3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิจัย
3.1 การก าหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
3.1.1 ประชากร
ประชากรที่จะท าการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในการท างานเพื่อเพิ่มความ ผูกพันต่อองค์การของบุคลากรสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไทยในเขตกรุงเทพมหานคร คือ บุคลากร ที่ปฏิบัติหน้าที่ในต าแหน่งเจ้าหน้าที่และอาจารย์ประจ าของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในเขต กรุงเทพมหานคร จาก 12 สถาบันการศึกษา จ านวนทั้งสิ ้น 8,841 คน
ตารางที่ 1 แสดงจ านวนประชากรของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร จ าแนกตามประเภทผู้รับใบอนุญาต
ล าดับ รายการ จ านวน (คน)
ประเภทบุคคลธรรมดา 1,982
1 มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น 212
2 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 1,235
3 มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต 535
(ตาราง 1) ต่อ
ล าดับ รายการ จ านวน (คน)
ประเภทนิติบุคคล 3,796
4 มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต 866
5 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร 678
6 มหาวิทยาลัยสยาม 540
7 มหาวิทยาลัยศรีปทุม 760
8 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 952
ประเภทมูลนิธิ 3,063
9 มหาวิทาลัยกรุงเทพ 1,162
10 มหาวิทยาลัยเกริก 157
11 มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ 1,121
12 มหาวิทยาลัยเอเซียอาคเนย์ 623
รวม 8,841
ที่มา : ส่วนพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ส านักประสานและส่งเสริมกิจการอุดมศึกษา 3.1.2 กลุ่มตัวอย่าง
สามารถก าหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากจ านวนประชากรทั้งหมดได้ด้วยวิธีของ Taro Yamane (1967 อ้างถึงในบุญธรรม, 2535) โดยก าหนดค่าความเชื่อมั่นที่ 95% และยอมให้มี
ความคาดเคลื่อนจากจ านวนประชากรทั้งหมด 0.05 ดังนี ้ จากสูตร n = N
1 + Ne 2
โดยที่ n = จ านวนขนาดตัวอย่าง
N = จ านวนรวมทั้งหมดของประชากรที่ใช้ในการศึกษา e = ความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้
ในงานวิจัยนี ้ก าหนดไว้เท่ากับ 0.05
แทนค่า n = 8,841 1 + (8,841)(0.05)2 n = 383 คน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี ้ได้มาจากวิธีสุ่มแบบแบ่งชั้นชนิดสัดส่วน (Proportional Stratified Sampling) โดยแบ่งตามประเภทผู้รับใบอนุญาต ซึ่งสามารถแสดงกลุ่ม ตัวอย่างที่จะศึกษาเป็นขั้นตอนดังนี ้
1. หาขนาดของกลุ่มตัวอย่างได้ 383 คน
2. จ าแนกประชากรออกเป็นกลุ่มตามประเภทผู้รับใบอนุญาตได้ 3 กลุ่ม คือประเภท บุคคลธรรมดา ประเภทนิติบุคคล และประเภทมูลนิธิ
3. แบ่งจ านวนขนาดของกลุ่มตัวอย่างออกตามจ านวนกลุ่มของประชากรโดยใช้สัดส่วน ของประชากรแต่ละกลุ่มเป็นตัวแบ่ง ดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2 แสดงจ านวนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร จ าแนกตามประเภทผู้รับใบอนุญาต
ล าดับ รายการ ประชากร ตัวอย่าง
1 ประเภทบุคคลธรรมดา
ใช้ตัวแทนจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
1,982 86
2 ประเภทนิติบุคคล
ใช้ตัวแทนจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม
3,796 164
3 ประเภทมูลนิธิ
ใช้ตัวแทนจากมหาวิทยาลัยเกริก
3,063 133
รวม 8,841 383
วิธีการสุ่มตัวอย่าง เป็นการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling)
3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี ้จะใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นโดย อาศัยแนวคิด ทฤษฎีและผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตในการท างานและความผูกพันต่อ องค์การ โดยดัดแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับกรอบแนวความคิดในการท าวิจัย โดยแบบสอบถาม แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี ้
ส่วนที่ 1 ข้อค าถามเกี่ยวกับลักษณะส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนที่ 2 ข้อค าถามเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตในการท างาน
ส่วนที่ 3 ข้อค าถามเกี่ยวกับความผูกพันต่อองค์การ ส่วนที่ 4 ภาพรวมของคุณภาพชีวิตในการท างาน
3.3 การสร้างเครื่องมือและศึกษาคุณภาพของเครื่องมือ
1. ศึกษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตในการท างานและความ ผูกพันต่อองค์การ
2. น าข้อมูลที่ได้จากข้อ 1 มาก าหนดเป็นกรอบแนวความคิด ตามลักษณะตัวแปรที่จะ ศึกษา
3. สร้างข้อค าถามให้อยู่ภายใต้กรอบแนวความคิดและครอบคลุมวัตถุประสงค์ของการ วิจัยซึ่งใช้ค าถามแบบปิด Close Question และแบบเปิด Open Question โดยมีขั้นตอน ดังต่อไปนี ้
ขั้นที่ 1 การก าหนดวัตถุประสงค์
การสร้างแบบสอบถามมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลของ คุณภาพชีวิตในการท างานและความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรสถาบันอุดมศึกษาไทยในเขต กรุงเทพมหานคร
ขั้นที่ 2 การนิยามปฏิบัติการส าหรับตัวแปรหลัก ตัวแปรในการศึกษาวิจัยครั้งนี ้ ประกอบด้วย
1.1 ค่าตอบแทนที่ยุติธรรมและเพียงพอ หมายถึง ค่าตอบแทนและผลประโยชน์ที่
บุคลากรได้รับจากการปฏิบัติงานเพียงพอในการด ารงชีวิต และมีความยุติธรรมเมื่อเปรียบเทียบ กับลักษณะงานและการปฏิบัติงาน วัดเป็นคะแนนโดยการให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด าเนินการ ประเมินในแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ
