• Tidak ada hasil yang ditemukan

DEPLOYMENT OF ISLAMIC LAW BY ISLAMIC ORGANIZATIONS IN THAILAND : CASE STUDY AN ANNOUNCEMENT OF SHEIKHUL ISLAM ON THE DETERMINATION OF MEASURES TO PREVENT EPIDEMICS OF THE CORONAVIRUS DISEASE 2019 (COVID-19)

N/A
N/A
Protected

Academic year: 2023

Membagikan "DEPLOYMENT OF ISLAMIC LAW BY ISLAMIC ORGANIZATIONS IN THAILAND : CASE STUDY AN ANNOUNCEMENT OF SHEIKHUL ISLAM ON THE DETERMINATION OF MEASURES TO PREVENT EPIDEMICS OF THE CORONAVIRUS DISEASE 2019 (COVID-19)"

Copied!
36
0
0

Teks penuh

(1)

(COVID-19) Cheloh Khaekphong

Princess of Naradhiwas University cheloh@gmail.com

Abstract: This article is part of a research on the system of implementing Islamic law in Thailand aims to study the characteristics of the application of Islamic law during the time of the Prophet Muhammad PBUH, companions and tabi’in and the application of Islamic law by Islamic organizations in Thailand. The case of determination of measures to prevent epidemics of the coronavirus disease (COVID 2019) is documentary research and the information is collected from the provisions of the Quran, Sunnah, books or Islamic Shariah texts, announcement of Sheikhul Islam, research reports, academic articles, judgments and various rulings as well as electronic documents both primary and secondary sources by using the descriptive analysis method. The results showed that the application of Islamic law in Thailand consisted of personalization, local and national.

There are enforced the Islamic Law on Family and Inheritance officially by the court and the application of provisions to cases or situations of contemporary crisis by Sheikhul Islam, Islamic religious organizations and educational institutions. It is a systematic application of Islamic law in accordance with the provisions of the Quran, Sunnah, Ijma', Qiyas and other sources especially in the case of issuing the announcement of Sheikhul Islam about the determination of measures to prevent the spread of the coronavirus disease (COVID 2019).

It represents the heroic role of Islamic religious leaders in applying Islamic law in the midst of crisis situations and differing opinions of the Muslim community in Thailand.

Keywords: Islamic law; Islamic Organizations; Sheikhul Islam; Coronavirus 2019

บทค ัดย่อ

บทความนี)เป็นส่วนหนึ1งของการวิจัยเรื1องระบบการปรับใช ้ กฎหมายอิสลามในประเทศไทย

มีวัตถุประสงค์เพื1อศึกษาลักษณะการปรับใช ้กฎหมายอิสลามใน ยุคของนบีมุฮัมมัด เศาะฮาบะฮ์และตาบีอีน และการปรับใช ้กฎหมายอิสลามขององค์กรศาสนาอิสลามในปร ะเทศไทย

กรณีการกําหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื)อ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นการวิจัยเอกสาร

(Documentary Research)

เก็บรวบรวมข ้อมูลจากบทบัญญัติแห่งคัมภีร์อัลกุรอาน ซุนนะฮ์

หนังสือหรือตําราชะรีอะฮ์อิสลาม ประกาศจุฬาราชมนตรี

รายงานการวิจัย บทความวิชาการ รวมทั)งเอกสารอิเล็กทรอนิกส์

(2)

585

ทั)งแหล่งปฐมภูมิและทุติยภูมิ โดยใช ้วิธีวิเคราะห์เนื)อหา (Content

Analysis) ผลการวิจัยพบว่าการปรับใช ้กฎหมายอิสลามในประ เทศไทยประกอบด ้วยการปรับใช ้ในระดับบุคคล

ระดับท ้องถิ1นและระดับประเทศ

มีการบังคับใช ้กฎหมายอิสลามว่าด ้วยครอบครัวและมรดกอย่าง เป็นทางการโดยศาลและการปรับใช ้บทบัญญัติต่อกรณีหรือสถ านการณ์วิกฤติร่วมสมัยโดยจุฬาราชมนตรีและองค์กรศาสนาอิส ลามตลอดจนสถาบันการศึกษา

เป็นการปรับใช ้กฎหมายอิสลามเชิงระบบตามบทบัญญัติแห่งอัล กุรอาน ซุนนะฮ์ อิจญ์มาอฺ และกิยาส ตลอดจนแหล่งที1มาอื1นๆ เฉพาะอย่างยิ1งกรณีการออกประกาศจุฬาราชมนตรีเรื1องการกํา หนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื)อไวรัสโคโร

นา 2019 (COVID-19)

เป็นการแสดงถึงบทบาทผู ้นําทางศาสนาอิสลามอย่างกล ้าหาญ ในการปรับใช ้กฎหมายอิสลามท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติและ ความคิดเห็นที1แตกต่างของประชาคมมุสลิมในประเทศไทย คําสําค ัญ

: กฎหมายอิสลาม องค์กรศาสนาอิสลาม จุฬาราชมนตรี ไวรั

สโคโรนา 2019 บทนํา

ประเทศไทยมีประชากรส่วนหนึ1งที1นับถือศาสนาอิสลามและ มีการปรับใช ้กฎหมายอิสลามมาตั)งแต่สมัยโบราณ

โดยเฉพาะอย่างยิ1งในอาณาจักรปตานีเดิมมีการจัดตั)งสถาบันศ าสนาอิสลามเพื1อการบริหารกฎหมายอิสลาม

กษัตริย์มลายูซึ1งเป็นผู ้นําสูงสุดทางศาสนาได ้แต่งตั)งมุฟตีเป็นที1 ปรึกษาในเรื1องศาสนา สุลต่าน มุฮัมมัด ชาฮ์

แต่งตั)งชัยค์เศาะฟียุดดีน นักวิชาการอิสลามจากเมืองปาไช สุมาตรา เป็นมุฟตี ต่อมาภายหลังตําแหน่งนี)ได ้เปลี1ยนเป็น

“Datuk Seri Raja Fagah” (Ibrohim Syukri, 2002) ในเมืองหลวงสมัยกรุงศรีอยุธยาก็มีการใช ้กฎหมายอิสล

(3)

586

ามกับชุมชนมุสลิม โดยมีตําแหน่งกรมท่าขวาเป็น

“พระยาจุฬาราชมนตรี”

ซึ1งมีฐานะเป็นขุนนางชั)นผู ้ใหญ่รับราชการสนองพระเดชพระคุณ พระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู่หัว

เป็นผู ้นําประชาคมมุสลิมดูแลความเป็นอยู่ของประชากรที1เป็นมุ

สลิม (สง่า วิไลวรรณ, 2524) และจุฬาราชมนตรี

มีอํานาจหน ้าที1ในการพิจารณาคดีครอบครัวมรดกของผู ้นับถือศ าสนาอิสลาม ตราบจนกระทั1งถึงกรุงรัตนโกสินทร์ (พิพัฒน์

