาพปัจจุบัน ค่าเฉลี่ยสภาพที่พึงประสงค์ขององค์แห่งความสุขใน
สถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ค่าดัชนีความ ต้องการจ าเป็น (PNImodified) และล าดับความต้องการจ าเป็น โดยรวมและรายด้าน ... 111 ตาราง 13 แสดงค่าเฉลี่ย สภาพปัจจุบัน ค่าเฉลี่ยสภาพที่พึงประสงค์ของขององค์แห่งความสุขใน สถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ค่าดัชนีความ ต้องการจ าเป็น (PNImodified) และล าดับความต้องการจ าเป็น ด้านความสมานฉันท์ในองค์กร รายข้อ ... 112 ตาราง 14 แสดงค่าเฉลี่ย สภาพปัจจุบัน ค่าเฉลี่ยสภาพที่พึงประสงค์ของขององค์แห่งความสุขใน สถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ค่าดัชนีความ ต้องการจ าเป็น (PNImodified) และล าดับความต้องการจ าเป็น ด้านทัศนคติเชิงบวกต่องานที่ท า รายข้อ ... 113 ตาราง 15 แสดงค่าเฉลี่ย สภาพปัจจุบัน ค่าเฉลี่ยสภาพที่พึงประสงค์ของขององค์แห่งความสุขใน สถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ค่าดัชนีความ ต้องการจ าเป็น (PNImodified) และล าดับความต้องการจ าเป็น ด้านที่ท างานน่าอยู่ รายข้อ ... 115 ตาราง 16 แสดงค่าเฉลี่ย สภาพปัจจุบัน ค่าเฉลี่ยสภาพที่พึงประสงค์ของขององค์แห่งความสุขใน สถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ค่าดัชนีความ ต้องการจ าเป็น (PNImodified) และล าดับความต้องการจ าเป็น ด้านคนท างานมีความสุข รายข้อ ... 116 ตาราง 17 แสดงสรุปผลแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ... 128 ตาราง 18 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความเหมาะสม และระดับความเป็นไปได้ของ แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งความสุข สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 2 โดยรวมและรายด้าน ... 132 ตาราง 19 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการประเมินแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่
องค์กรแห่งความสุข สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ด้าน ความ สมานฉันท์ในองค์กร ... 133 ตาราง 20 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการประเมินแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่
องค์กรแห่งความสุข สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ด้านทัศนคติ
เชิงบวกต่องานที่ท า ... 134
ฐ ตาราง 21 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการประเมินแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่
องค์กรแห่งความสุข สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ด้านที่
ท างานน่าอยู่ ... 136 ตาราง 22 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการประเมินแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่
องค์กรแห่งความสุข สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ด้าน คนท างานมีความสุข ... 138 ตาราง 23 ผลการประเมินความสอดคล้อง (IOC) แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์
... 181 ตาราง 24 ค่าอ านาจจ าแนกและความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม ... 183
สารบัญภาพประกอบ
หน้า ภาพประกอบ 1 องค์ประกอบขององค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา... 58 ภาพประกอบ 2 กรอบแนวคิดการวิจัยแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งความสุข สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ... 87 ภาพประกอบ 3 ระยะการวิจัย ขั้นตอนการด าเนินการ และผลที่คาดหวัง ... 89
บทที่ 1 บทน า ภูมิหลัง
ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทั้ง ภายนอกและภายในประเทศ ที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางการพัฒนาประเทศในอนาคต รัฐบาลจึง ก าหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาที่เหมาะสม ขณะที่การทบทวนผลการพัฒนาประเทศในระยะที่ผ่านมา สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการประเทศที่
