• Tidak ada hasil yang ditemukan

สารบัญภาพ

9. ช่วยในการประเมินและการตัดสินใจ

10. ช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์สมเหตุสมผล 11. ช่วยให้เข้าใจแจ่มกระจ่าง

สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2554) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ ดังนี้

1. ช่วยให้รู้ข้อเท็จจริง

2. ช่วยให้ไม่ด่วนสรุปสิ่งใดง่าย ๆ 3. ช่วยในการพิจารณาสาระสำคัญอื่น ๆ 4. ช่วยพัฒนาความเป็นคนช่างสังเกต 5. ช่วยให้หาเหตุผลที่สมเหตุสมผล 6. ช่วยประมาณการความน่าจะเป็น

สุคนธ์ สินธพานนท์, วรรัตน์ วรรณเลิศลักษณ์ และพรรณี สินธพานนท์ (2555) ได้กล่าวถึงหลักแนวการคิดวิเคราะห์ ดังนี้

1. ทำให้สามารถแยกข้อเท็จจริงออกจากข้อมูล หรือจากตวามคิดเห็นมีความกระจ่าง ชัดเจน ทำให้มองเห็นแนวทางในการตัดสินใจที่จะทำงานหรือดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

2. เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ การแสวงหาความรู้ทำให้รู้

จักคิด จำแนกแยกแยะสิ่งที่เรียนรู้จัดประเภทสิ่งต่าง ๆ อย่างมีหลักการสามารถทำนายผลหรือ คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นนำไปสู่การตัดสินใจอย่างเหมาะสม

3. ทำให้เป็นคนมีเหตุผล มีหลักการไม่กระทำสิ่งใด ๆ ตามใจตนเองอย่างเลื่อนลอย ไร้ทิศทางไม่สรุปเรื่องราวต่าง ๆ ตามอารมณ์หรือความรู้สึกของตนเอง

4. ทำให้เป็นผู้ที่น่าเชื่อถือ ได้รับการยอมรับจากผู้อื่นในด้านการแสดงความคิดเห็น หรือการให้ข้อเสนอแนะอย่างมีเหตุผล

5. สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีเหตุผลตามขั้นตอนถูกต้องและสามารถปรับ ตนเองให้เข้ากับสถานการณ์และเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมโลกยุคปัจจุบันได้ไม่คล้อยตามหรือหลงเชื่อ บุคคลอื่นจนเกิดความพลาดพลั้งในกิจกรรมต่าง ๆ

6. ทำให้เป็นผู้ที่มีทักษะในการลำดับเหตุการณ์เรื่องราวต่าง ๆ นำเสนอความคิดเห็น อย่างมีเหตุผล

7. ทำให้สามารถประมวลข้อคิดหรือความคิดเห็นของบุคคลที่หลากหลายสัมพันธ์กัน เพื่อนำมาสรุปเป็นแนวคดใหม่นำไปใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพของงาน

76 8. ทำให้ได้ข้อมูลที่มีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันมาเป็นแนวทางนการแก้ปัญหา อย่างเป็นระบบ และสามารถตรวจสอบความถูกต้องตามหลักการได้อย่างตรงประเด็น

สรุปได้ว่า ประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ คือ ช่วยให้ผู้เรียนรู้ข้อเท็จจริง รู้เหตุผลเบื้องหลัง ของสิ่งที่เกิดขึ้น เข้าใจความเป็นมาเป็นไปของเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นฐานความรู้ที่จะนำไปใช้ในการ ตัดสินปัญหาแก้ปัญหา ช่วยให้ผู้เรียนสามารถหาเหตุผลที่สมเหตุสมผลให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งผู้วิจัย ได้นำประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์มาปรับใช้กับผู้เรียน เพื่อเกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนพร้อมช่วยให้

ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์เรื่องราวเหตุการณ์จากวิชาเรียนได้อย่างสมเหตุสมผล และมีหลักการใน การคิดวิเคราะห์ ที่จะสามารถนำปรับใช้ให้เข้าชีวิตประจำวันของผู้เรียนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

เจตคติ

1 ความหมายของเจตคติ

มีนักวิชาการและนักการศึกษาได้ให้ความหมายของเจตคติ ดังนี้

Good, C. V (1973) ได้อธิบายความหมายของเจตคติ หมายถึง ความพร้อมที่จะ แสดงออกในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ๆ ที่อาจจะเป็นกาต่อต้านสถานการณ์บางอย่าง บุคคลหรือสิ่งใด ๆ เช่น รัก เกลียด กลัว หรือไม่พอใจมากน้อยเพียงใดต่อสิ่งเหล่านั้น

Thurstone, L. L (1967) ได้อธิบายความหมายของเจตคติ หมายถึง ตัวแปรทาง จิตวิทยาอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถสังเกตได้ แต่เป็นความโน้มเอียงทางจิตภายใน ที่มนุษย์แสดงออกมาให้

เห็นโดยพฤติกรรม เจตคติยังเป็นความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ ความลำเอียง รวมไปถึงความคิดเห็น ความรู้สึกจากจิตใจ และความเชื่อมั่นในตนเอง