1.2 สิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและส่งเสริมสุขภาพ หมายถึง การที่บุคลากรผู้ปฏิบัติ
งานได้อยู่ในสภาพแวดล้อมของการท างานที่ดี องค์การมีการก าหนดมาตรฐานเกี่ยวกับ สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งรวมไปถึงเรื่องการควบคุมเกี่ยวกับเรื่องของเสียง กลิ่น การ รบกวนทางสายตา วัดเป็นคะแนนโดยการให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด าเนินการประเมินใน แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ
1.3 การพัฒนาความสามารถของบุคคล หมายถึง การที่องค์การให้โอกาสแก่บุคลากร ผู้ปฏิบัติงานได้ใช้ฝีมือพัฒนาทักษะและความรู้ของตนเองซึ่งจะส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงานได้มีความรู้สึก ว่าตนมีค่า และมีความรู้สึกท้าทายจากการท างานของตนเอง วัดเป็นคะแนนโดยการให้บุคลากร
ผู้ปฏิบัติงานด าเนินการประเมินในแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณ ค่า (Rating Scale) โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ
1.4 ความก้าวหน้าและความมั่นคงในงาน หมายถึง ความรู้สึกเชื่อมั่นที่มีต่อความ มั่นคงในหน้าที่การงาน และโอกาสที่จะได้รับความก้าวหน้าในการท างาน ทั้งในเรื่องของรายได้
และต าแหน่งงาน วัดเป็นคะแนนโดยการให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด าเนินการประเมินใน แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ
1.5 การบูรณาการด้านสังคมหรือการท างานร่วมกัน หมายถึง การที่ผู้ปฏิบัติงานรู้สึก ว่ามีคุณค่าได้รับการยอมรับและร่วมมือจากกลุ่มเพื่อนร่วมงาน รู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เพื่อนร่วมงาน มีการเปิดเผยตนเอง มีบรรยากาศในการท างานที่ดี มีลักษณะการท างานที่
ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน วัดเป็นคะแนนโดยการให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด าเนินการประเมินใน แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ
1.6 สิทธิของพนักงาน หรือธรรมนูญในองค์การ หมายถึง การใช้หลักธรรมนูญใน การปฏิบัติงานการเคารพในสิทธิส่วนบุคคล ความเสมอภาค การมีอิสระในการแสดงความ คิดเห็นและการมีส่วนร่วมในการบริหารงาน วัดเป็นคะแนนโดยการให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงาน ด าเนินการประเมินในแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ
1.7 ความสมดุลระหว่างชีวิตการท างานกับชีวิตส่วนตัว หมายถึง การแบ่งเวลาให้
เหมาะสมในการด ารงชีวิต เวลาที่ใช้ในการปฏิบัติงาน เวลาส่วนตัว เวลาส าหรับครอบครัว เวลา พักผ่อน และเวลาที่ให้กับสังคม วัดเป็นคะแนนโดยการให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด าเนินการ ประเมินในแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ
1.8 การเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์กับสังคม หมายถึง ความรู้สึกว่างานและองค์การ ที่ปฏิบัติงานอยู่นั้น มีความส านึกรับผิดชอบต่อสังคม เป็นประโยชน์ต่อสังคม ความภาคภูมิใจใน งานและองค์การของตน ความมีชื่อเสียงและการได้รับการยอมรับจากสังคม วัดเป็นคะแนนโดย การให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด าเนินการประเมินในแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ
1.9 ความเชื่อมั่นและยอมรับในเป้าหมาย และค่านิยมขององค์การ หมายถึง ความรู้สึกเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเป้าหมาย และค่านิยมขององค์การที่ก าหนดไว้ วัดเป็น คะแนนโดยการให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด าเนินการประเมินในแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่ง เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ
1.10 ความเต็มใจที่จะทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มความสามารถเพื่อประโยชน์
ขององค์การ หมายถึง การที่บุคลากรผู้ปฏิบัติงานยอมเสียสละเวลา ก าลังกาย ก าลังความคิด และสิ่งต่างๆ ให้แก่การท างานอย่างเต็มที่ โดยมุ่งหวังให้งานที่ปฏิบัตินั้นประสบความส าเร็จและ เป็นผลดีต่อองค์การในภาพรวม วัดเป็นคะแนนโดยการให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด าเนินการ ประเมินในแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ
1.11 ความต้องการที่จะคงอยู่เป็นสมาชิกภาพขององค์การต่อไป หมายถึง ความ ต้องการที่จะอยู่ปฏิบัติงานในฐานะบุคลากรคนหนึ่งของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนอย่างแน่วแน่ ไม่
มีความคิดหรือความต้องการที่จะลาออกจากการเป็นสมาชิกขององค์การ ไม่ว่าจะเป็นการลาออก เพื่อไปประกอบอาชีพอื่น หรือโยกย้ายไปปฏิบัติงานในองค์การอื่น วัดเป็นคะแนนโดยการให้
บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด าเนินการประเมินในแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scale) โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ
ขั้นที่ 3 การก าหนดโครงสร้างของเนื้อหาที่ต้องการวัด
โครงสร้างหลักของเนื ้อหาที่ต้องการวัด คือ เรื่องคุณภาพชีวิตในการท างาน ซึ่งมี
องค์ประกอบ 8 องค์ประกอบ และเรื่องความผูกพันต่อองค์การ ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 องค์ประกอบ ดังนั้นผู้วิจัยจึงก าหนดน ้าหนักความส าคัญในแต่ละเนื ้อหาของการวิจัย ดังตารางที่ 3 และ 4