ไม่เอื้อต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว ทั้งมีความเสี่ยงในหลายมิติที่อาจท าให้ปัญหาต่าง ๆ รุนแรง มากขึ้น การพัฒนาประเทศในอนาคตจึงจ าเป็นต้องเตรียมพร้อมและสร้างภูมิคุ้มกันของประเทศให้
เข้มแข็ง ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ให้สามารถปรับตัวรองรับผลกระทบจากการ เปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมั่นคง ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ซึ่งหลักการส าคัญประการหนึ่งของแผนฉบับนี้คือ การยึด “คนเป็นศูนย์กลาง การพัฒนา” มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตและสุขภาวะที่ดีส าหรับคนไทย พัฒนาคนให้มีความเป็นคนที่
สมบูรณ์ มีคุณธรรมจริยธรรม มีระเบียบวินัยค่านิยมที่ดี มีจิตสาธารณะ และมีความสุข โดยมีสุขภาวะ และสุขภาพที่ดี ครอบครัวอบอุ่น ตลอดจนเป็นคนเก่งที่มีทักษะความรู้ความสามารถและพัฒนาตนเอง ได้ต่อเนื่องตลอดชีวิต (ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2560)
การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่าง ฉุดไม่อยู่ หรือเรียกว่าแทบจะทุกด้าน มนุษย์ในโลกปัจจุบันจึงต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันต่อการแข่งขัน เพื่อความอยู่รอด หลายคนคงจะเคยได้ยินค าพูดที่ว่างานคือชีวิต ชีวิตคืองาน ซึ่งท าให้รู้สึกได้ว่า การท างานมีความส าคัญมากในการด าเนินชีวิต เนื่องจากการท างานสามารถท าให้เกิดรายได้ในการ เลี้ยงชีวิตและด้วยความจ าเป็นดังกล่าว ท าให้ชีวิตของคนหลาย ๆ คน ต้องท างานกัน 1 ใน 3 ของ เวลาในชีวิตประจ าวันหรือมากกว่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าการท างานที่มากขึ้นท าให้การใช้ชีวิตในด้านอื่น ๆ ลดน้อยลง อาจจะส่งผลให้คนท างานมีความสุขในการท างานน้อยลง ด้วยเหตุนี้ผู้บริหารและองค์กร หลายแห่งจึงหันมาให้ความส าคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและใส่ใจในการสร้างบรรยากาศในที่
ท างานให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มความสุขในการท างาน ลดการลาออกของพนักงาน เนื่องจากอัตราการ ลาออกที่สูงจะส่งผลที่ตามมาคือ การต้องเสียเงินในการจัดหาจัดจ้างอบรมพนักงานใหม่และยิ่งเป็น ภาคธุรกิจที่มีคู่แข่ง การลาออกของพนักงานนั้นอาจจะท าให้เกิดภาวะสมองไหลหรือการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลงที่ท างาน แต่ยังท างานอยู่ในสายงานหรืออาชีพเดิม จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายส าหรับ
2 ผู้บริหารยุคใหม่ที่จะท าอย่างไรให้คนท างานอยู่กับองค์กรนานขึ้น ค าตอบที่หลายองค์กรได้คือ
ต้องท าสถานที่ท างานให้มีความสุขและ Happy Workplace ก็เลยเกิดขึ้นในองค์กรภาครัฐและ ภาคเอกชน (ทิพวัลย์ รามรง, 2557)
ในการท างานในองค์กรที่มุ่งเน้นผลงานเพียงอย่างเดียว ก่อให้เกิดปัญหาหลายประการ โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากคน หรือพนักงาน โดยเฉพาะความเบื่อหน่ายงาน ความเครียดในการ ท างาน การท างานตามค าสั่ง ความไม่รักองค์กร (ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์, 2559) ซึ่งสอดคล้องกับ Diener (2003 อ้างอิงมาจาก ธิดารักษ์ ลือชา และกฤษฎากรณ์ ยูงทอง, 2560) ที่กล่าวว่าในการ ท างานเมื่อเกิดอารมณ์ในทางลบ ซึ่งเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นทุกข์กับสิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นในที่ท างาน เช่น คับข้องใจ เบื่อหน่าย เศร้าหมอง ไม่สบายใจ เมื่อเห็นการกระท าที่ไม่ซื่อสัตย์หรือไม่ถูกต้อง อยากปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น เพื่อสนองความต้องการของตนให้มีความสุข และ Sharon Lee (2016) ได้กล่าวว่า พยายามหลีกเลี่ยงคนที่ขี้บ่นและมองโลกในแง่ลบอยู่เสมอ การอยู่ใกล้พวกเขาอาจส่งผลต่อ อารมณ์และลักษณะงานโดยรวมของคุณ การท างานที่หนักเกินไปและแข่งขันกับเพื่อนร่วมงาน คนอื่น ๆ รอบตัวคุณ นั่นจะท าให้คุณเครียดมากขึ้นและท าให้คุณไม่มีความสุขกับตัวเองและงานของ คุณ และการคิดถึงปัญหาส่วนตัวในที่ท างานจะไม่ส่งผลดีต่อตัวคุณเอง อาจท าให้เกิดความไม่พอใจ และส่งผลต่ออารมณ์ของผู้อื่นได้
