ที่มา :: George S. Day หนา 207
การตลาดเชิงสัมพันธภาพ (Relationship Marketing) ภายใตสภาพแวดลอมทางการตลาด ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทําใหธุรกิจตางๆ หันมาใหความสนใจกับการรักษาลูกคาในปจจุบันมาก ขึ้นเพื่อใหลูกคาอยูกับกิจการนานที่สุด ซึ่งสอดคลองกับแนวความคิดของนักการตลาด Philip Kotler ที่กลาววาการเสนอขายสินคาใหลูกคาใหม มีตนทุนสูงกวาการเสนอขายสินคาใหลูกคาเกาถึง 5 เทา การตลาดสัมพันธภาพ (Relationship marketing) มีจุดมุงหมายเพื่อสรางความสัมพันธที่พอใจ ในระยะยาว (Long-term Relationship) กับลูกคา ผูจัดหาวัตถุดิบ และผูจัดจําหนาย เพื่อรักษาไวซึ่ง ผลประกอบการที่ดีของธุรกิจ เมื่อลูกคาที่มีความพอใจจะมีความภักดีกับบริษัทยาวนาน ซื้อสินคา เพิ่มขึ้นเมื่อมีการแนะนําสินคาใหม พูดในแงบวกตอบริษัท ใหความสนใจนอยตอสินคาแบบ เดียวกันแตเปนตรายี่หออื่น และซื้อสินคาของบริษัทโดยไมสนใจราคา มีความหวังดีตอบริษัทโดย ใหขอแนะนําเพื่อชวยปรับปรุงใหสินคาและบริการดีขึ้นไปอีก
แนวคิดการตลาดในอดีตนั้นมุงเนนแตเพียงการยอดขายของสินคาเทานั้น เมื่อมีการ สูญเสียลูกคาเกาไปก็จะเรงหาลูกคาใหมเขามาทดแทนสวนที่สูญเสียไป ในทฤษฎี ถังน้ําที่รั่ว (Leaky bucket theory) (Grönroos, 1995, p.253) แตในปจจุบันกิจการตางๆ ตองเผชิญกับสภาพการตลาดที่
เปลี่ยนแปลงไป เชนสภาพประชากรศาสตร สภาพเศรษฐกิจ การมีคูแขงที่มากประสบการณ และ การมีกําลังการผลิตสวนเกินในอุตสาหกรรมหลายประเภท กิจการหลายแหงตองตอสูแยงชิงสวน ครองตลาด ทําใหตนทุนในการหาลูกคาใหมเพิ่มขึ้น แตในความเปนจริงตนทุนในการหาลูกคา
ผูขาย / ผูผลิต ผูซื้อ
ผลประโยชนรวมกัน พันธกิจรวมกัน
ความไววางใจ การเชื่อมโยงความสัมพันธ
ทางขอมูลขาวสาร
ทางสังคม
ทางกระบวนการ
ใหมนั้นสูงกวาตนทุนในการรักษาลูกคาเกาไว จากตนทุนในการหาลูกคาใหมเปรียบเทียบกับตนทุน ในการรักษาลูกคา ทําใหกิจการตางตระหนักถึงการสูญเสียรายไดจากการขายสินคาหนึ่งชิ้น แนวคิดการทําการตลาดเชิงสัมพันธภาพจึงเกิดขึ้นเพื่อรักษาธุรกิจไว ดังตารางที่ 2.2
ตารางที่ 2.2 : เปรียบเทียบแนวความคิดการตลาดแบบดั้งเดิม (Transactional marketing) กับ การตลาดเชิงสัมพันธภาพ (Relationship marketing)
การตลาดแบบดั้งเดิม (Transactional marketing)
การตลาดเชิงสัมพันธภาพ (Relationship marketing)
มุงที่ยอดขายเพียงอยางเดียว มุงที่จะเก็บรักษาลูกคา
ติดตอสื่อสารกับลูกคาในบางโอกาส ติดตอสื่อสารกับลูกคาอยางสม่ําเสมอ
มุงเนนแตเพียงรูปลักษณของสินคา มุงเนนใหลูกคาไดรับความพอใจจากสินคา
ความสัมพันธกับลูกคาเปนไปเพื่อใหเกิดการ ซื้อสินคา
เนนความสัมพันธระยะยาวเพื่อสรางความ ผูกพันระหวางสินคากับผูบริโภค
ไมใหความสําคัญกับการบริการลูกคา ใหความสําคัญกับการบริการลูกคามาก
ไมใหความสนใจกับสิ่งที่ลูกคาคาดหวัง มุงมั่นที่จะทําตามสิ่งที่ลูกคาคาดหวัง
มุงเนนการพัฒนาผลิตภัณฑเพียงอยางเดียว ใหความสําคัญกับทุกขั้นตอนการติดตอซื้อ ขายสินคาสินคา
ที่มา : ปรับปรุงจาก Payne, A., Christopher, M. and Peck, H. (eds), 1995, p. viii
คุณสมบัติของการตลาดเชิงสัมพันธภาพ (The Nature of Relationship Marketing) โดยทั่วไปแลวการตลาดเชิงสัมพันธภาพจะมีความแตกตางกับการตลาดแบบดั้งเดิมอยางเห็นไดชัด โดยการตลาดแบบดั้งเดิมนั้นจะมุงเนนที่ความสัมพันธระยะสั้น มีการเริ่มตนและจุดจบของ ความสัมพันธอยางชัดเจน การตลาดเชิงสัมพันธภาพจะมีระยะเวลาในการติดตอกันนาน และ สม่ําเสมอเพื่อผูกใจใหลูกคาซื้อสินคาและบริการของกิจการใหนานที่สุด ไดจัดหมวดหมูของ ความสัมพันธเกี่ยวกับจุดโฟกัสของกิจการกับ ผูจัดหาวัตถุดิบ (supplier), แนวขาง (lateral), ผูซื้อ (buyer), และความสัมพันธภายในองคกร (internal partnerships) ดังรูปที่ 2.6 การแลกเปลี่ยน ความสัมพันธในตลาดเชิงสัมพันธภาพ (The Relational Exchanges in Relationship Marketing) โดยแบงประเภทหุนสวนเปน 4 สวนและมีความสัมพันธในแตละสวน ดังนี้
