ในความเห็นต่างในอิสลาม
2.2.3 สาเหตุของความเห็นต่างในอิสลาม
2.2.3.1 ความเห็นต่างในยุคของท่านเราะสูล
ยุคของท่านเราะสูล หรือยุคที่ท่านเราะสูล ยังมีชีวิตและท าหน้าที่อบรมและ น าเสนอหลักการอิสลาม ถือเป็นยุคที่นักวิชาการจ านวนมากมีความเห็นว่า บรรดาเศาะฮาบะฮฺของ ท่านอาจจะมีความเห็นต่างในเรื่องหลักการศาสนาบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นที่ความเห็นต่างของพวกเขาจะท า ให้เกิดความขัดแย้งในสังคม ดังเห็นได้จากหลายหะดีษที่มีการรายงานเกี่ยวกับแนวทางการจัดการ ความเห็นต่างของบรรดาเศาะฮาบะฮฺ เมื่อมีประเด็นปัญญหาทางด้านศาสนาหรือความเห็น พวกเขาก็
จะน าเรื่องดังกล่าว หรือน าเรื่องราวการปฏิบัติที่แตกต่างกันไปสอบถามท่านเราะสูล เพื่อให้ท่าน ได้ให้ค าแนะน าที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเด็นที่พวกเขาสงสัย ตัวอย่างรายงานจาก อิบนุ อับบาส ได้
กล่าวถึงความใฝ่รู้ของพวกเขา ว่า
َ م((
َى لصَ للَّاَ لوسرَ باحصأَنمَاًيرخَاوناكَاًموقَ تيأرَا مَ م لسوَ ه يلعَ للَّا
َ لإَاولأسَا
مه عفنيَا معَ لإَ نولأسيَاوناكَاموَ نآرقلاَفيَ نهُّلكَ،َ ضبقَ تّحًَةلأسمَ رشعَ ةثلثَنع ))
64
ความว่า “ฉันไม่เคยเห็นชนกลุ่มใดที่จะดีกว่ากลุ่มเศาะฮาบะฮฺของท่านเราะสูล ซึ่งพวกเขาได้ให้ความสนใจสอบถาม (ท่านเราะสูล ) นอกจากเกี่ยวกับ 13 ประเด็นปัญหา จนกระทั่งประเด็นทั้งหมดได้ถูกบรรจุไว้ในอัลกุรอาน และพวกเขาก็
ไม่เคยถามสิ่งใด นอกจากสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเอง”
64 หะดีษรายงานโดย Ibn Muflih ใน al-Adāb al-Shar’iyyah: 2/73 สายรายงานอยู่ในระดับหะสัน
ดังกล่าว นักวิชาการหลายท่านต่างก็มีความเห็นว่า ยุคนี้เป็นยุคที่ทุกความเห็นต่าง ได้รับค าปรึกษาและได้รับค าแนะน าจากท่านเราะสูล สอดคล้องกับความเห็นของ Tāhā Jābir Fāyyād al-‘Ulwāniy (1987: 34) ได้กล่าวว่า ในยุคที่ท่านเราะสูล ยังมีชีวิต ท่านได้อยู่ร่วมกับ บรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่าน และได้ปฏิบัติตนในฐานะเป็นศาสนทูต น าเสนอค าสอนอิสลาม ให้การ แนะน าและให้ค าปรึกษาในเรื่องที่พวกเขามีข้อสงสัยเกี่ยวกับหลักการศาสนา ท าให้พวกเขาได้รับความ ชัดเจนและมีความเข้าใจตรงกัน มีการให้เกียรติและให้ความเคารพต่อความเห็นต่าง หรือแม้แต่ใน พื้นที่ที่ห่างไกลจากเมืองมะดีนะฮฺ ก็จะพบว่า เมื่อบรรดาเศาะฮาบะฮฺมีความเห็นต่างกันในการ อรรถาธิบายหรือการตีความเข้าใจจากตัวบทอัลกุรอานและอัลหะดีษ ซึ่งพวกเขาอาจจะไม่ทราบ รายละเอียดชัดเจน พวกเขาก็จะเดินทางมาหาท่านเราะสูล ที่เมืองมะดีนะฮฺ เพื่อขอให้ท่านแนะน า และให้ค าอธิบายในเรื่องดังกล่าว
เช่นเดียวกับความเห็นของ ‘Abdullāh bin ‘Abd al-Musin al-Turakiy (2010:
22) กล่าวว่า ในยุคของท่านเราะสูล ถือเป็นยุคที่ความเห็นต่างระหว่างบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ไม่ได้
ส่งผลกระทบใดๆ ต่อความสามัคคีปรองดองกันของพวกเขา เนื่องจากท่านเราะสูล คือ ที่กลับของ ศาสนา หรือเป็นแหล่งอ้างอิง เป็นผู้ให้ค าปรึกษาและให้ค าแนะน าทางออกในทุกประเด็นปัญหา ระหว่างพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเป็นผู้รับวิวรรณ์ (วะห์ยู) ด้วยตนเอง และได้น าเสนอค าสอนอิสลาม ได้อย่างสมบูรณ์ จนกระทั่งถึงวันที่กลับคืนสู่อัลลอฮฺ เราะสูล ก็ได้ทิ้งมรดกทางค าสอนและ แบบอย่างอันงดงามให้แก่พวกเขา ทั้งที่ปรากฏในอัลกุรอาน อัลหะดีษ และบรรดาเศาะฮาบะฮฺผู้ท า หน้าที่สานต่อเจตนารมณ์อันดีงาม
และเมื่อพิจารณาถเกี่ยวกับสาเหตุของความเห็นต่างในยุคของท่านเราะสูล พบว่า สาเหตุความเห็นต่างของพวกเขาเกิดจากความเข้าใจที่แตกต่างกันในเรื่องการตีความค าสั่งหรือ ค าสอนของอัลกุรอานและอัลหะดีษ เช่น ตัวอย่างหะดีษบันทึกโดย al-Bukhāriy หะดีษหมายเลข 4119 ซึ่งผู้วิจัยได้น าเสนอก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับความเห็นต่างระหว่างพวกเขาในเรื่องการท าความเข้าใจ ค าสั่งของท่านเราะสูล ในช่วงเหตุการณ์สงคราม อัลอะห์ซาบ เมื่อท่านได้สั่งให้พวกเขาเดินทางไป หมู่บ้าน บนี กุร็อยเซาะฮฺ และห้ามไม่ให้ผู้ใดท าการละหมาดอัศริ จนกว่าจะถึงหมู่บ้าน บนี กุร็อย เซาะฮฺ ซึ่งบรรดาเศาะฮาบะฮฺที่ได้รับค าสั่งให้เดินทางครั้งนั้น ได้มีความคิดเห็นต่างกันเกี่ยวกับการ ละหมาดอัศริเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก มีความเข้าใจว่าการสั่งเสียของท่านที่ให้ไปละหมาดอัศริ ณ หมู่บ้าน บนี กุร็อยเซาะฮฺนั้น เป็นการก าชับให้พวกเขารีบเร่งเดินทาง พวกเขาจึงละหมาดอัศริ เมื่อเข้า เวลาอัศริ ถึงแม้ว่าจะอยู่ระหว่างทาง และพวกเขาถือว่าการละหมาดนั้น เป็นการปฏิบัติตามค าสอน ของท่านเราะสูล ในเรื่องการรีบเร่งละหมาดเมื่อเข้าเวลา เพราะจะมีความประเสริฐอย่างยิ่ง ในขณะที่กลุ่มเศาะฮาบะฮฺซึ่งปฏิบัติละหมาดเมื่อเดินทางถึงหมู่บ้านดังกล่าว ก็อ้างความเห็นว่า การ ปฏิบัติตามค าสั่งนั้น เป็นไปตามค าสั่งของท่านเราะสูล จึงไม่อนุญาตให้ตีความเข้าใจเป็นอื่น ทั้งนี้
เมื่อทั้งสองกลุ่มได้น าความเห็นและการปฏิบัติที่ต่างกันไปแจ้งให้ท่านเราะสูล ทราบเรื่องดังกล่าว ปรากฏว่า ท่านเราะสูล ก็ให้การยอมรับและไม่ได้ต าหนิกลุ่มใด