จักรางกูล, 2518)

ต่อมาอํานาจหน ้าที1ในการพิจารณาคดีของจุฬาราชมนตรี

ถูกยกเลิกไปเมื1อได ้มีการจัดตั)งกระทรวงยุติธรรมขึ)นในสมัยรัชก

าลที1 5

เนื1องจากกฎหมายที1บัญญัติเกี1ยวกับอํานาจหน ้าที1ของจุฬาราช มนตรี

ไม่ได ้บัญญัติให ้จุฬาราชมนตรีมีอํานาจหน ้าที1ด ้านการตัดสินคดี

ความเกี1ยวกับครอบครัวและมรดกอีก (จุฬิศพงศ์

จุฬารัตน์ 2544 130-133)

หลังจากนั)นตําแหน่งจุฬาราชมนตรีได ้สิ)นสุดลงเมื1อได ้มีการยกเ ลิกบรรดาศักดิ^ในสมัยหลังจากที1ได ้มีการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475

แต่ได ้มีการเริ1มต ้นแต่งตั)งใหม่หลังจากสงครามมหาเอเชียบูรพา

สิ)นสุดลงเมื1อ 16 สิงหาคม 2488

โดยมีการแต่งตั)งตําแหน่งจุฬาราชมนตรีขึ)นเป็นประมุขของฝ่าย ศาสนาอิสลามมีหน ้าที1ในการถวายคําแนะนําปรึกษาต่อองค์พระ บาทสมเด็จพระเจ ้าอยู่หัวและทางราชการในเรื1องที1เกี1ยวกับกิจ การศาสนาอิสลาม

และให ้คําแนะนําช่วยเหลือในการแก ้ไขปัญหาชาวมุสลิมในประ เทศไทยเกี1ยวแก่การที1จะทรงอุปถัมภ์ศาสนาอิสลาม

ดังปรากฏในพระราชกฤษฎีกาว่าด ้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลา

มพุทธศักราช 2488

ต่อมาพระราชกฤษฎีกาว่าด ้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม

(ฉบับที1 2) พุทธศักราช 2491

ได ้แก ้ไขอํานาจของจุฬาราชมนตรีให ้มีหน ้าที1ให ้คําปรึกษาแก่ก

(4)

587

รมการศาสนาในกระทรวงศึกษาธิการเกี1ยวกับศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิ

สลาม

ปัจจุบันมีการประกาศใช ้พระราชบัญญัติการบริหารองค์กร

ศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540

ให ้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาว่าด ้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลามพุ

ทธศักราช 2488

และพระราชกฤษฎีกาว่าด ้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม

(ฉบับที1 2) พุทธศักราช 2491

พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540

มาตรา 6

กําหนดให ้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั)งจุฬาราชมนตรีให ้เป็นผู ้นํา กิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทย และมาตรา 8 กําหนดให ้จุฬาราชมนตรีมีอํานาจหน ้าที1ให ้คําปรึกษาและเสนอ ความเห็นต่อทางราชการเกี1ยวกับกิจการทางศาสนาอิสลาม แต่งตั)งคณะผู ้ทรงคุณวุฒิเพื1อให ้คําปรึกษาเกี1ยวกับบัญญัติแห่ง ศาสนาอิสลาม

ออกประกาศแจ ้งผลการดูดวงจันทร์เพื1อกําหนดวันสําคัญทางศ าสนา

ออกประกาศเกี1ยวกับข ้อวินิจฉัยตามบทบัญญัติแห่งศาสนาอิสล

าม มาตรา 16

กําหนดให ้มีคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย

มาตรา 18

ให ้คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยมีอํานาจหน ้าที1

ต่าง ๆ

รวมทั)งออกประกาศและให ้คํารับรองเกี1ยวกับกิจการศาสนาอิสล

าม มาตรา 23

กําหนดให ้มีคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดในจังหวัดที1มีรา ษฎรนับถือศาสนาอิสลามและมีมัสยิดไม่น ้อยกว่าสามมัสยิด

มาตรา 26

คณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดมีอํานาจหน ้าที1ต่าง ๆ รวมทั)งออกประกาศและให ้คํารับรองเกี1ยวกับกิจการศาสนาอิสล

ามในจังหวัด มาตรา 30

กําหนดให ้มีคณะกรรมการอิสลามประจํามัสยิด มาตรา 35

(5)

588

ให ้คณะกรรมการอิสลามประจํามัสยิดมีอํานาจหน ้าที1ต่าง ๆ รวมทั)งส่งเสริมการศึกษาและจัดกิจกรรมที1ไม่ขัดต่อบัญญัติแห่ง ศาสนาอิสลาม

ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื)อไวรัสโคโรน า 2019 (COVID-19) ซึ1งอุบัติขึ)นตั)งแต่ปลายปี พ.ศ. 2562 ณ เมืองอู่ฮั1นประเทศจีน

หลังจากนั)นได ้ลุกลามมาถึงประเทศไทยและได ้แพร่ระบาดอย่า งรวดเร็วกระทั1งในวันที1 29 กุมภาพันธ์ 2563 รัฐบาลไทยประกาศในราชกิจจานุเบกษาให ้โรคติดเชื)อไวรัสโค

โรนา 2019 เป็นโรคติดต่อร ้ายแรง

และมีการประกาศใช ้มาตรการต่าง ๆ

มากมายเพื1อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตราบจนปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการดําเนินชีวิตของประชาชนและวิถีปฏิบัติศาส นกิจของมุสลิม

สืบเนื1องจากจุฬาราชมนตรีได ้ออกประกาศให ้มีการปฏิบัติศาสน กิจในสถานการณ์วิกฤติโควิด-19

ทําให ้มุสลิมบางส่วนโดยเฉพาะกลุ่มดะอฺวะฮฺตับลีฆไม่เห็นด ้วย และมีการโพสต์ข ้อความและทําคลิปวีดิโอเผยแพร่ในสื1อออนไ ลน์แสดงความไม่เห็นด ้วย เช่น “จุฬาพลาดแล ้ว..” “อํานาจ จุฬามิใช่เมื1อคนใดคนหนึ1งได ้มาแล ้ววายิบที1ทุกคนที1อยู่ในประเ ทศนั)นต ้องฎออัต” “เราคนดะอฺวะฮฺต ้องยืนอยู่บนขาของเราเอง” กลุ่มดะอฺวะฮฺตับลีฆเรียกร ้องให ้ปฏิบัติศาสนกิจโดยไม่หวั1นเกรง ต่อโรคภัยทั)งปวง และเรียกร ้องให ้ "ญามาอะฮ์"

เดินทางไปยังที1ที1มีการระบาด เพราะ "ญะมาอะฮ์"