Anastasi, A (1976) ได้อธิบายความหมายของเจตคติ หมายถึง ความรู้สึกโน้มเอียงที่ได้

แสดงออกมาในลักษณะที่ชอบหรือไม่ชอบในสิงต่าง ๆ เช่น เชื้อชาติ ขนบธรรมเนียม อาหาร เป็นต้น ซึ่งเจตคติไม่สามารถที่จะเห็นได้โดยตรงแต่จะแสดงออกจากผ่านทางพฤติกรรมภายนอกได้

ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2539) ได้อธิบายความหมายของเจตคติ หมายถึง ความรู้สึกเชื่อและศรัทธาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนเกิดความพร้อมที่จะแสดงออกจากการกระทำ ซึ่งอาจจะ เป็นไปในทางดีหรือไม่ดีก็ได้ เจตคติยังไม่เป็นพฤติกรรมแต่เป็นตัวการที่จะทำให้เกิดพฤติกรรม ดังนั้น เจตคติจึงเป็นคุณลักษณะของความรู้สึกที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในจิตใจ

แสงเดือน ทวีสิน (2545) ได้อธิบายความหมายของเจตคติ หมายถึง ความรู้สึกของ บุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความรู้สึกดังกล่าวอาจจะเกี่ยวกับบุคคล สภาพการณ์ เหตุการณ์ เป็นต้น เมื่อเกิดความรู้สึกบุคคลนั้นจะมีการเตรียมความพร้อมเพื่อมีปฏิกิริยาโต้ตอบในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง

77 อาภรณ์ ในเที่ยง (2546) ได้อธิบายความหมายของเจตคติ หมายถึง ความรู้สึกของ บุคคลที่เกิดจากความพอใจและไม่พอใจต่อสิ่งต่าง ๆรอบตัว ซึ่งมีอิทธิพลทำให้แต่ละคนตอบสนองต่อ สิ่งเร้าแตกต่างกันไป

ลักขณา สริวัฒน์ (2549) ได้อธิบายความหมายของเจตคติ หมายถึง ความรู้สึก ความ คิดเห็นหรือท่าทีของแต่ละบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยความรู้สึกเป็นองค์ประกอบทางด้านอารมณ์

ความคิดเห็นเป็นองค์ประกอบทางด้านปัญญา และท่าทีเป็นองค์ประกอบทาง ด้านพฤติกรรม ธีรวุฒิ เอกะกุล (2549) ได้อธิบายความหมายของเจตคติ หมายถึง พฤติกรรมหรือ ความรู้สึกทางด้านจิตใจที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง รวมทั้งเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาจากการเรียนรู้เกี่ยวกับ ประสบการณ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

จุฑารัตน์ เอื้ออำนวย (2549) ได้อธิบายความหมายของเจตคติ หมายถึง ความรู้สึกของ บุคคลแต่ละคนที่มีต่อประสบการณ์ที่ได้รับ เกิดจากประสบการณ์ของแต่ละบุคคล หรือจาก สิ่งแวดล้อม โดยความรู้สึกนี้อาจจะเป็นความรู้สึกทางบวกและทางลบ เช่น ชอบ ไม่ชอบ รัก ไม่รัก เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โดยการตอบสนองจะแสดงออกในลักษณะชอบหรือไม่ชอบ

รังสรรค์ โฉมยา (2553) ได้อธิบายความหมายของเจตคติ หมายถึง ความรู้เชิงประเมิน ค่าของบุคคลต่อสิ่งใด ๆ ว่าสิ่งเหล่านั้นดีหรือไม่ต่อตนเอง ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความรู้สึกของบุคคลใน ลักษณะพึงพอใจ นำไปสู่ความพร้อมในการที่จะแสดงออกถึงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกและ การประเมินค่าเหล่านั้น

บุญเรียง ขจรศีลป์ (2543) ได้อธิบายความหมายของเจตคติ (Attitude) หมายถึง สภาพ การแสดงออกของจิตใจในการตอบสนองต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ ความรู้สึกหรือ ความเชื่อในสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเจตคติเป็นนามธรรม เป็นการแสดงออกที่ค่อนข้างจะ สลับซับซ้อน ยากที่จะทำการวัดเจตคติโดยตรงแต่เจตคติก็ยังสามารถวัดทางอ้อมได้โดยการวัดจาก คามคิดเห็นของบุคคลเหล่านั้น และใช้ความคิดเป็นเครื่องมือชี้หรือเป็นตัวกลางในการวัดเจตคติ

วีรพล แสงปัญญา (2561) ได้อธิบายความหมายของเจตคติ หมายถึง เจตคติหรือ ทัศนคติเป็นความรู้สึกที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในเชิงบวกหรือเชิงลบ ซึ่งเป็นแนวโน้มหรือท่าทีที่ก่อให้เกิด พฤติกรรมสร้างสรรค์ ทำลาย เข้าหา ถอยหนี ร่วมมือ ต่อต้าน