Tāhā Jābir Fāyyād al-‘Ulwāniy (1987: 35) กล่าวว่า จากเหตุการณ์ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ตราบใดที่ท่านเราะสูล ไม่ได้ต าหนิความเข้าใจของเศาะฮาบะฮฺกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เนื่องจากพวกเขามีเหตุผลในกรอบของหลักการศาสนา นักกฎหมายอิสลาม (ฟุเกาะฮาอ์) หรือผู้น า เสนอค าสอนอิสลามทั้งหลาย ก็สมควรที่จะต้องยอมรับและเปิดใจรับฟังความเห็นต่าง เช่นเดียวกับ ความเข้าใจตัวบทค าสอนที่แตกต่างกันระหว่างเศาะฮาบะฮฺในยุคของท่านเราะสูล ซึ่งพวกเขายังคง ยึดหลักการและเหตุผลในการสนับสนุนความเห็นต่าง จนกระทั่งพวกเขาได้น าเรื่องดังกล่าวแจ้งท่าน เราะสูล และเช่นเดียวกับตัวอย่างหะดีษจาก อัมร์ บิน อัลอาศ กล่าวว่า
َفيَ تمل تحا((
َ ك ل ه أَنأَ تل س تغاَ نإَ تق فشأفَ لسلُّسلاَ تاذَ ةوزغَفيَ ةدربَ ةليل
َ لسوَ هيلعَ للَّاَى لصَ ب نللَ ك لذَاور ك ذفَ حبُّصلاَبياحصبأَ تي لصَ ثمَ، تم ميتف
َاَ لاقفَ م
َ لاس تغلاَ نمَني عن مَيذ لبَ ه تبرخأفَ؟ٌَب نجَ تنأوَ ك باحصبأَ تي لصَورم ع
َ نّإَ تل قَو
َ لوسرَ ك حضفَ)َاًمي ح رَ م ك بَ نا كَ للَّاَ ن إَ م ك س ف ـن أَاو ل ـت ق ـتَ ل وَ( لوقيَ للَّاَ ت ع سَ
َ للَّاَ
))اًئيشَ ل ق ـيَلموَ م لسوَ هيلعَ للَّاَى لص
َ
65
ความว่า “มีอยู่คืนหนึ่งในสมรภูมิซาต อัสสะลาสิล เป็นคืนที่มีอากาศเย็นจัด และฉัน ได้ฝันเปียก (มีอสุจิเคลื่อนออกจากอวัยวะเพศระหว่างหลับนอน) ฉันก็มีความรู้สึก กลัวว่า หากฉันอาบน้ าวาญิบ มันจะเป็นอันตรายต่อชีวิต ฉันจึงได้ท าการตะยัมมุม แทนการอาบน้ าวาญิบ ซึ่งภายหลังฉันได้น าละหมาดศุบห์ให้แก่บรรดาเศาะฮาบะฮฺ
พวกเขาจึงน าเรื่องดังกล่าวไปแจ้งท่านเราะสูล ท่านเราะสูล กล่าวว่า “โอ้
อัมร์ ท่านได้น าละหมาดให้กับบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ขณะที่ท่านเองมีญุนูบ (หะดัษ ใหญ่) ใช่หรือไม่” ฉันจึงกล่าวแก่ท่านเราะสูล ในสิ่งที่ห้ามไม่ให้ฉันท าการอาบน้ า วาญิบ (และได้ท าตะยัมมุมทดแทน) ฉันกล่าวว่า “ฉันจ าได้ว่าอัลลอฮฺ ตรัสว่า ว่า
“และจงอย่าฆ่าตัวของพวกเจ้าเอง แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเจ้าเสมอ”
(อันนิสาอ์: 29) เมื่อกล่าวเช่นนั้น ท่านเราะสูล ได้หัวเราะ และไม่ได้กล่าวอะไร”
ผู้วิจัยมีความเห็นว่า ตัวอย่างหะดีษข้างต้น เป็นอีกตัวอย่างเหตุการณ์ในเรื่อง ความเห็นต่างที่เคยเกิดขึ้นในยุคของท่านเราะสูล และในเหตุการณ์อื่น ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ในช่วง เวลานั้น บรรดาเศาะฮาบะฮฺอาจจะมีความเห็นต่างกันในเรื่องศาสนา แต่พวกเขาก็จะน าเรื่องดังกล่าว ไปให้ท่านเราะสูล ได้พิจารณาและขอค าปรึกษา ซึ่งท่านเราะสูล ก็จะรับฟังและให้ค าแนะน า
65 หะดีษบันทึกโดย Abu Dāwud หะดีษหมายเลข 334; Ahmad: 17845 อัลอัลบานีย์ กล่าวว่า เป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะห์
แก่พวกเขา จึงท าให้สามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างพวกเขาไว้ และเช่นเดียวกับหะดีษที่