ไม่กลัวไวรัสโคโรนา (Nation tv, 2563)

การแสดงพฤติกรรมไม่เห็นด ้วยดังกล่าวผ่านสื1อออนไลน์แ สดงถึงการไม่ยอมรับคําประกาศจุฬาราชมนตรีในฐานะผู ้นํากิจก ารศาสนาอิสลาม

โดยยึดเอาความคิดเห็นของตัวเองและผู ้นํากลุ่มเป็นสําคัญ พฤติกรรมดังกล่าวนอกจากฝ่าฝืนประกาศจุฬาราชมนตรีแล ้วยัง เป็นการกระทําสวนกระแสการรณรงค์ป้องกันโรคระบาดของทา งราชการและประชาชนคนไทยทั1วประเทศ

บทความนี)จึงสนใจที1จะทําการศึกษากระบวนการปรับใช ้กฎหมา

(6)

589

ยอิสลามของจุฬาราชมนตรีในการประกาศกําหนดมาตรการป้อ งกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื)อไวรัสโคโรนา

2019 (COVID-19)

เป็นส่วนหนึ1งของการวิจัยเรื1องระบบการปรับใช ้กฎหมายอิสลาม ในประเทศไทยวิเคราะห์การปรับใช ้กฎหมายอิสลามในประเทศ ไทยปัจจุบันกรณีประกาศจุฬาราชมนตรีในสถานการณ์วิกฤติกา รแพร่ระบาดของโรคติดเชื)อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงแนวทางการปรับใช ้กฎหมาย อิสลามให ้เป็นที1ยอมรับทั)งจากหน่วยงานภาครัฐและสังคมมุสลิ

มในประเทศไทยต่อไป ว ัตถุประสงค์การวิจ ัย

1. เพื1อศึกษาลักษณะการปรับใช ้กฎหมายอิสลามในยุคข องนบีมุฮัมมัด เศาะฮาบะฮ์และตาบีอีน

2. เพื1อศึกษากระบวนการปรับใช ้กฎหมายอิสลามในประเ ทศไทยกรณีประกาศจุฬาราชมนตรีเพื1อป้องกันการแพ ร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

วิธีดําเนินการวิจ ัย

กระบวนวิธีการวิจ ัย

การวิจัยครั)งนี)ใช ้กระบวนวิธีการวิจัยเอกสาร

(Documentary Research) เป็นเครื1องมือสําคัญ โดยผู ้วิจัยศึกษาคัดเลือกโองการอัลกุรอานและอัลฮะดีษหรือซุ

นนะฮ์ที1เกี1ยวข ้องในฐานะข ้อมูลปฐมภูมิเพื1อใช ้เป็นหลักฐานสนั

บสนุนการวิจัยโดยอาศัยการอรรถาธิบายของนักปราชญ์ที1มีควา มเชี1ยวชาญและได ้รับการยอมรับ

โดยให ้ความสําคัญกับสถานภาพของอัลฮะดีษ

หลีกเลี1ยงการใช ้อัลฮะดีษที1มีสถานภาพอ่อน (เฎาะอีฟ) หรืออัลฮะดีษปลอม (เมาฎูอ์) และคัดเลือกเอกสารต่าง ๆ ที1เกี1ยวข ้องสอดคล ้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย

ประกอบด ้วยประกาศจุฬาราชมนตรี

(7)

590

หนังสือตํารากฎหมายอิสลาม กฎหมายบ ้านเมือง

รายงานการวิจัย และบทความทางวิชาการ

รวมทั)งเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ การวิเคราะห์ข้อมูล

ผู ้วิจัยใช ้วิธีการวิเคราะห์เชิงเนื)อหา (Content Analysis) กําหนดเกณฑ์สําหรับการคัดเลือกเอกสารที1นํามาใช ้ในการวิจัย ที1สําคัญ

คือ 1) ความจริง (Authenticity) หมายถึงเป็นเอกสารที1แท ้จริง (origin) 2) ความถูกต ้องน่าเชื1อถือ (Credibility) คือ เป็นเอกสารที1ไม่มีข ้อมูลที1ผิดพลาด

บิดเบือนหรือคลาดเคลื1อนไปจากความเป็นจริง 3) การเป็นตัว

แทน (Representativeness)

คือเป็นเอกสารที1สามารถใช ้แทนหรือเป็นแบบฉบับที1แทนเอกส ารประเภทเดียวกันได ้และเป็นข ้อมูลที1เป็นตัวแทนของประชากร ได ้ และ 4) ความหมายชัดเจน (Meaning) คือ การคัดเลือกเอกสารที1มีความชัดเจนและสามารถที1จะเข ้าใจได ้ง่

าย สอดคล ้องกับวัตถุประสงค์และนัยสําคัญของการวิจัย ขอบเขตของเอกสาร

ขอบเขตเนื)อหาของข ้อมูลเอกสารที1ใช ้ในการวิเคราะห์

ประกอบด ้วยข ้อมูลจากอัลกุรอาน ซุนนะฮ์

และวรรณกรรมที1เกี1ยวข ้องเกี1ยวกับการใช ้กฎหมายอิสลามในยุ

คของนบีมุฮัมมัด

การใช ้กฎหมายอิสลามและองค์กรบริหารการปรับใช ้กฎหมายอิ

สลามในยุคเศาะฮาบะฮ์และตาบิอีน

องค์กรบริหารและการปรับใช ้กฎหมายอิสลามในประเทศไทยกร ณีการกําหนดมาตรการปัองกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื)อไว

รัสโครโรนา 2019 (COVID-19)

ซึ1งผู ้วิจัยได ้นําข ้อมูลที1เกี1ยวข ้องจากแหล่งข ้อมูลด ้งกล่าวมาวิเค

ราะห์ สังเคราะห์

และสรุปเชื1อมโยงกับกระบวนการปรับใช ้กฎหมายอิสลามกรณีป ระกาศจุฬาราชมนตรีเพื1อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโ คโรนา 2019 (COVID-19)

(8)

591

ผลการวิจ ัย

1. ล ักษณะการปร ับใช้กฎหมายอิสลามในยุคของท่า นนบีมุฮ ัมม ัด

กฎหมายอิสลามเป็นกฎหมายที1มีแหล่งที1มาสําคัญจากคัม ภีร์อัลกุรอานซึ1งเป็นคัมภีร์ที1อัลลอฮ์ทรงประทานมายังนบีมุฮัมมั

ด โดยผ่านมลาอิกะฮ์ผู ้เป็นสื1อกลาง คือ ญิบรีล ในยุคของท่านนบีมุฮัมมัด

เป็นยุคแห่งการวางรากฐานการปรับใช ้กฎหมายอิสลามที1สมบูร ณ์แบบทั)งในด ้านสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติ

จากการศึกษาวิเคราะห์โองการอัลกุรอานและอัสซุนนะฮ์ที1เกี1ยว ข ้องกับการปรับใช ้กฎหมายอิสลามพบว่าการปรับใช ้กฎหมายอิ

สลามของนบีมุฮัมมัด มีลักษณะเป็นการบังคับใช ้กับตนเอง การบังคับใช ้กับผู ้อื1นและการบัญญัติบังคับใช ้กฎหมายตามเจต นารมณ์แห่งอัลลอฮ์

การบังคับใช ้กฎหมายอิสลามในยุคของท่านนบีมุฮัมมัด จึงมี

3 ลักษณะดังนี)

1.1 การบ ังค ับใช้กฎหมายอิสลามเหนือตนเอง นบีมุฮัมมัด

ในฐานะศาสนทูตมีหน ้าที1ต ้องนําบทบัญญัติแห่งอัลลอฮ์มาบังคั

บใช ้กับตนเองตามคําบัญชาของพระองค์ อัลกุรอานโองการแรก

ความว่า “โอ้

มุฮ ัมม ัดเจ้าจงอ่านด้วยพระนามของพระเจ้าของเจ้า”

[อัลอะลัก 96 : 1] และโองการต่าง ๆ ต่อมาอีกจํานวนมากกําหนดหน ้าที1ให ้ท่านนบีต ้องปฏิบัติ อาทิ

ความว่า “โอ้ ผู้คลุมกายอยู่เอ๋ย !

จงยืนขึOน(ละหมาด)เวลากลางคืน เว้นแต่เพียงเล็กน้อย [อัลมุซซัมมิล 73 : 1-2] “แท้จริงข้าคืออ ัลลอฮ์

ไม่มีพระเจ้าอืSนใดนอกจากข้า

ด ังน ัOนเจ้าจงเคารพภ ักดีต่อข้าและจงดํารงไว้ซึSงการละหม าดเพืSอรําลึกถึงข้า [ฏอฮา 20 : 14]

ครั)นเมื1อมีผู ้ถามเกี1ยวกับจรรยามารยาทของท่านนบีมุฮัมมัด

(9)

592

ท่านหญิงอาอิชะห์กล่าวว่า

“จรรยามารยาทของท่านก็คืออ ัลกุรอาน” (Ahmad Ibn

Hanban, 2001, No.

25813) เป็นคํากล่าวที1สะท ้อนถึงการปรับใช ้โองการอัลกุรอาน กับตนเองของนบีมุฮัมมัด อย่างสมบูรณ์ที1สุด

1.2

การบ ังค ับใช้กฎหมายอิสลามเหนือผู้อืSนและส ังคม นบีมุฮัมมัด

ในฐานะศาสนทูตมีหน ้าที1ต ้องนําบทบัญญัติแห่งอัลลอฮ์ไปบังคั

บใช ้กับผู ้อื1นและสังคมด ้วย

ทั)งบทบัญญัติเกี1ยวกับความดีที1จะต ้องปฏิบัติตามและบทบัญญั

ติเกี1ยวกับความชั1วที1จะต ้องละเว ้น

ตลอดจนบทบัญญัติที1เกี1ยวกับการตัดสินพิพากษาความขัดแย ้ง

ต่าง ๆ ตามคําแนะนําบัญชาจากพระองค์

ดังปรากฏในหลายโองการ อาทิ ความว่า“เราะซู้ลเอ๋ย ! จงประกาศสิSงทีSถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้

า…” [อัลมาอิดะฮ์ 5 : 67] “แท้จริง เราได้ให้ค ัมภีร์ลงมาแก่เจ้าเป็นความจริง

เพืSอเจ้าจะได้ต ัดสินระหว่างผู้คนด้วยสิSงทีSอ ัลลอฮ์ได้ทรงใ ห้เจ้ารู้เห็น

และเจ้าจงอย่าเป็นผู้เถียงแก้ให้แก่ผู้บิดพลิOวท ัOงหลาย”

[อันนิซาอฺ 4 : 105]

“...และผู้ใดมิได้ต ัดสินด้วยสิSงทีSอ ัลลอฮ์ได้ทรงประทานลง มาแล้วชนเหล่านีOแหละคือผู้อธรรม” [อัลมาอิดะฮ์ 5 : 42]

เป็นต้น

การบ ัญญ ัติบ ังค ับใช้กฎหมายอิสลามตามเจตนารมณ์แห่ง1.3 อ ัลลอฮ์ การปรับใช ้กฎหมายอิสลามในยุคของท่านนบีมุฮัมมัด

อีกลักษณะหนึ1ง คือ

การบัญญัติกฎหมายอิสลามตามเจตนารมณ์แห่งอัลลอฮ์

รวมทั)งการอธิบายขยายความอัลกุรอาน

โดยในบางวาระหรือเหตุการณ์ไม่มีการประทานโองการอัลกุรอ านลงมาในทันทีท่านนบีจึงต ้องทําการวิเคราะห์วินิจฉัยและกําห

(10)

593

นดบทบัญญัติภายใต ้การวิวรณ์จากอัลลอฮ์

ในสภาพการณ์เช่นนี)ท่านนบีจึงเป็นผู ้บังคับใช ้กฎหมายและในข ณะเดียวกันเป็นผู ้บัญญัติกฎหมายด ้วย

นักปราชญ์บางท่านระบุว่าหะดีษที1มีเนื)อหาครอบคลุมบทบัญญั

ติทางกฎหมายอิสลาม มีประมาณ 4500 ฮะดีษ (Jad al-haqq, 1995) นอกจากนั)นนบีมุฮําหมัด

ได ้อธิบายขยายความอัลกุรอาน เช่น

อัลกุรอานบัญญัติให ้ทําการละหมาด จ่ายซะกาต และประกอบพิธีฮัจญ์ โดยไม่ได ้แจกแจงวิธีปฏิบัติ

เป็นหน ้าที1ของนบีมุฮําหมัด

ที1จะต ้องบอกรายละเอียดพร ้อมกับปฏิบัติให ้ดูเป็นตัวอย่าง

ดังเช่นฮะดีษ ความว่า

“พวกท่านท ัOงหลายจงละหมาดเสมือนด ัSงทีSพวกท่านเห็นฉั

นละหมาด” (Ibn Hibban, 1993, No :

1656) และในอีกฮะดีษ ความว่า

“พวกท่านจงยึดเอาแบบอย่างไปจากฉันในการประกอบพิ

ธีฮ ัจญ์ของพวกท่าน” (Al-Baihaqi, 2003, No : 9524) ทั)งนี)เป็นไปตามเจตนารมณ์หรือความประสงค์ของอัลลอฮ์

เพราะนบีมุฮัมมัดมิได ้พูดตามอารมณ์หากเป็นวิวรณ์มาจากพระเ

จ ้า อัลลอฮ์ตรัส ความว่า

“และเราได้ให้อ ัลกุรอานแก่เจ้าเพืSอเจ้าจะได้ชีOแจง (ให้กระจ่าง)