1. หุนสวนของผูจัดหาวัตถุดิบ (Supplier Partnerships) แบงการแลกเปลี่ยน ความสัมพันธเปน 2 สวน คือ
1.1. ระหวางผูผลิต และผูจําหนายสินคาของเขาทั้งหลายเพราะ ตองจัดหาสินคาให
ทันเวลา และจัดการคุณภาพสินคาทั้งหมด (Frazier, Spekman, and O’ Neal 1988; O’ Neal 1989) 1.2. การแลกเปลี่ยนความสัมพันธในตลาดเชิงสัมพันธภาพ โดยเปนความสัมพันธ
ระหวาง ผูใหบริการ (Service providers) กับบริษัทโฆษณา หรือบริษัทรับทําการวิจัยตลาด (Beltramini and Pitta 1991 ; Moorman, Zaltman, and Deshpande 1992)
2. หุนสวนของคูแขง (Lateral Partnerships) แบงประเภทการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ
เปน 3 สวน คือ
2.1. ความสัมพันธระหวางบริษัท และคูแขงขัน ในดานเทคโนโลยี(Nueno and Oosterveld 1988) และกลยุทธพันธมิตรทั่วโลก (Bucklin and Sengupta 1993)
2.2. ความสัมพันธระหวางกิจการกับองคกรไมแสวงกําไร ในผลประโยชนที่มีตอ สาธารณชน(Steckel and Simons 1992)
2.3. หุนสวนในการรวมกันทําวิจัยและพัฒนาระหวางกิจการกับสังคม, รัฐ, หรือ รัฐบาล (Comer, O’Keefe, and Chilenskas 1980)
3. หุนสวนของผูซื้อ (Buyer Partnerships) แบงเปน
3.1. ความสัมพันธอันยาวนานระหวาง กิจการกับผูบริโภคในตลาดบริการ (Berry 1983)
3.2. การแลกเปลี่ยนความสัมพันธในการทํางานในชองทางการจัดจําหนายกับ กิจการ (Anderson and Narus 1990)
4. หุนสวนภายใน (Internal Partnerships) แบงเปน 4.1. การแลกเปลี่ยนความสัมพันธในแผนกกับกิจการ
4.2. การแลกเปลี่ยนความสัมพันธ ระหวางบริษัทกับพนักงานบริษัท ในภาวะตลาด ภายใน (Arndt 1983; Berry and Parasuraman 1991)
4.3. ความสัมพันธภายในระหวางกิจการกับหนวยธุรกิจ (Porter, 1987)
ผลงานวิจัยที่เกี่ยวของ
จากการทบทวนผลงานวิจัยที่เกี่ยวของ วรรณกรรมที่เกี่ยวของ งานนิพนธหรือ วิทยานิพนธ รายงานผลการวิจัย วารสารวิชาการ หรือ การประชุมวิชาการ ที่มีการตีพิมพระหวาง ป ค.ศ. 1993 – ป ค.ศ. 2003 ประกอบดวย
Houn-Gee, Edward T., and Ayi (2003) ศึกษาเกี่ยวกับ อิทธิพลของ ผลประโยชนของ ความสัมพันธ (Relationship benefits), ตนทุนการเปลี่ยนแปลง (switching costs), ความสามารถ ของลูกคา (customer skill), การติดตอสื่อสาร (communication), พันธสัญญา (relationship commitment), และความเชื่อมั่น (trust) เปนจุดสําคัญที่มีผลในการคงอยูของลูกคา ผลการทดลอง, พันธสัญญา (relationship commitment) และความเชื่อมั่น (trust) เปนผลที่อธิบายไดจาก ผลประโยชนของความสัมพันธ (relationship benefits), ตนทุนการเปลี่ยนแปลง (switching costs), ความสามารถของลูกคา (customer skill), การติดตอสื่อสาร (communication) หากสรางใหเกิดกับ ลูกคาดานบวกแลว จะทําใหเกิดพันธสัญญาและความเชื่อมั่นในตัวลูกคากับกิจการในดานบวกดวย
จุดศูนยรวมของ กิจการ
หุนสวนของคูแขง (Lateral Partnerships) หุนสวนของผูจัดหาวัตถุดิบ (Supplier Partnerships)
หุนสวนของผูซื้อ (Buyer Partnerships) หุนสวนภายใน
(Internal Partnerships)
ชองทางการจัดจําหนาย (Intermediate Customers)
กิจการไมแสวงกําไร (Nonprofit organizations) หนวยธุรกิจ (Business Units)
ที่มา : Robert M. Morgan & Shelby D. Hunt, 1994
ผูบริโภค (Ultimate Customers)
รัฐบาล (Government) แผนกในบริษัท
(Functional Departments) พนักงาน (Employees)
คูแขง(Competitors) ผูจัดหาวัตถุดิบ
(Goods Suppliers)
ผูใหบริการ (Services Suppliers)
รูปที่ 2.9 การแลกเปลี่ยนความสัมพันธในตลาดเชิงสัมพันธภาพ (The Relational Exchanges in