ที่สะทอนใหเห็นถึงอดีตของจังหวัดแพร ที่มีความอุดมสมบูรณดวยปาไมสักทองจนเปนแหลงคา ไมที่สําคัญในภาคเหนือ ผูคาที่สําคัญคือกลุมเจานายทองถิ่นในเมืองแพร ซึ่งมีการติดตอคาขาย กับบริษัทตางชาติ ตอมาในชวงหลังเหตุการณเงี้ยวปลนเมืองแพร ในพ.ศ. 2445 อํานาจของ กลุมเจานายทองถิ่นในเมืองแพรถูกลิดรอนโดยรัฐบาลสยาม ปาตาง ๆ ถูกควบคุมและรัฐบาล สยามเปนผูอนุญาตใหบริษัทตางชาติเขามาสัมปทานปาไมในเมืองแพรได บริษัทตางชาติที่
สําคัญในการขอพื้นที่สัมปทานทําปาไมในเมืองแพร ไดแก บริษัทบอมเบย เบอรมา (Bombay Burma Trading Corporation) ของอังกฤษ บริษัทนี้มีความชํานาญในการทําปาไมจากพมา และมีทุนทรัพยมาก จึงมีอิทธิพลตอรัฐบาลอังกฤษสูง บริษัทไดรับสัมปทานทําไมบริเวณปาไม
ทางทิศตะวันตกของแมน้ํายม ตั้งแตพื้นที่ตําบลสะเอียบ อําเภอสอง จนถึงปาแมตา อําเภอลอง
บริษัทบอมเบย เบอรมาไดสรางอาคารบอมเบย เบอรมา ที่เปนสถาปตยกรรมแบบ โคโลเนียล มีลักษณะผสมผสานกันระหวางอาคารทองถิ่นและอาคารแบบตะวันตก ติดกับ
แมน้ํายม เปนสํานักงานของแหลงพักไม โดยหลังจากที่หมดสัญญาสัมปทานปาไมในเมืองแพร
ทางบริษัทไดยกไวใหกับรัฐ (อดิศร ไชยบุญเรือง, ออนไลน, 2563)
อาคารบอมเบย เบอรมา มีอายุของอาคาร ยาวนานถึง 131 ป รูปแบบการกอสรางเปน สถาปตยกรรมแบบโคโลเนียล มีความสวยงาม มีรูปแบบของการกอสรางที่เปนเอกลักษณ
มีประวัติความเปนมาของอาคารที่สามารถสืบคนและทําใหเกิดความเขาใจเรื่องของ ประวัติศาสตร โบราณคดี ตลอดจนศิลปะได ซึ่งเปนไปตามหลักเกณฑทางวิชาการของการเปน โบราณสถาน แมวาปจจุบันจะยังไมมีการขึ้นทะเบียนขอเปนโบราณสถาน แตความงดงาม อายุของอาคารที่สะทอนถึงประวัติศาสตรของจังหวัดแพร จึงเปนสิ่งที่หลายฝายตองการอนุรักษ
ปกปอง คุมครอง และบํารุงรักษาใหคงอยูสืบตอไป
การรื้อถอนอาคารบอมเบย เบอรมา จึงนับเปนเหตุการณที่สรางความตระหนักและ ตื่นตัวในการที่จะอนุรักษ ปกปอง คุมครอง และบํารุงรักษาโบราณสถานสืบไป ในฐานะที่ผูเขียน เปนผูที่มีความรูทางดานกฎหมาย เห็นวากฎหมายเปนตัวกําหนดแนวปฏิบัติที่ดีใหกับคนใน สังคม จึงเสนอมาตรการทางกฎหมายเพื่อแนวทางหนึ่งในการรวมกันอนุรักษโบราณสถาน ของชาติ
158 Journal of Graduate Studies Review MCU Phrae Vol. 6 No. 2 (July–December 2020)
คําวา “โบราณสถาน” ตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติโบราณสถาน พ.ศ. 2504 แกไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถาน แหงชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 หมายความวา อสังหาริมทรัพยซึ่งโดยอายุหรือโดยลักษณะแหง การกอสราง หรือโดยหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของอสังหาริมทรัพยนั้น เปนประโยชนในทาง ศิลปะ ประวัติศาสตร หรือโบราณคดี ทั้งนี้ใหรวมถึงสถานที่ที่เปนแหลงโบราณคดีแหลง ประวัติศาสตรและอุทยานประวัติศาสตรดวย
จากความหมายดังกลาวขางตน สิ่งใดจะถือเปนโบราณสถานไดนั้นจะตองประกอบดวย หลักเกณฑ ดังนี้
1) ตองเปนอสังหาริมทรัพย
ความหมายของคําวา “อสังหาริมทรัพย” ไดบัญญัติไวในประมวลกฎหมายแพงและ พาณิชย มาตรา 139 วา “อสังหาริมทรัพย ไดแก ที่ดินและทรัพยสิ่งติดกับที่ดินมีลักษณะเปน การถาวร หรือประกอบเปนอันเดียวกับที่ดินนั้น และหมายความรวมถึงทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับ ที่ดิน หรือทรัพยอันติดอยูกับที่ดิน หรือประกอบเปนอันเดียวกับที่ดิน” จากความหมายสามารถ อธิบายความหมายของอสังหาริมทรัพยไดดังตอไปนี้