แก่มนุษย์ซึSงสิSงทีSได้ถูกประทานมาแก่พวกเขาและเพืSอพว กเขาจะได้ไตร่ตรอง” [อันนะลฺ 16 : 44] “และเขามิได้พูดตามอารมณ์” [อันนัจม์ 53 : 3]

ดังนั)น

อํานาจในการบัญญัติและการบังคับใช ้กฎหมายอิสลามแก่ผู ้อื1น และสังคมในยุคของนบีมุฮําหมัด

จึงเป็นอํานาจแห่งอัลลอฮ์และอํานาจของนบีมุฮําหมัด ในฐานะศาสนทูตของพระองค์

ส่วนบรรดาเศาะฮาบะฮ์และบุคคลอื1น ๆ

มีหน ้าที1ปฏิบัติตามและสนับสนุนช่วยเหลือศาสนทูตในการบังคั

บใช ้กฎหมายอิสลามเท่านั)น ทั)งนี)

(11)

594

ท่านนบีได ้แนะนําวิธีการปรับใช ้กฎหมายอิสลามทั)ง 3 ลักษณะไว ้อย่างชัดเจน

รวมทั)งการบัญญัติบังคับใช ้ตามเจตนารมณ์

โดยให ้ยึดถือคัมภีร์อัลกุรอานเป็นบรรทัดฐาน

หากไม่พบบทบัญญัติอัลกุรอานในการปรับใช ้ให ้ยึดถือตามซุนน ะฮ์

และหากไม่พบในซุนนะฮ์อนุญาตให ้ทําการอิจญ์ติฮาดคือใช ้ปั

ญญาวิเคราะห์วินิจฉัย

ดังปรากฏในคําสนทนาระหว่างท่านนบีกับมุอาซ อิบนุญะบัล เมื1อท่านนบีประสงค์ที1จะส่งมุอาซไปเป็นกอฎี ณ เมืองเยเมน ความว่า

“เจ้าจะต ัดสินอย่างไรเมืSอมีคดีความได้ถูกนํามาสู่เจ้า

มุอาซตอบว่า ข้าพเจ้าจะต ัดสินตามค ัมภีร์ของอ ัลลอฮ์

นบีถามว่า แล้วถ้าหากเจ้าไม่พบในค ัมภีร์ของอ ัลลอฮ์

มุอาซตอบว่า

จะต ัดสินตามซุนนะฮ์ของศาสนทูตแห่งอ ัลลอฮ์

มุอาซตอบว่า

ข้าพเจ้าจะทุ่มเทกําล ังความคิดและสติปัญญาในการในกา รวินิจฉัยอย่างจริงจ ังและจะไม่ย่อท้อ

ท่านนบีจึงลูบอกของเขาและกล่าวว่า

มวลการสรรเสริญเป็นของอ ัลลอฮ์ผู้ซึSงชีOนําให้ทูตของศา สนทูตคิดเห็นสอดคล้องก ับสิSงอ ันเป็นทีSพึงพอใจของศาส นทูตแห่งพระองค์” (Abu Dawud, nd, No : 3592)

2. การปร ับใช้กฎหมายอิสลามและองค์กรบริหารกฎหม ายอิสลามในยุคเศาะฮาบะฮ์และตาบิอีน

2.1

การปร ับใช้กฎหมายอิสลามในยุคเศาะฮาบะฮ์แล ะตาบิอีน

การปรับใช ้กฎหมายอิสลามในยุคหลังจากยุคของ นบีมุฮัมมัด

ซึ1งเป็นยุคของเศาะฮาบะฮฺและยุคตาบิอีนต่อมาตราบจนถึงปัจจุ

บัน เป็นยุคที1บทบัญญัติแห่งอัลลอฮฺและสุนนะฮฺสิ)นสุดลง ในขณะที1ปัญหาการดําเนินชีวิตมนุษย์และความเปลี1ยนแปลงข

(12)

595

องสังคมไม่มีวันสิ)นสุด

แต่ยังคงดําเนินไปอย่างต่อเนื1องตราบจนวันสิ)นโลก

เหล่าเศาะฮาบะฮฺและประชาติมุสลิมได ้ยึดหลักคําสอนและคําชี) แนะของท่านนบีในการเผชิญกับปัญหาที1เกิดขึ)นใหม่โดยใช ้คัม ภีร์อัลกุรอานและซุนนะฮฺเป็นบรรทัดฐาน

เมื1อพบว่ามีบทบัญญัติใดในอัลกุรอานที1สามารถนําไปปรับใช ้กั

บปัญหาที1เกิดขึ)นได ้

พวกเขาก็จะดําเนินการไปตามบทบัญญัตินั)น หากไม่พบในอัลกุรอานก็จะค ้นหาในซุนนะฮ

โดยการประกาศสอบถามว่ามีผู ้ใดทราบอย่างไรหรือไม่เนื1องจา กในขณะนั)นยังไม่มีการบันทึกต ้องอาศัยการจดจํา

โดยเฉพาะอย่างยิ1งในยุคเคาะลีฟะฮฺอะบูบักรฺและเคาะลีฟะฮ์อุมั

รที1มีนโยบายให ้บรรดาเศาะหาบะฮฺพํานักอยู่ในเมืองมาดีนะฮฺ

เพื1อความสะดวกในการสอบถามและประชุมปรึกษา

เมื1อพบว่ามีซุนนะฮฺของท่านนบีกําหนดไว ้อย่างไรแล ้วก็ถือปฏิบั

ติตามนั)น ในกรณีหากไม่พบในซุนนะฮ

เศาะหาบะฮฺส่วนหนึ1งจะระมัดระวังไม่แสดงความเห็นใด ๆ ด ้วยสติปัญญาโดยไม่จําเป็น

ในขณะที1อีกส่วนหนึ1งจะทุ่มเทการใช ้สติปัญญาอย่างกว ้างขวาง และจริงจังภายใต ้กรอบแห่งอัลกุรอานและซุนนะฮฺ

โดยอ ้างเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายอิสลามถูกบัญญัติขึ) นอย่างมีเหตุผลและมีความมุ่งหมายที1สามารถเข ้าใจได ้

ส่งผลให ้ฝ่ายนี)ทําการวิเคราะห์วินิจฉัยในประเด็นร่วมสมัยที1เกิด ขึ)นใหม่อย่างกว ้างขวาง อาทิ การปรับใช ้หลักการปรึกษาหารือ

(ชูรอ) ในทางการเมือง

การให ้สัตยาบันต่อเคาะลีฟะฮ์อะบูบักรอัศศิดดีก

การปราบปรามกบฏที1ปฏิเสธการจ่ายซะกาตอย่างเด็ดขาดถึงขั) นประกาศสงคราม

และการรวบรวมอัลกุรอานในยุคของเคาะลีฟะฮ์อะบูบักรฺอัศศิดดี

ก เป็นต ้น (Ibn Qaiyim, 1973 ; Qattan, 2001 ; Khudhri, Muhammad, ; 1995)

