อาจารย์ ที่ปรึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมตรวจสอบความเหมาะสมของข้อค าถาม ภาษาที่ใช้
และการจัดรูปแบบการพิมพ์ ปรับปรุงแก้ไขตามค าแนะน าและจัดท าเป็นแบบสอบถามฉบับร่าง 3.5 ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ผู้วิจัยน าแบบสอบถามฉบับร่าง พร้อมกับรายละเอียดเกี่ยวกับหัวข้อวิจัย วัตถุประสงค์การวิจัย กรอบแนวคิดในการวิจัย นิยามเชิง ปฎิบัติการของตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน ตรวจสอบคุณภาพของ แบบสอบถามในด้านความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสม ของข้อค าถามเป็นรายข้อกับนิยามเชิงปฎิบัติการ (Item Objective Congruence: IOC) มีการให้
คะแนน ดังนี้
+1 หมายถึง ข้อค าถามมีความสอดคล้องกับนิยามเชิงปฎิบัติการที่
ต้องการวัด
0 หมายถึง ข้อค าถามมีความไม่ชัดเจนว่าสอดคล้องกับนิยามเชิง ปฎิบัติการที่ต้องการวัด
-1 หมายถึง ข้อค าถามไม่มีความสอดคล้องกับนิยามเชิงปฎิบัติการที่
ต้องการวัด
เกณฑ์การพิจารณาจากค่าดัชนี IOC โดยถือเกณฑ์ .50 ขึ้นไป แสดง ว่าข้อค าถามสอดคล้องกับนิยามเชิงปฎิบัติการ (ศิริชัย กาญจนวาสี. 2556: 97) ภายหลังจาก ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความสอดคล้องของแบบสอบถามแล้ว คัดเลือกข้อค าถามที่ผ่านเกณฑ์และ ปรับปรุงภาษาที่ใช้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ไว้ใช้ทั้งหมด 30 ข้อ ซึ่งเป็นข้อค าถามที่มีค่า ดัชนี IOC ตั้งแต่ .60 - 1.00
3.6 การทดลองใช้แบบสอบถามเพื่อตรวจสอบค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของเครื่องมือ ผู้วิจัยน าแบบสอบถามที่ปรับแก้ไขแล้วไปทดลองใช้ (try out) กับกลุ่มตัวอย่างที่มี
ลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาจริง จ านวน 30 คน และวิเคราะห์หาค่าอ านาจ จ าแนกของข้อค าถามเป็นรายข้อ โดยใช้สูตรสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation) แล้วคัดเลือกเฉพาะข้อที่มีอ านาจจ าแนกตั้งแต่ .20 ขึ้นไป และวิเคราะห์หาค่าความ เชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามทั้งฉบับด้วยวิธีการประมาณค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอน บาค (Cronbach’s alpha Coefficient) มีค่าเท่ากับ .90
3.7 ผู้วิจัยปรับปรุงแก้ไขแบบสอบถามจนได้แบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ และ น าแบบสอบถามไปให้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามเพื่อน ามาวิเคราะห์ล าดับความต้องการ จ าเป็นในล าดับต่อไป
การเก็บรวบรวมข้อมูล
แบบสัมภาษณ์เชิงลึก มีรายละเอียด ดังนี้
1. ติดต่อผู้ให้สัมภาษณ์เพื่อขออนุญาตเก็บข้อมูลวิจัย และแจ้งรายละเอียด เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้อย่างไม่เป็นทางการ
2. น าหนังสือรับรองอย่างเป็นทางการ จากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ พร้อมทั้งประเด็นค าถามในการสัมภาษณ์ไปยื่นให้กับผู้ให้สัมภาษณ์ พร้อมทั้ง นัดหมายวัน เวลา และสถานที่สัมภาษณ์
3. ด าเนินการสัมภาษณ์ ขออนุญาตบันทึกเสียงในระหว่างการสัมภาษณ์ และ จดบันทึกการสัมภาษณ์
แบบสอบถามประเมินความต้องการจ าเป็นของนิสัยอุตสาหกรรมของ นักศึกษามีรายละเอียด ดังนี้
1. ผู้วิจัยท าหนังสือขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากบัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อขอความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดย ผู้บังคับบัญชาอนุญาตให้ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเพื่อใช้ในการวิจัยครั้งนี้