ความสุขเป็นพลังงานบวกอย่างหนึ่งที่ท าให้ชีวิตสนุกสนาน มีสีสันและรู้สึกได้ถึงการถูกเติม เต็มในชีวิต ในมิติของการท างานก็เช่นเดียวกัน คนที่ท างานอย่างมีความสุขก็อยากจะมาท างานทุกวัน และรู้สึกได้ถึงคุณค่าของงานที่ท านั้น ท้ายที่สุดผลสัมฤทธิ์ของงานก็มีประสิทธิภาพตามไปด้วย ความสุขจากการท างานที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมที่สุด คือ การได้ท างานในองค์กรแห่งความสุขที่มั่นคง เข้าถึงโอกาสในการพัฒนาอย่างทั่วถึง รู้สึกได้ว่าตนเองมีโอกาสเจริญก้าวหน้า ผู้บังคับบัญชามี
ธรรมาภิบาล มีเพื่อนร่วมงานที่เป็นกัลยาณมิตร ได้รับสวัสดิการที่เพียงพอ และมีสวัสดิภาพจากการ ท างาน หากคนท างานได้รับสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวนี้บ่อยครั้งและต่อเนื่อง ก็จะท างานอย่างมีความสุข งานมีประสิทธิภาพ และท าให้องค์กรก้าวไปสู่การเป็น“องค์กรแห่งความสุข” (Happy Workplace) ได้ (กอปรลาภ อภัยภักดิ์, 2563)
คน คือ หัวใจขององค์กร การสร้างคนให้รวมกันเป็นองค์กรแห่งความสุข (Happy
Workplace) เป็นกระบวนการพัฒนาคนในองค์กรอย่างมีเป้าหมาย และยุทธศาสตร์ ให้สอดคล้องกับ วิสัยทัศน์ขององค์กร เพื่อให้องค์กรมีความสามารถและพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง น าพาองค์กรไปสู่
การเติบโตอย่างยั่งยืน การสร้างองค์กรแห่งความสุข มีความส าคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างสรรค์คุณภาพ ชีวิตคนท างานในองค์กร อันจะส่งผลเชิงบวกต่อเนื่องทั้งต่อองค์กร ครอบครัวของบุคลากร ตลอดจน ชุมชนและสังคมโดยรวม (ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), 2552) ในปัจจุบัน การท างานในทุกองค์กรต่างมุ่งหวังให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในงาน อันจะท าให้องค์กร
3 ประสบความส าเร็จ และบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีทรัพยากรบุคคลเป็นปัจจัยส าคัญปัจจัยหนึ่งที่จะ น ามาซึ่งความส าเร็จขององค์กร ในหลายองค์กรจึงหันมาให้ความส าคัญโดยมุ่งเน้นที่การพัฒนา ทรัพยากรบุคคลมากขึ้น ซึ่งในที่นี้ก็คือ จะท าอย่างไรให้พนักงานมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี
แล้วเกิดการท างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความรักและผูกพันต่อองค์กร ทั้งนี้ความสุขในการ ท างานจะเกิดขึ้นได้จะต้องท าให้พนักงานเห็นคุณค่าในตนเอง รับรู้ความรู้สึกมีส่วนร่วม ดังที่
Warr (1990) ได้กล่าวไว้ว่า ความสุขในการท างานเป็นความสุขที่เกิดจากภายในจิตใจของบุคคล มีการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการท างาน หรือประสบการณ์ของบุคคลในการท างาน ประกอบด้วย การรับรู้ในงาน กระตือรือร้น มีวินัยในตนเอง และรู้สึกตนเองมีคุณค่า เกิดความ ภาคภูมิใจ สอดคล้องกับท่านพุทธทาสภิกขุ (2548) ได้กล่าวไว้ว่า ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคน แสวงหา ความรู้สึกของบุคลากรในการที่จะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้เกิดความพึงพอใจและพยายามที่
จะท าให้ตนเองมีความสุข รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่าเพราะการท างาน เกิดทัศนคติที่ดีต่องาน จะเห็นได้ว่า ทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยส าคัญ เมื่อบุคคลมีความสุขก็จะท าให้องค์กรเกิดการพัฒนาได้อย่างยั่งยืน ซึ่งการที่บุคคลนั้นจะเกิดความสุขมีหลายปัจจัยด้วยกัน หนึ่งในนั้นที่ส าคัญก็คือได้รับการให้คุณค่าทาง จิตใจ ได้รับการยอมรับ ได้แสดงความคิดเห็นและความต้องการอย่างมีส่วนร่วม จนเกิดเป็น
ความพึงพอใจ ความภาคภูมิใจและมีแรงจูงใจในการปฏิบัติงานอย่างมีความสุข และประสบ ความส าเร็จได้ ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์ (2559) ได้ให้แนวคิดว่าคนท างานจะมีความสุขก็ต่อเมื่อ สามารถจัดสมดุลของความสุขของโลก 3 ใบที่ทับซ้อนกัน ได้แก่ 1) ความสุขของตนเอง 2) ความสุข ของครอบครัว และ 3) ความสุขขององค์กร/สังคม และหากจ าแนกความสุขในการท างานแล้วสามารถ แบ่งได้เป็น 8 ความสุข หรือความสุข 8 ประการ ได้แก่ การเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี มีน้ าใจช่วยเหลือผู้อื่น สามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ดี มีใจรักในการเรียนรู้ อยู่อย่างมีคุณธรรม ใช้เงินอย่างมี