(1) ที่ดิน ทั้งที่ดินที่เจาของมีกรรมสิทธิ์ เชน ที่ดินมีโฉนด โฉนดแผนที่ โฉนดตรา จอง และยังรวมถึงที่ดินที่มีผูครอบครอง เชน ที่ดินที่มีสิทธิครอบครอง (ส.ค.1) ที่ดินที่มีหนังสือ รับรองการทําประโยชน (น.ส.3 หรือ น.ส.3 ก) เปนตน
(2) ทรัพยอันติดกับที่ดิน ไดแก ทรัพยที่ติดกับที่ดินโดยธรรมชาติ เชน ไมยืนตน หรือทรัพยที่ติดกับที่ดินโดยมีผูนํามาติด เชน ตึก อนุสาวรีย เจดีย เปนตัน
(3) ทรัพยซึ่งประกอบเปนอันเดียวกับที่ดิน เชน แมน้ํา ลําคลอง กรวด ทราย ซึ่งมี
อยูตามธรรมชาติ
(4) สิทธิอันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน หรือทรัพยสิทธิ ซึ่งแบงออกเปน 2 ประเภท คือ
ประเภทแรก คือ สิทธิเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยตรง ไดแก กรรมสิทธิ์ หรือ สิทธิ ครอบครอง ผูทรงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง ยอมมีสิทธิที่จะจําหนายหรือโอน มีสิทธิ
ใชสอย และไดมาซึ่งดอกผล สิทธิที่จะติดตามทวงคืนทรัพยสินนั้นจากผูไมมีสิทธิจะยึดถือไว
ประเภทที่สอง คือ สิทธิที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์โดยออม เปนสิทธิที่ไมเกี่ยวกับ กรรมสิทธิ์โดยตรง แตเปนสิทธิที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพยอยางอื่นซึ่งติดอยูกับที่ดินอีกทอดหนึ่ง เชน สิทธิจํานอง
2) โดยอสังหาริมทรัพยที่เปนโบราณสถานจะมีหลักเกณฑสําคัญในการพิจารณา 3 ประการ คือ
(1) อายุของอสังหาริมทรัพย
(2) ลักษณะแหงการกอสรางของอสังหาริมทรัพย
(3) หลักฐานเกี่ยวกับประวัติของอสังหาริมทรัพย
ทั้งนี้ จะตองเปนเปนประโยชนตอศาสตรแขนงหนึ่งใดใน 3 แขนงนี้คือ ศิลปะ ประวัติศาสตร หรือโบราณคดี
เมื่อพิจารณาความหมายของโบราณสถานที่กฎหมายกําหนดขางตนแลว การที่จะถือวา สิ่งใดเปนโบราณสถานจะตองประกอบดวยหลักเกณฑดังนี้ คือ ประการแรก ตองเปน อสังหาริมทรัพย และประการที่สอง คือ โดยอายุหรือโดยลักษณะแหงการกอสราง หรือ หลักฐานเกี่ยวกับประวัติของอสังหาริมทรัพยนั้น เปนประโยชนในทางศิลปะ ประวัติศาสตร
หรือโบราณคดี
ประเภทของโบราณสถาน
ตามพระราชบัญญัติ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ
พ.ศ. 2504 แกไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และ พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 อาจแยกประเภทของโบราณสถาน ได 2 วิธี
คือ (พณิชพงศ พลับผล 2552, น. 4 - 6)
1) แบงแยกโดยพิจารณาตามหลักกรรมสิทธิ์ คือ แบงเปน
(1.1) โบราณสถานที่มีเจาของหรือผูครอบครองโดยชอบดวยกฎหมาย (1.2) โบราณสถานที่ไมมีเจาของ หรือผูครอบครองโดยชอบดวยกฎหมาย 2) แบงโดยพิจารณาจากหลักการขึ้นทะเบียน คือ แบงเปน
(2.1) โบราณสถานที่ขึ้นทะเบียน (2.2) โบราณสถานที่มิไดขึ้นทะเบียน
สําหรับอาคารบอมเบย เบอรมา อาคารแหงนี้ถือวาเปนโบราณสถาน ตามนิยามคําวา โบราณสถาน ในมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถาน แหงชาติ พ.ศ.2504 แมวาขณะนี้อาคารบอมเบย เบอรมา จะไมไดขึ้นทะเบียนเปนโบราณสถาน ก็ไมไดเปนสิ่งที่ทําใหความเปนโบราณสถานของอาคารบอมเบย เบอรมาหมดไป เพราะการขึ้น ทะเบียนเปนโบราณสถานไดหรือไมนั้น นอกจากจะเปนดุลพินิจของอธิบดีกรมศิลปากรแลว (มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ
พ.ศ. 2504) ยังขึ้นอยูกับการคนพบโบราณสถานนั้น ดังนั้น จึงไมไดเปนบทบังคับที่จะตองขึ้น ทะเบียนโบราณสถานในทุกกรณีเมื่อมีลักษณะและองคประกอบครบถวนดังที่กลาวขางตนแต
อยางใด (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 1015/2558)
160 Journal of Graduate Studies Review MCU Phrae Vol. 6 No. 2 (July–December 2020)