2. น าหนังสือรับรองจากมหาวิทยาลัย เสนอต่อผู้บังคับบัญชาของกลุ่มตัวอย่าง เพื่อขอความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล
3. ด าเนินการน าแบบสอบถามไปเก็บรวบรวมข้อมูลตามวันเวลาที่นัดหมายด้วย ตนเอง โดยก ากับติดตามแบบสอบถามคืนและตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลแล้วท าการ วิเคราะห์ข้อมูลต่อไป
การวิเคราะห์ข้อมูล
ในขั้นตอนการวิเคราะห์ประเมินความต้องการจ าเป็นในการเสริมสร้างนิสัย อุตสาหกรรมของนักศึกษาฯ ได้แก่
1. การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นเพื่ออธิบายลักษณะของผู้ตอบแบบสอบถาม ด้วย สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
2. สถิติที่ใช้ในการจัดล าดับความต้องการจ าเป็น
การวิเคราะห์ Modified Priority Needs Index (PNI Modified) (สุวิมล ว่องวานิช 2558: 80) โดยมีสูตร ดังนี้
(PNI Modified) = (I - D) / D
โดย I (importance) หมายถึง ระดับความคาดหวังที่ต้องการให้เกิด D (Degree of Success) หมายถึง ระดับสภาพที่เป็นจริงในปัจจุบัน โดยตั้งเกณฑ์การประเมินไว้ว่า ค่าดัชนีที่มีค่า 0.3 ขึ้นไป ถือเป็นความต้องการ จ าเป็นส่วนการจัดล าดับความส าคัญของความต้องการจ าเป็นใช้การเรียงดัชนีจากมากไปน้อย ดัชนีที่มีค่ามากแปลว่ามีความต้องการจ าเป็นสูงที่ต้องได้รับการพัฒนามากกว่าดัชนีที่มีค่าน้อย
3. การวิเคราะห์เมทริกซ์ (matrix analysis) เป็นวิธีการวิเคราะห์ที่เน้นการเสนอ ผลการด าเนินงานของหน่วยงานในส่วนที่เป็นจุดแข็งและจุดอ่อนที่ควรได้รับการพัฒนาโดยการ แบ่ง ตารางออกเป็น 4 ช่อง แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสภาพที่มุ่งหวัง (หรือเรียกว่าเกณฑ์ที่ควรจะ เป็น) และสภาพที่เกิดขึ้นจริง จุดที่ใช้ในการแบ่งอาจเป็นค่าเฉลี่ยของคะแนนสูง-ต ่าที่ก าหนด หรือ เกณฑ์ที่ผู้ประเมินเห็นว่าเหมาะสมที่จะเป็นจุดตัด (cut-off score) แสดงดังภาพประกอบ 5
เกณฑ์การแปลความหมาย ดังนี้
1 หมายถึง เกณฑ์ที่ควรจะเป็นมีระดับต ่า แต่ผลการด าเนินงานสูงกว่า เกณฑ์ที่ก าหนด หมายความว่า ผลการด าเนินงานมีคุณภาพเกินเกณฑ์ที่ก าหนด
2 หมายถึง เกณฑ์ที่ควรจะเป็นมีระดับสูง และผลการด าเนินงานสูงกว่า เกณฑ์ที่ก าหนด หมายความว่า ผลการด าเนินงานประสบความส าเร็จในระดับดี
3 หมายถึง เกณฑ์ที่ควรจะเป็นมีระดับสูง แต่ผลการด าเนินงานต ่ากว่า เกณฑ์ที่ก าหนด หมายความว่า ผลการด าเนินงานไม่ประสบความส าเร็จต้องท าการแกไขปรับปรุง อย่างยิ่ง
4 หมายถึง เกณฑ์ที่ควรจะเป็นมีระดับต ่า และผลการด าเนินงานต ่ากว่า เกณฑ์ที่ก าหนด หมายความว่า ผลการด าเนินงานยังอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก แต่ยังไม่น่าวิตกมาก
เนื่องจากหน่วยงานให้ความส าคัญกับตัวบ่งชี้นั้นไม่สูงนัก สภาพที่เป็นจริง
ผลดีเกินเกณฑ์ ผลงานประสบผลส าเร็จดี
ผลงานยังไม่ดี แต่ยังไม่น่าห่วง ผลงานไม่ดี ต้องปรับปรุง
สภาพที่คาดหวัง ภาพประกอบ 5 ผลการประเมินความต้องการจ าเป็นโดยใช้การวิเคราะห์เมทริกซ์
ระยะที่ 2 การสร้างและหาประสิทธิภาพรูปแบบการพัฒนาความยึดมั่นผูกพันในงานเพื่อ เสริมสร้างนิสัยอุตสาหกรรม ตามความต้องการจ าเป็นของสถานประกอบการ ของ นักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ระบบทวิภาคี ประเภทวิชาอุตสาหกรรม เขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
การด าเนินการวิจัยในระยะที่ 2 ผู้วิจัยน านิสัยอุตสาหกรรมของนักศึกษาตาม
ความต้องการจ าเป็นที่ได้จากการศึกษาในระยะที่ 1 สร้างรูปแบบการพัฒนาความยึดมั่นผูกพัน ในงานเพื่อเสริมสร้างนิสัยอุตสาหกรรมของนักศึกษาฯ เพื่อตอบค าถามการวิจัยที่ว่า “รูปแบบการ พัฒนาความยึดมั่นผูกพันในงานเพื่อเสริมสร้างนิสัยอุตสาหกรรมของนักศึกษาฯ มีประสิทธิภาพ อย่างไร”