สรุปได้ว่าเจตคติ คือ ความรู้สึกของแต่ละบุคคลที่มีต่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ภายหลังจากที่

ได้รับจากประสบการณ์ ทำให้เกิดท่าทีและความรู้สึกที่จะแสดงพฤติกรรมตอบสนองออกมาจาก ความรู้สึก เช่น สีหน้า ท่าทาง ความชอบ ไม่ชอบ พอใจ ไม่พอใจ ต่อสิ่งใด ๆ ในลักษณะเฉพาะตัว ตามทิศทางทัศนคติที่มีอยู่ และทำให้เป็นตัวกำหนดแนวทางของบุคคลในการที่จะมีพฤติกรรม ตอบสนอง ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งทางบวกและทางลบ

78 2. ความสำคัญของเจตคติ

ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2539) ได้กล่าวถึงความสำคัญของเจตคติดังนี้

1. เจตคติเป็นคำย่อของการอธิบายความรู้ ที่ครอบคลุมพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น เขามี

เจตคติต่อครอบครัว มีความหมายว่าเขารักครอบครัว ใช้เวลามากในการอยู่กับครอบครัว มีความสุขที่

ได้อยู่กับครอบครัวเห็นพ้องต้องกันกับความคิดเห็นของครอบครัว และได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อ ครอบครัว จะเห็นได้ว่าแค่เจตคติคำเดียวก็มีความหมายครอบคลุมมากมาย

2. เจตคติใช้พิจารณาเหตุของพฤติกรรมของบุคคลที่มีต่อสิ่งอื่นหรือเจตคติของบุคคล นั้น คือรู้เจตคติของคนสามารถช่วยส่งเสริมหรือยับยั้งสิ่งที่จะแสดงออกมาได้

3. เจตคติสามารถมองสังคมได้ เนื่องจากว่าเจตคติเป็นสิ่งที่คงเส้นคงวา พฤติกรรม ของบุคคลที่จะแสดงออกมาจากเจตคติ จึงสามารถจนำมาอธิบายความคงเส้นคงวาของสังคมได้

4. เจคคติมีความดีงามในตัวของแต่ละบุคคล มีอยู่รอบ ๆ ตัวเราเอง ซึ่งจะสะท้อนให้

เห็นถึงโลกทัศของคน ๆ นั้น ว่ามีคุณค่าในการศึกษาจุดมุ่งหมายของชีวิต

5. เจคคติเกิดจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจากการศึกษาเพื่อให้เกิดเจตคติที่

ดีงามตามแบบอย่างสังคม จะต้องศึกษาสัญชาตญาณและมีการปรับสภาพแวดล้อมเพื่อให้เกิดเจตคติ

ของตนเองตามที่ต้องการ

ลักขณา สริวัฒน์ (2549) ได้กล่าวถึงความสำคัญของเจตคติดังนี้

1. เจตคติเป็นมโนมติที่ครอบคลุมปรากฎการณ์หลายอย่าง เช่น ความรักของแต่ละ บุคคลที่มีต่อครอบครัว รวมถึงพฤติกรรมหลายอย่างที่แสดงออกมาของแต่ละบุคคลในการใช้เวลากับ ครอบครัว ดูแลสมาชิกภายในครอบครัว ตลอดจนการเอาใจใส่และการปลอบใจสมาชิกภายใน ครอบครัว

2. เจตคติคือสาเหตุของพฤติกรรม ที่นักจิตวิทยาสังคมจำนวนมากเชื่อกันว่า เจตคติ

เป็นสาเหตุของพฤติกรรม จึงได้พยายามทำการวิจัยเพื่อแสดงหลักฐานให้เห็นและมีหลักฐานมา สนับสนุน แต่ก็มีงานวิจัยที่แสดงว่าพฤติกรรมคือสาเหตุเจตคติเช่นเดียวกัน การมีงานวิจัยเกิดขึ้นก็จะมี

ประโยชน์ต่อนักจิตบำบัด นักพฤติกรรมบำบัด หรือครูแนะแนวและครูโดยทั่วไป

3. เจตคติมีความสำคัญในตัวเอง ไม่ว่าเจตคติของแต่ละบุคคลจะมีความสัมพันธ์กัน พฤติกรรมหรือไม่ก็ตาม เช่น เจตคติต่อสถาบันต่าง ๆ ที่จะสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการรับรู้ หรือการ รับรู้สังคมรอบตัวเรา จึงเป็นเรื่องสำคัญน่าศึกษา

4. เจตคติเป็นเรื่องที่นักจิตวิทยาหลายสาขาให้ความสนใจ นอกจากนักจิตวิทยา สังคมที่สนใจศึกษาเรื่องเจตคติแล้วยังมีนักจิตวิทยาในสาขาอื่น ๆ ก็ยังให้ความสนใจในเรื่องเจตคติ

เช่นเดียวกัน เช่น นักจิตวิทยาคลินิกอาจจะสนใจที่จะศึกษาเจตคติของบุคคลทีมีต่อตนเองเพื่อเป็น