รายงานโดย Ābu Dāwud หะดีษหมายเลข 338 ซึ่งผู้วิจัยได้น าเสนอก่อนหน้านี้ในบทที่หนึ่ง เกี่ยว กับเศาะฮาบะฮฺ 2 คน ซึ่งออกเดินทางไปด้วยกัน จนกระทั่งเมื่อได้เวลาละหมาด แต่ทั้งสองไม่มีน้ าพอ ส าหรับการเอาน้ าละหมาด จึงได้ท าตะยัมมุม ซึ่งภายหลังเศาะฮาบะฮฺคนหนึ่งได้พบน้ า เขาจึงได้เอาน้ า ละหมาดและได้ท าการละหมาดใหม่ ขณะที่อีกคนหนึ่งไม่ละหมาดใหม่ และเมื่อทั้งสองน าเรื่องดังกล่าว ไปแจ้งท่านเราะสูล ท่านจึงได้กล่าวแก่คนที่ไม่ละหมาดใหม่ว่า การกระท าของเขานั้นเป็นไปตาม แบบฉบับแล้ว และจะได้รับผลบุญจากการละหมาดนั้น และกล่าวแก่คนที่เอาน้ าละหมาดและท า ละหมาดใหม่ว่า การกระท าของเขา ได้ท าให้เขาได้รับผลบุญถึงสองครั้ง
Tāhā Jābir Fāyyād al-‘Ulwāniy (1987: 36-40) ได้กล่าวถึง การตีความเข้าใจ หรือ อัตตะอ์วีล (ليوتأ) อัลกุรอานของบรรดาเศาะฮาบะฮฺว่า เป็นสาเหตุส าคัญที่ท าให้เกิดความเห็น ต่างระหว่างบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ดังจะเห็นได้ว่า พวกเขาบางคนก็ยึดความเข้าใจโดยไม่มีการ ตีความหมาย ขณะที่บางคนก็พิจารณาและให้ความส าคัญกับจุดมุ่งหมายของตัวบท และถอดความ เข้าใจดังกล่าวเป็นหลักการปฏิบัติในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งนี้ บรรดานักกฎหมายอิสลาม (ฟุเกาะฮาฮ์) ก็ได้ให้ค าอธิบายพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า จะต้องมีกรอบจุดมุ่งหมายตามหลักเจตนารมณ์แห่ง กฎหมายอิสลาม ซึ่งบางครั้งก็ยึดความเข้าใจตามตัวบทโดยไม่ต้องอาศัยการอธิบายเพิ่มเติม และใน บางครั้งก็ต้องใช้ความพยายามในการอธิบายจุดมุ่งหมายจากตัวบท โดยจะเรียกลักษณะการท าความ เข้าใจเช่นว่าเป็นการตีความหมาย (อัตตะอ์วีล) จ าแนกเป็น 3 ประเภท คือ
1) การตีความหมายใกล้ ( بيَ رَ قَلي َ تأَ و อ่านว่า ตะอ์วีล เกาะรีบ) หมายถึง การ ตีความหมายในลักษณะถอดความเข้าใจในเรื่องที่มีลักษณะใกล้เคียงกับตัวบท เช่น การตีความในเรื่อง การห้ามน าทรัพย์ของเด็กก าพร้ามาบริจาค ห้ามการถลุงเงินของเด็กก าพร้า หรือความเข้าใจใน ลักษณะข้อห้ามที่ใกล้เคียงกันนั้น ดังตัวบทที่อัลลอฮฺ ตรัสว่า
َ ص ي س وََۖاًر نََ م نِو ط بَ فيَ نو ل ك يََا نَّ إَاًم ل ظَٰى ما ت ـي لاَ لا و م أَ نو ل ك يََ ني ذ لاَ ن إ اًير ع سَ ن و ل
َ
لا(
َ ءاسن 01 )
َ
ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้ที่กินทรัพย์ของบรรดาเด็กก าพร้าด้วยความอธรรมนั้น แท้จริงพวกเขากินไฟเข้าไปในท้องของพวกเขาต่างหาก และพวกเขาก็จะเข้าไปสู่
เปลวเพลิง” (อันนิสาอ์: 10)
และเช่นเดียวกับตัวอย่าง การตีความเข้าใจจากหะดีษในเรื่องการห้ามปัสสาวะลง ภาชนะ แล้วน าปัสสาวะไปเททิ้งลงแหล่งน้ าที่อยู่นิ่ง เนื่องจากถือว่าการกระท าดังกล่าวเป็นการท าให้
แหล่งน้ าที่อยู่นิ่งนั้นมีโอกาสที่จะเน่าเสียได้ ซึ่งเป็นการตีความเข้าใจค าสอนของท่านเราะสูล ที่ว่า