บทที่ 2
5. สอดคลองกับการผลิต
2.11.4 สวนประกอบขององคประกอบศิลป
สวนประกอบขององค ประกอบศิลป ซึ่งจะทําใหเราสรางสรรคผลงานทุกรูปแบบได
นาสนใจ มีความสวยงาม มีดังนี้
1. จุด ( Point, Dot ) คือ สวนประกอบที่เล็กที่สุด เปนสวนเริ่มตนไปสูสวนอื่นๆ เชน การ นําจุดมาเรียงตอกันตามตําแหนงที่เหมาะสม และซ้ําๆ กัน จะทําใหเรามองเห็นเปน เสน รูปราง รูปทรง ลักษณะผิว และการออกแบบที่นาตื่นเตนได จากจุดหนึ่ง ถึงจุดหนึ่งมีเสนที่มองไมเห็นดวย ตา แตเห็นไดดวยจินตนาการ เราเรียกวา เสนโครงสราง
2. เสน ( Line ) เกิดจากจุดที่เรียงตอกันในทางยาว หรือเกิดจากการลากเสนไปยัง ทิศทางตางๆ มีหลายลักษณะ เชน ตั้ง นอน เฉียง โคง ฯลฯ เสนมีมิติเดียว คือ ความยาว ไมมีความ กวาง ทําหนาที่เปนขอบเขต ของที่วาง รูปราง รูปทรง น้ําหนัก สี ตลอดจนกลุมรูปทรง ตางๆ รวมทั้งเปนแกนหรือ โครงสรางของรูปรางรูปทรง เสนเปนพื้นฐานที่สําคัญ ของงานศิลปะทุก ชนิด เสนสามารถใหความหมาย แสดงความรูสึก และอารมณไดดวยตัวเอง
ภาพที่ 2.33 ภาพแสดงลักษณะของเสน
1. เสนตั้ง หรือ เสนดิ่ง ใหความรูสึกทางความสูง สงา มั่นคง แข็งแรง หนักแนนเปน สัญลักษณของความซื่อตรง
2. เสนนอน ใหความรูสึกทางความกวาง สงบ ราบเรียบ นิ่ง ผอนคลาย
3. เสนเฉียง หรือ เสนทะแยงมุม ใหความรูสึก เคลื่อนไหว รวดเร็ว ไมมั่นคง
4. เสนหยัก หรือ เสนซิกแซก แบบฟนปลา ใหความรูสึก เคลื่อนไหว อยางเปนจังหวะ มีระเบียบ ไมราบเรียบ นากลัว อันตราย ขัดแยง ความรุนแรง
5. เสนโคง แบบคลื่น ใหความรูสึก เคลื่อนไหวอยางชา ๆ ลื่นไหล ตอเนื่อง สุภาพ ออนโยน
6. เสนโคงแบบกนหอย ใหความรูสึกเคลื่อนไหว คลี่คลาย หรือเติบโตในทิศทาง ที่ หมุนวนออกมา ถามองเขาไปจะเห็นพลังความเคลื่อนไหวที่ไมสิ้นสุด
7. เสนโคงวงแคบ ใหความรูสึกถึงพลังความเคลื่อนไหวที่รุนแรง การเปลี่ยนทิศทางที่
รวดเร็ว
8. เสนประ ใหความรูสึกที่ไมตอเนื่อง ขาด หาย ไมชัดเจน ทําใหเกิดความเครียด ความสําคัญของเสน
1. ใชในการแบงที่วางออกเปนสวน ๆ
2. กําหนดขอบเขตของที่วาง หมายถึง ทําใหเกิดเปนรูปราง ( Shape ) ขึ้นมา 3. กําหนดเสนรอบนอกของรูปทรง ทําใหมองเห็นรูปทรง ( Form ) ชัดขึ้น 4. ทําหนาที่เปนน้ําหนักออนแก ของแสดงและเงา หมายถึง การแรเงาดวยเสน 5. ใหความรูสึกดวยการเปนแกนหรือโครงสรางของรูป และโครงสรางของภาพ 3. รูปรางและรูปทรง ( Shape and Form ) รูปราง คือ พื้นที่ ๆ ลอมรอบดวยเสนที่แสดง ความกวาง และความยาว รูปรางจึงมีสองมิติ รูปทรง คือ ภาพสามมิติที่ตอเนื่องจากรูปราง โดยมี
ความหนา หรือความลึก ทําใหภาพที่เห็นมี ความชัดเจน และสมบูรณ รูปรางและรูป ทรงที่มีอยูใน งานศิลปะมี 3 ลักษณะ คือ