ความมุ่งหมายของการวิจัย
เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพรูปแบบการพัฒนาความยึดมั่นผูกพันในงานเพื่อ เสริมสร้างนิสัยอุตสาหกรรม ตามความต้องการจ าเป็นของสถานประกอบการของนักศึกษา ระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ระบบทวิภาคี ประเภทวิชาอุตสาหกรรม เขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออก
1
4
2
3
ขั้นตอนที่ 1 การพัฒนารูปแบบการพัฒนาความยึดมั่นผูกพันในงานเพื่อ เสริมสร้างนิสัยอุตสาหกรรมของนักศึกษา
ส าหรับขั้นตอนการสร้างรูปแบบการพัฒนาความยึดมั่นผูกพันในงานเพื่อ เสริมสร้างนิสัยอุตสาหกรรม ตามความต้องการจ าเป็นของสถานประกอบการ ของนักศึกษาระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ระบบทวิภาคี ประเภทวิชาอุตสาหกรรม เขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออก ซึ่งมีรายละเอียดแบ่งออกเป็น 2 กระบวนการ ดังต่อไปนี้
1. การสังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสาร งานวิจัยและการสัมภาษณ์
1.1 ผู้วิจัยน านิสัยอุตสาหกรรมเบื้องต้นที่ได้จากการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน โดยการวิเคราะห์จากเอกสาร งานวิจัย แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับนิสัยอุตสาหกรรม และใช้
เทคนิคการสัมภาษณ์เชิงลึก (Indepth-interview) เก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิจาก สถานศึกษา สถานประกอบการและจากมหาวิทยาลัย ประกอบด้วย 1) ความซื่อสัตย์ 2) ความมี
ระเบียบวินัยและตรงต่อเวลา 3) ความรับผิดชอบ 4) ความใฝ่เรียนรู้ 5) ความขยันและอดทน 6) ความประหยัด 7) ความตระหนักในความปลอดภัย 8) ความคิดสร้างสรรค์ 9) การท างานเป็น ทีม และ10) การมีจิตสาธารณะ จากนั้นวิเคราะห์ค่าดัชนีล าดับความส าคัญของความต้องการ จ าเป็น (PNI Modified) และคัดเลือกดัชนีที่อยู่ในระดับที่ต้องได้รับการแก้ไขปรับปรุงอย่างยิ่ง เพื่อ น ามาสร้างเป็นรูปแบบการพัฒนาความยึดมั่นผูกพันในงานเพื่อเสริมสร้างนิสัยอุตสาหกรรมของ นักศึกษาต่อไป
1.2 ผู้วิจัยจัดท าโครงร่างรูปแบบการพัฒนาความยึดมั่นผูกพันในงานเพื่อ เสริมสร้างนิสัยอุตสาหกรรม ตามความต้องการจ าเป็นของสถานประกอบการ ของนักศึกษาระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ระบบทวิภาคี ประเภทวิชาอุตสาหกรรม เขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออก อาศัยพื้นฐานของแนวคิดและทฤษฎีต่างๆมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบรูปแบบ การจัดกิจกรรม ซึ่งประกอบด้วยทฤษฎีพัฒนาการทางเหตุผลเชิงจริยธรรมของโคลเบอร์ก (Kohlberg’s Description of Moral Development) ท ฤ ษ ฎี ก ารเรีย น รู้ท างสังค ม (Social Learning Theory) ของแบนดูรา แนวคิดการพัฒนาด้านจิตพิสัยของแครทโวล บลูม และมาเซีย (Krathwohl Bloom and Masia) ความยึดมั่นผูกพันในงาน (Work Engagement) ของ Schaufeli มีขั้นตอนการจัดกิจกรรมแต่ละแผนการกิจกรรมประกอบด้วย 6 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 ขั้นเต็มใจและ เห็นคุณค่า (Willing and Value) ขั้นที่ 2 ขั้นคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ (Analytical Thinking) ขั้น ที่ 3 ขั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Sharing) ขั้นที่ 4 ขั้นสะท้อนคิด (Reflective Thinking) ขั้นที่ 5 ขั้นสรุป (Conclusion) ขั้นที่ 6 ขั้นสร้างลักษณะนิสัย (Character)