การใช ้สติปัญญาในการวิเคราะห์วินิจฉัยหรือการอิ

จญ์ติฮาด [دﻬﺎﺟﺘ اﻹ]

(13)

596

ของเศาะหาบะฮฺในยุคคุละฟาอฺอัรรอชีดีนและการอิจญ์ติฮาดขอ งบรรดาตาบิอีนในยุคอุมะวียะฮ์

ได ้นําไปสู่การพัฒนากระบวนการปรับใช ้กฎหมายอิสลามและส่

งผลให ้เกิดแหล่งที1มาของกฎหมายอิสลามนอกเหนือจากอัลกุร อานและสุนนะฮฺ ได ้แก่ อัลอิจญ์มาอฺและอัลกิยาส หลังจากนั)นในยุคอับบาซียะฮฺ

ซึ1งถือเป็นยุคที1นิติศาสตร์อิสลามเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ในยุคนี)มีการประยุกต์ใช ้หลักการอิจcฺติฮาดอย่างต่อเนื1อง

นําไปสู่การเกิดมัซฮับหรือสํานักคิดต่าง ๆ ทางกฎหมายอิสลามและการพัฒนาแหล่งที1มาของกฎหมายอิส ลามเพิ1มขึ)น เช่น อัลอิสติหฺซาน [ ﺎنﺳﺘ اﻻ] อัลอิสติศลาหฺ [حﺳﺘ اﻻ]

หรืออัลมะศอลิหฺอัลมุรสะละฮฺ [ﻠﺔ ﺮﺳاﳌ اﳌ] และอัลอุรฟฺ [ف ] اﻟﻌ

โดยในแต่ละมัซฮับมีวิธีการปรับใช ้กฎหมายอิสลามหรือการยึด ถือแหล่งที1มาเหล่านี)แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น มัซฮับชาฟิอียึดถืออัลกุรอาน อัสซุนนะฮ์ อัลอิจญ์มาอ์

และอัลกิยาส รวมทั)งยึดถือหลักอิสติศฮาบ แตกต่างกับมัซฮับหะนะฟีในการยึดถือหลักอัลอิสติหฺซาน

และไม่ขยายขอบเขตในการใช ้หลักกิยาสกว ้างขวางเท่ามัสฮับ หะนะฟี

มัซฮับชาฟิอีแตกต่างจากมัซฮับมาลิกีในการไม่ยึดถือหลักมะศ อลิหฺมุรสะละฮ์และทัศนะของเศาะฮาบะฮ์เป็นหลักฐาน

(เจ๊ะเหล๊าะ แขกพงศ์, 2561)

2.2 องค์กรบริหารกฎหมายอิสลามในยุคเศาะฮาบะฮ์

และตาบิอีน

บทบัญญัติแห่งกฎหมายอิสลามในยุคนี) คือ โองการแห่งคัมภีร์อัลกุรอานและประมวลซุนนะฮ์ของนบีมุฮัมมั

โดยบรรดาเศาะฮาบะฮ์นั)นก็มิใช่ทุกคนจะสามารถเข ้าถึงและเข ้า ใจได ้ดีเสมอกัน หากมีความเหลื1อมลํ)าแตกต่างกัน เศาะฮาบะฮ์บางท่านได ้พบท่านนบีน ้อยครั)ง

จึงต ้องมีเศาะฮาบะฮ์ที1รู ้และเข ้าใจจริงทําการอธิบายตัวบทและเ

(14)

597

ผยแพร่เพื1อสร ้างความเข ้าใจและปฏิบัติได ้อย่างถูกต ้องแก่บุคค ลทั1วไป

คณะผู ้รู ้ที1มีความเชี1ยวชาญเหล่านี)จึงเป็นเสมือนองค์กรนิติบัญญั

ติที1มีบทบาทในการบริหารและพัฒนาการใช ้กฎหมายอิสลาม (Khallaf, nd.) คณะผู ้รู ้และเชี1ยวชาญในยุคเศาะฮาบะฮ์ ได ้แก่

เคาะลีฟะฮ์ วาลีหรือผู ้ปกครองเมือง กอฎีหรือผู ้พิพากษา และมุฟตีหรือผู ้อธิบายประเด็นปัญหาทางศาสนา

ต่อมาในยุคสมัยตาบิอีนเกิดสถาบันทางกฎหมายอิสลามตามแน วคิดเกี1ยวกับวิธีวิทยาการวิเคราะห์วินิจฉัยที1แตกต่างกัน

ฝ่ายที1ไม่นิยมใช ้สติปัญญาพัฒนาไปสู่สถาบันอัลหะดีษนิยม

[ثداﻟ رد]

ฝ่ายที1นิยมใช ้สติปัญญาพัฒนาไปสู่สถาบันความคิดหรือวิจารณ

ญาณนิยม [يأراﻟ رد]

จากนั)นพัฒนาไปสู่มัซฮับหรือสํานักคิดต่างๆ

ทางกฎหมายอิสลามจํานวนมากและแต่ที1ยังคงดํารงอยู่อย่างแ พร่หลายในปัจจุบัน 4 มัซฮับ คือ มัซฮับหะนะฟี มัซฮับมาลิกี

มัซฮับชาฟิอี และมัซฮับฮันบะลี

การปรับใช ้กฎหมายอิสลามขององค์กรและสถาบั

นเหล่านี)เป็นการปรับใช ้ตามสถานะและบทบาทหน ้าที1 กล่าวคือ เคาะลีฟะฮ์ในฐานะผู ้แทนศาสนทูตมีอํานาจสูงสุดในการปรับใช ้

กฎหมายอิสลามส่วนวาลี กอฎี และมุฟตี

มีอํานาจในการปรับใช ้กฎหมายตามขอบเขตที1ได ้รับมอบหมาย

รายงานจากอะฏออ์ อิบนุสซาอิบ ว่า

“ขณะที1เคาะลีฟะฮ์อบูบักรฺได ้รับสัตยาบันให ้ดํารงตําแหน่งเป็นเ คาะลีฟะฮ์ อบูบักรฺกล่าวแก่อุมัรและอบูอบัยดะฮ์ว่า ฉันจําเป็นต ้องมีผู ้ช่วยเหลือ อุมัรกล่าวว่า ฉันพร ้อมช่วยเหลือด ้านตุลาการ

อบูอุบัยดะฮ์กล่าวว่าฉันพร ้อมช่วยเหลือด ้านการคลัง” (Qattan, 2001)

ส่วนการปรับใช ้กฎหมายอิสลามของสถาบันอัลหะดีษนิยมและส ถาบันความคิดนิยม

ตลอดจนการปรับใช ้กฎหมายอิสลามของมัซฮับต่าง ๆ นั)นเป็นการปรับใช ้กฎหมายอิสลามในเชิงวิชาการอย่างอิสระไม่