3.1 รูปเรขาคณิต ( Geometric Form ) มีรูปที่แนนอน มาตรฐาน สามารถวัดหรือ คํานวณไดงาย มีกฎเกณฑ เกิดจากการสรางของมนุษย เชน รูปสี่เหลี่ยม รูปวงกลม รูปวงรี
ภาพที่ 2.34 ภาพแสดงรูปราง และรูปทรง
ภาพที่ 2.35 ภาพแสดงรูปรางเรขคณิต
3.2 รูปอินทรีย ( Organic Form ) เปนรูปของสิ่งที่มีชีวิต หรือ คลายกับสิ่งมีชีวิตที่
สามารถ เจริญเติบโต เคลื่อนไหว หรือเปลี่ยนแปลงรูปได เชนรูปของคน สัตว พืช
ภาพที่ 2.36 ภาพแสดงรูปทรงอินทรีย
3.3 รูปอิสระ ( Free Form ) เปนรูปที่ไมใชแบบเรขาคณิต หรือแบบอินทรีย แต
เกิดขึ้นอยางอิสระ ไมมีโครงสรางที่แนนอน ซึ่งเปนไปตามอิทธิพล และการกระทําจาก สิ่งแวดลอม เชน รูปกอนเมฆ กอนหิน หยดน้ํา ควัน ซึ่งใหความรูสึกที่เคลื่อนไหว มีพลัง
ภาพที่ 2.37 ภาพแสดงรูปทรงอิสระ
4. น้ําหนัก ( Value ) หมายถึงความออนแกของสี หรือแสงเงาที่นํามาใชในการเขียนภาพ น้ําหนัก ทําใหรูปทรงมีปริมาตร และใหระยะแกภาพ
คาน้ําหนัก คือ คาความออนแกของบริเวณที่ถูกแสงสวาง และบริเวณที่เปนเงาของวัตถุ
หรือ ความออน - ความเขมของสีหนึ่ง ๆ หรือหลายสี นอกจากนี้ยังหมายถึงระดับความเขมของ แสงและระดับ ความมืดของเงาซึ่งไลเรียงจากมืดที่สุด (สีดํา) ไปจนถึงสวางที่สุด ( สีขาว ) น้ําหนัก ที่อยูระหวางกลางจะเปนสีเทา ซึ่งมีตั้งแตเทาแกที่สุด จนถึงเทาออนที่สุด การใชคาน้ําหนักจะทํา ใหภาพดูเหมือนจริง และมีความกลมกลืน
ภาพที่ 2.38 ภาพแสดงคาน้ําหนัก
5. แสงและเงา ( Light & Shade ) เปนองคประกอบของศิลปที่อยูคูกัน แสง เมื่อสอง กระทบ กับวัตถุ จะทําใหเกิดเงา แสงและเงา เปนตัวกําหนดระดับของคาน้ําหนัก ความเขมของเงา จะ ขึ้นอยูกับความเขมของแสง คาน้ําหนักของแสงและเงาที่เกิดบนวัตถุ สามารถจําแนกเปนหลาย ลักษณะที่
ภาพที่ 2.39 ภาพแสดงแสงและเงา
6. พื้นผิว ( Texture ) หมายถึง สวนที่เปนพื้นผิวของวัตถุที่มีลักษณะตางๆ กัน เชน เรียบ ขรุขระ หยาบ มัน นุม ฯลฯ ซึ่งเราสามารถมองเห็นและสัมผัสได การนําพื้นผิวมาใชในงานศิลปะ จะชวยใหเกิดความเดนในสวนที่สําคัญ และยังทําใหเกิดความงามสมบูรณ
ลักษณะที่สัมผัสไดของ พื้นผิว มี 2 ประเภท คือ
1. พื้นผิวที่สัมผัสไดดวยมือ หรือกายสัมผัส เปนลักษณะพื้นผิวที่เปนอยูจริงๆ ของ ผิวหนาของวัสดุนั้นๆ ซึ่งสามารถสัมผัสไดจากงานประติมากรรม งานสถาปตยกรรม และ สิ่งประดิษฐอื่นๆ
2. พื้นผิวที่สัมผัสไดดวยสายตา จากการมองเห็นแตไมใชลักษณะที่แทจริงของผิววัสดุ
นั้นๆ เชน การวาดภาพกอนหินบนกระดาษ จะใหความรูสึกเปนกอนหินแต มือสัมผัสเปน กระดาษ หรือใชกระดาษพิมพลายไม หรือลายหินออนเพื่อปะ ทับ บนผิวหนาของสิ่งตางๆ เปนตน ลักษณะเชนนี้ถือวา เปนการสรางพื้นผิวลวงตา ใหสัมผัสไดดวยการมองเห็น เทานั้น