เหตุผล สามารถดูแลครอบครัวได้ และเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
ด้วยเหตุนี้จึงท าให้หน่วยงานทางการศึกษาหลายแห่งให้ความสนใจเกี่ยวกับองค์กรแห่ง ความสุข โดยส านักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้มีแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตข้าราชการ ให้เกิดความผาสุก สร้างขวัญก าลังใจในการท างาน โดยพิจารณาจากบริบทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และเชื่อมโยงในเรื่องของเกณฑ์คุณภาพบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) หมวด 5 การมุ่งเน้นทรัพยากร บุคคลที่ก าหนดให้ส่วนราชการต้องให้ความส าคัญในการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานที่
ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของบุคลากรให้ดีขึ้น (ส านักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, 2563) เช่นเดียวกัน กับส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3 ก็ได้ให้ความส าคัญกับองค์กรแห่ง ความสุขด้วยเช่นกัน โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพอนามัยเพื่อองค์กรแห่งความสุข (Happy Workplace) เพื่อให้บุคลากรทางการศึกษาลดความตึงเครียดจากการท างาน มีการส่งเสริมพัฒนา สุขภาพกายควบคู่กับสุขภาพจิต เพื่อลดความขัดแย้งภายในองค์กร มุ่งเน้นให้บุคลากรในองค์กรมี
4 ความสุขในการท างาน ซึ่งความสุขที่เกิดขึ้นนั้นก่อให้เกิดกระบวนการทางความคิด ส่งผลให้งานที่ได้รับ มอบหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น (ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3, 2564)
แต่ที่ผ่านมายังพบเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับครูอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งส่งผลต่อความสุขในการท างาน ไม่ว่าจะเป็นครูถูกลิดรอนการท างาน โดยให้ท าในสิ่งที่ไม่ใช่งานหลัก คือ ต้องท างานเอกสาร รับการประเมินต่าง ๆ พาเด็กไปแข่งขัน ส่งผลให้ครูมีเวลาการสอนลดลง จากต้องสอน 200 วันต่อปี
ถูกลดการสอนไปถึง 42% หรือ 84 วัน การที่ครูไม่ได้ท าหน้าที่สอน ซึ่งเป็นงานหลักถือเป็นอันตราย มาก ท าให้ครูไม่มีความสุข เพราะไม่ได้ท างานหน้าที่โดยตรงของตนอย่างเต็มที่ (สมพงษ์ จิตระดับ, 2558) และปัญหาส าคัญอีกประการหนึ่งที่เป็นปัญอมตะของครูไทยคือด้านสวัสดิการและความเป็นอยู่
ถือเป็นปัญหาร่วมของครูทั่วประเทศ โดยครูในปัจจุบันมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในแต่ละวัน ส่วนกลางอยากให้การศึกษาของประเทศดี แต่ครูยังมีปัญหาด้านรายได้อยู่ อีกทั้งในต่างจังหวัดก็ยังพบ ครูที่เป็นหนี้สินล้นพ้นตัวมากมาย (ลิลิต วรวุฒิสุนทร, 2558) ซึ่งสอดคล้องกับ พุธรัตน์ เจริญสุข (2559) ที่กล่าวว่า ปัญหาเรื่องหนี้สินครู ก็คงต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีโครงสร้างเงินเดือนในระบบ ราชการที่โบราณจนไม่เหมาะกับสถานการณ์ในปัจจุบัน มีความแตกต่างระหว่างเงินเดือนแรกเข้า ท างานกับเงินเดือนที่พึงได้รับสูงสุดในชีวิตการท างานถึงเกือบ 10 เท่า ในขณะที่ในประเทศที่พัฒนา แล้วทั้งหลายจะพบความแตกต่างเพียง 3-4 เท่า เมื่อครูไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมที่จะสามารถ ด ารงชีพได้อย่างปกติจึงส่งผลกระทบต่อความสุขในการท างาน ปัญหาเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่ท าให้ครูไม่มีความสุขในการท างาน ยังมีปัญหาอีกมากมายที่ส่งผลต่อความสุขในการท างานของครู
ในสถานศึกษา
จากสภาพปัญหาดังกล่าวจึงท าให้ผู้วิจัยมีความสนใจ และต้องการหาแนวทางในการพัฒนา สถานศึกษาสู่องค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา ในสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 2 อย่างจริงจัง ซึ่งมุ่งเน้นการศึกษาข้อมูลจากครูและผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 โดยศึกษาองค์ประกอบขององค์กรแห่ง ความสุข 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ความสมานฉันท์ในองค์กร ทัศนคติเชิงบวกต่องานที่ท า ที่ท างาน น่าอยู่ และคนท างานมีความสุข เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 โดยมุ่งหวังให้การศึกษามีการพัฒนาเป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพและยั่งยืน