(15)

598

อยู่ภายใต ้อํานาจการควบคุมของเคาะลีฟะฮ์หรือบุคคลใด

แต่ตรงกันข ้ามเคาะลีฟะฮ์มีหน ้าที1ที1ต ้องให ้การสนับสนุนส่งเสริม เพื1อความก ้าวหน ้าทางวิชาการและความถูกต ้องของการบัญญัติ

บังคับใช ้กฎหมายอิสลาม

องค์กรนักปราชญ์มุจญ์ตะฮิดต่างใช ้ปัญญาขบคิด วิเคราะห์

เปรียบเทียบภายใต ้กรอบความคิดและทางนําาจากอัลกุรอานแ ละซุนนะฮ์

และข ้อบัญญัติทางกฎหมายหรือหุกมฺที1เป็นผลลัพธ์การค ้นพบจ ากการใช ้ปัญญาในการอิจญ์ติฮาดนี)อาจถูกหรือผิดก็ได ้

กล่าวคือ หากเป็นผลลัพธ์ที1ค ้นพบสอดคล ้องกับบทบัญญัติ ณ อัลลอฮฺย่อมถือว่าถูกต ้อง

แต่ไม่มีใครสามารถล่วงรู ้บัญญัติหรือหุกมฺ ณ พระองค์ได ้ ผลลัพธ์ที1ค ้นพบจึงเป็นเพียงความคาดหมายที1น่าจะเป็นหรือน่า จะถูกต ้องเท่านั)น ไม่สามารถยืนยันชัดเจนได ้ แต่กระนั)นก็อนุญาตให ้นําไปปฏิบัติได ้จนกว่าจะมีการอิจญ์ติฮาด ใหม่ที1เห็นว่าเหมาะสมและถูกต ้องยิ1งกว่า

นักปราชญ์ที1มีคุณสมบัติเป็นผู ้รอบรู ้และเชี1ยวชาญระดับมุจญ์ตะ ฮิดเท่านั)นที1จะมีสิทธิ^ในการปรับใช ้ตัวบทกฎหมายอิสลามในลัก

ษณะนี) (เจ๊ะเหล๊าะ แขกพงศ์, 2561)

ซึ1งสมควรอย่างยิ1งที1จะได ้ดําเนินการในรูปแบบขององค์คณะหรื

อสภานักปราชญ์มุจญ์ตะฮิดีน (Abdulhak Humaich, 2004) ปัจจุบันมีองค์กรในลักษณะนี)เกิดขึ)นในระดับชาติและนานาชาติ

เช่น มัจญ์มะออัลบุฮูษอัลอิสลามียะฮ์ในอียิปต์ [ثواﻟ ا

ر ] มัจญ์มะอฺอัลฟิกฮฺอัลอิสลามีนานาชาติ เจดดาห์

[ةد و ﻟد ا ا ﻟﻔ ا] องค์การอุลามาอฺอาวุโสกรุงริยาฎ [ﯾﺋھ

ﺑﺎ ر اﻟ

ء ﺑﺎ

ر ﯾﺎ

ض ] มัจญ์มะอฺอัลฟิกฮฺอัลอิสลามี

ประเทศอินเดีย [دﺎﻟ ا ﻟﻔ ا] มัจญ์ลิสอัลฟิกฮฺอัลอิสลามี

ประเทศปากีสถาน [نﺗﺎ ﺑﺎ ار ﻟﻔ اس] และอื1นๆ เป็นต ้น 3. การใช้กฎหมายอิสลามและองค์กรบริหารการใช้กฎ หมายอิสลามในประเทศไทย

(16)

599

ประเทศไทยมีการใช ้กฎหมายอิสลามมาเป็นเวลาช ้า นาน โดยเฉพาะอย่างยิ1งบริเวณทางตอนใต ้ คือ ดินแดนอาณาจักรปตานีในอดีตหรือที1เรียกว่าจังหวัดชายแดนภ าคใต ้ในปัจจุบัน

ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยามีการใช ้กฎหมายอิสลามสําหรับชุมช นมุสลิมในเมืองหลวง โดยมีตําแหน่งกรมท่าขวาเป็น

“พระยาจุฬาราชมนตรี”

ซึ1งมีฐานะเป็นขุนนางชั)นผู ้ใหญ่รับราชการสนองพระเดชพระคุณ พระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู่หัว

เป็นผู ้นําประชาคมมุสลิมดูแลความเป็นอยู่ของประชากรที1เป็นมุ

สลิม (สง่า วิไลวรรณ, 2524) และจุฬาราชมนตรี

มีอํานาจหน ้าที1ในการพิจารณาคดีครอบครัวมรดกของผู ้นับถือศ าสนาอิสลาม ตราบจนกระทั1งถึงกรุงรัตนโกสินทร์ (พิพัฒน์

จักรางกูล, 2518)

ต่อมาอํานาจหน ้าที1ในการพิจารณาคดีของจุฬาราชมนตรีถูกยกเ ลิกไปเมื1อได ้มีการจัดตั)งกระทรวงยุติธรรมขึ)นในสมัยรัชกาลที1 5 เนื1องจากกฎหมายที1บัญญัติเกี1ยวกับอํานาจหน ้าที1ของจุฬาราช มนตรี

ไม่ได ้บัญญัติให ้จุฬาราชมนตรีมีอํานาจหน ้าที1ด ้านการตัดสินคดี

ความเกี1ยวกับครอบครัวและมรดกอีก (จุฬิศพงศ์

จุฬารัตน์, 2544 130-133) ยิ1งกว่านั)น ตําแหน่งจุฬาราชมนตรีได ้สิ)นสุดลงเมื1อได ้มีการยกเลิกบรรดาศั

กดิ^ในสมัยหลังจากที1ได ้มีการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 แต่ได ้มีการเริ1มต ้นแต่งตั)งใหม่หลังจากสงครามมหาเอเชียบูรพา

สิ)นสุดลงเมื1อ 16 สิงหาคม 2488

โดยมีการแต่งตั)งตําแหน่งจุฬาราชมนตรีขึ)นเป็นประมุขของฝ่าย ศาสนาอิสลามมีหน ้าที1ในการถวายคําแนะนําปรึกษาต่อองค์พระ บาทสมเด็จพระเจ ้าอยู่หัวและทางราชการในเรื1องที1เกี1ยวกับกิจ การของอิสลาม

และให ้คําแนะนําช่วยเหลือในการแก ้ไขปัญหาชาวมุสลิมในประ เทศไทย (อํานวย สุวรรณกิจบริหาร, 2524)

การใช ้กฎหมายอิสลามในประเทศไทยมีความชัดเจ นเป็นทางการเมื1อได ้มีการประกาศใช ้กฎข ้อบังคับสําหรับปกคร

(17)

600

องบริเวณ 7 หัวเมือง ร.ศ. 120 ลงวันที1 10 ธันวาคม ร.ศ. 120

หรือ พ.ศ. 2444

ซึ1งเป็นกฎหมายของรัฐฉบับแรกที1กําหนดให ้ใช ้กฎหมายอิสลา มในคดีแพ่งที1เกี1ยวด ้วยครอบครัวมรดกในกรณีที1ผู ้ที1นับถือศาส นาอิสลามเป็นทั)งโจทก์และจําเลย (สํานักงานศาลยุติธรรม, 2559)

ซึ1งเป็นการใช ้บังคับเฉพาะส่วนที1เกี1ยวกับครอบครัวและมรดกแ

ละเฉพาะในพื)นที1 4

จังหวัดชายแดนภาคใต ้ตามพระราชบัญญัติว่าด ้วยการใช ้กฎหม ายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ.

2489 และมีผลใช ้บังคับตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ในส่วนอื1นนอกเหนือจากเรื1องครอบครัวและมรดกประชาชนมุส ลิมต ้องอยู่ภายใต ้บังคับของกฎหมายบ ้านเมืองแต่ก็สามารถบัง คับใช ้กฎหมายอิสลามได ้เท่าที1ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและไม่กระ ทบต่อความสงบเรียบร ้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อาทิ

การใช ้กฎหมายอิสลามภาคอิบาดาตซึ1งเป็นพิธีกรรมทางศาสนา ที1มุสลิมศาสนิกจะต ้องได ้รับการคุ ้มครองสิทธิเสรีภาพตามรัฐธร รมนูญ

ต่อมาเมื1อมีการตราพระราชบัญญัติการบริหารองค์ก

รศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540

ส่งผลให ้ยกเลิกพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 2490 ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาว่าด ้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลามพุท

ธศักราช 2488

และพระราชกฤษฎีกาว่าด ้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม

(ฉบับที1 2) พุทธศักราช 2491

และมีการปรับปรุงโครงสร ้างองค์กรศาสนาอิสลามใหม่

ประกอบด ้วยจุฬาราชมนตรี

คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย คณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัด

และคณะกรรมการอิสลามประจํามัสยิด

ตลอดจนอํานาจหน ้าที1ในการบังคับใช ้กฎหมายอิสลามซึ1งพัฒน ามาจากกฎหมายเดิมที1ถูกเลิกให ้มีความชัดเจนและเหมาะกับยุ

คสมัยมากขึ)น

(18)

601

พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ได ้กําหนดโครงสร ้างองค์กรบริหารศาสนาอิสลาม ประกอบด ้วยจุฬาราชมนตรี

คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย คณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัด

และคณะกรรมการอิสลามประจํามัสยิด รวมทั)งอํานาจหน ้าที1ต่าง ๆ

ซึ1งพัฒนามาจากกฎหมายเดิมซึ1งถูกเลิกให ้มีความชัดเจนและเ หมาะกับยุคสมัย

โดยเฉพาะอย่างยิ1งอํานาจหน ้าที1ในการออกประกาศเกี1ยวกับข ้อ วินิจฉัยตามบทบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามของจุฬาราชมนตรี

อํานาจหน ้าที1ในการออกประกาศและให ้คํารับรองเกี1ยวกับกิจกา รศาสนาอิสลามคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย อํานาจหน ้าที1ในการออกประกาศและให ้คํารับรองเกี1ยวกับกิจกา รศาสนาอิสลามในจังหวัดของคณะกรรมการอิสลามประจําจังห วัด

และอํานาจหน ้าที1ในการส่งเสริมการศึกษาและจัดกิจกรรมที1ไม่

ขัดต่อบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามของคณะกรรมการอิสลามประ จํามัสยิดตลอดจนปฏิบัติตามคําแนะนําชี)แจงของคณะกรรมการ กลางอิสลามแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการอิสลามประจํา จังหวัดในเมื1อไม่ขัดต่อบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามและกฎหมาย ของบ ้านเมือง

นอกจากอํานาจหน ้าที1ทางกฎหมายแล ้ว

องค์กรทางศาสนาอิสลามย่อมมีภาระหน ้าที1ตามข ้อบัญญัติทาง ศาสนาที1กําหนดให ้ผู ้มีอํานาจในตําแหน่งต่าง ๆ จะต ้องรับผิดชอบในหน ้าที1และในขณะเดียวกันผู ้นําได ้รับสิทธิที1 จะได ้รับการเชื1อฟังและปฏิบัติตาม

ดังปรากฏในฮะดีษของท่านนบีมุฮัมมัด ความว่า

“พวกท่านทุกคนล้วนมีภาระหน้าทีSและพวกท่านทุกคนจะ ต้องถูกสอบสวนในหน้าทีSทีSร ับผิดชอบน ัOน” (Al-Bukhari (1422H), No : 893) อัลลอฮ์ ตรัสในคัมภีร์อัลกุรอาน ความว่า

“ผู้ศร ัทธาท ัOงหลาย ! จงเชืSอฟังอ ัลลอฮ์

และเชืSอฟังร่อซู้ลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย

Referensi

Dokumen terkait

Sehubungan dengan penaw aran yang masuk kurang dari 3 (tiga), dan telah dilakukannya evaluasi administrasi, evaluasi teknis, evaluasi harga untuk penaw aran paket pekerjaan

Sanggahan paling lambat tanggal 23 Maret 2017 telah diterima oleh Kelompok Kerja 03.17 ULP paket pekerjaan tersebut diatas pada Unit Layanan Pengadaan Kabupaten

Dokkes Polda Sumut yang dibentuk dan ditugaskan berdasarkan Surat Perintah Kepala Pelayanan dan Pengadaan Polda Sumut Nomor : Sprin / KLP-83 / I / 2017 tanggal

Peraturan Menteri Pendidikan Nasional Nomor 14 tahun 2005 tentang Organisasi dan Tata Kerja Direktorat Jenderal Manajemen Pendidikan Dasar dan Menengah Departemen

Penelitian ini bertujuan untuk melihat pengaruh atribut produk terhadap kepuasan konsumen pengguna smartphone Samsung Galaxy Series.. Subjek yang digunakan dalam

Pengalasan tidak pasti, salah satu dari kemampuan sistem pakar yang terkenal adalah kemampuannya untuk menyelesaikan masalah yang memiliki. ketidakpastian informasi

difokuskan pada masalah sosiologi tokoh dalam novel Grotesque, yang. digambarkan melalui dua tokoh utamanya yaitu, Kazue

terhadap daerah mereka. Setelah disurvey di lapangan pun, rata-rata dari mereka adalah pemilik warung dan bukanlah petani yang bekerja di ladang. Kalaupun mereka petani,