5 ค าถามการวิจัย
1. สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจ าเป็นของความเป็นองค์กรแห่ง ความสุขในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 เป็นอย่างไร
2. องค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 2 ควรเป็นอย่างไร
ความมุ่งหมายของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจ าเป็นของความเป็น องค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2
2. เพื่อพัฒนาแนวทางสู่ความเป็นองค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2
ความส าคัญของการวิจัย
1. ได้ทราบถึงสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจ าเป็นของความเป็น องค์กรแห่งความสุข สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 เพื่อจะน า ข้อมูลมาใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาองค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบุคลากรใน สถานศึกษา
2. ได้แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งความสุข สังกัดส านักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ส าหรับผู้บริหาร ผู้สนใจ และหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อน าไปใช้พัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งความสุขต่อไป
6 ขอบเขตของการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ด าเนินการตามขอบเขตการวิจัย ดังนี้
1. ขอบเขตด้านเนื้อหา
การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมุ่งศึกษาแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่องค์กรแห่งความสุข สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 โดยผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี หลักการและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในเรื่องความเป็นองค์กรแห่งความสุขทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ตามแนวคิดทฤษฎีของ Ben-Shahar (2007), ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าง เสริมสุขภาพ (สสส.) (2552), องค์การอนามัยโลก (Burton, 2010), Amabile and Kramer (2011), จุฑามาศ แก้วพิจิตร, วิชัย อุตสาหจิต และสมบัติ กุสุมาวลี (2554), ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์
และธีร์ธรรม วุฑฒิวัตรชัยแก้ว (2560), Ed Wesley (2021), กอปรลาภ อภัยภักดิ์ (2563) ได้องค์ประกอบของความเป็นองค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา 4 องค์ประกอบ ต่อไปนี้
องค์ประกอบที่ 1 ความสมานฉันท์ในองค์กร องค์ประกอบที่ 2 ทัศนคติเชิงบวกต่องานที่ท า องค์ประกอบที่ 3 ที่ท างานน่าอยู่
องค์ประกอบที่ 4 คนท างานมีความสุข 2. ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
เพื่อให้สอดคล้องกับค าถามและความมุ่งหมายของการวิจัย ผู้วิจัยจึงล าดับ การน าเสนอเป็น 2 ระยะ ดังต่อไปนี้
ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจ าเป็น ของความเป็นองค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 2
1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน ในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ปีการศึกษา 2564 จ านวน 221 โรงเรียน รวมทั้งสิ้น 1,467 คน ซึ่งเป็นผู้บริหารสถานศึกษา 166 คน และ ครูผู้สอน 1,301 คน
1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้ง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และ ครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 โดยผู้วิจัยได้ก าหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างจากการใช้ตารางส าเร็จรูปของเครจซี่ และมอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970) ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจ านวน 306 คน และใช้เทคนิคการสุ่มแบบ