• Tidak ada hasil yang ditemukan

บทที่ 2

6. คุณภาพผู้เรียน

คุณภาพผู้เรียน เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผู้เรียนควรมีความสามารถ ดังนี้

6.1 เข้าใจโครงสร้างและการท างานของระบบต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์

ของสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน

6.2 เข้าใจสมบัติและการจ าแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะของสาร สมบัติของสาร และ การท าให้สารเกิดการเปลี่ยนแปลง สารในชีวิตประจ าวัน การแยกสารอย่างง่าย

16 6.3 เข้าใจผลที่เกิดจากการออกแรงกระท ากับวัตถุ ความดัน หลักการเบื้องต้น ของแรงลอยตัว สมบัติและปรากฏการณ์เบื้องต้นของแสง เสียง และวงจรไฟฟ้า

6.4 เข้าใจลักษณะ องค์ประกอบ สมบัติของผิวโลก และบรรยากาศ ความสัมพันธ์

ของดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ที่มีอิทธิพลต่อการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ

6.5 ตั้งค าถามเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ คาดคะเนค าตอบหลายแนวทาง วางแผนและ ส ารวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ วิเคราะห์ข้อมูล และสื่อสารความรู้จากผลการส ารวจ ตรวจสอบ

6.6 ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการด ารงชีวิต และการศึกษา ความรู้เพิ่มเติม ท าโครงงานหรือชิ้นงานตามที่ก าหนดให้หรือตามความสนใจ

6.7 แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ และซื่อสัตย์ในการสืบเสาะหาความรู้

6.8 ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น

6.9 แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ การดูแลรักษา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า

6.10 ท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นของตนเองและยอมรับ ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้

1. ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้

ค าว่า Inquiry ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ นักการศึกษาไทยใช้ชื่อต่างๆ กันไป เช่น การสืบสวนสอบสวน การคิดสืบค้น การสืบเสาะหาความรู้ การสืบสอบ ส าหรับงานวิจัยในครั้งนี้

ผู้วิจัยใช้ค าว่า “การสืบเสาะหาความรู้” ได้มีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายไว้ ดังนี้

Simpson (1981: 177) กล่าวว่า วิธีสืบเสาะหาความรู้หมายถึง วิธีการที่ครูและ ผู้เรียนใช้เป็นองค์ประกอบที่ส าคัญ ผู้เรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองโดยใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ ครูเป็นผู้แนะน าและอ านวยความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมาย วิธีการ สืบเสาะหาความรู้จะเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญในการเรียน

Judy W. Eby and Adrienne L. Herrell. (2005: 196) กล่าวว่า การสืบเสาะ หาความรู้เป็นกลวิธีที่ครูใช้ค าถามที่ท้าทายกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสงสัยในประเด็นหรือเรื่องราว ผู้เรียนได้ใช้ทักษะการคิดและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การท างานเป็นกลุ่มในการแสวงหา ค าตอบ

17 ภพ เลาหไพบูลย์ (2542: 119) กล่าวว่าการเรียนรู้โดยกระบวนการสืบเสาะ

หาความรู้ เป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ หรือวิธีการที่มุ่งให้ผู้เรียนได้พบความรู้ ความจริง เหตุผล กฎเกณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยตนเอง การเรียนรู้นี้เกิดจากการเสาะแสวงหาความรู้ต่างๆ ได้เองจากการเก็บข้อมูล สังเกต พิจารณาหาเหตุผลจนเกิดความเข้าใจใหม่

พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2552: 30) กล่าวว่า วิธีสอนแบบสืบสอบคือ การใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ค้นพบปัญหาที่สงสัยด้วยการสร้างความรู้ใหม่ด้วยตนเอง โดยมีครู

เป็นที่ปรึกษา ความรู้ที่ได้นั้นเป็นความรู้ใหม่ของผู้เรียน แต่เป็นสิ่งที่ครูรู้มาแล้ว

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2555: 20) ได้ให้ความหมาย การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไว้ว่า การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์

เป็นการตั้งค าถามที่สงสัยอยากรู้เกี่ยวกับโลกธรรมชาติ ซึ่งเป็นค าถามที่น าไปสู่การส ารวจตรวจสอบได้

แล้วรวบรวมประจักษ์พยานด้วยการสังเกต การคิด การส ารวจตรวจสอบ การทดลอง การวิเคราะห์

และแปลความหมายข้อมูล แล้วผู้เรียนสร้างความรู้ ความเข้าใจ แนวความคิดหลักทางวิทยาศาสตร์

ประสาท เนืองเฉลิม (2557: 128) กล่าวไว้ว่า การเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะ หาความรู้เป็นวิธีการเข้าถึงความรู้ความจริง ด าเนินกิจกรรมการเรียนรู้โดยผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียน มีการตั้งค าถามหรือตั้งสมมติฐานโดยใช้กระบวนการทางความคิด ผู้เรียนลงมือเสาะแสวงหาความรู้

โดยให้ผู้เรียนใช้ประสบการณ์หรือความรู้เดิมกับการคิดอย่างมีเหตุผลเพื่อน ามาประมวลหาค าตอบ หรือข้อสรุปด้วยตนเอง ฝึกให้ผู้เรียนรู้จักการศึกษาหาความรู้โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

หาเหตุผลจนค้นพบความรู้หรือแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องด้วยตนเอง

ชนาธิป พรกุล (2557: 133) กล่าวว่า การสืบสอบ (Inquiry) หมายถึงกระบวนการ วิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบ ปัญหาเป็นหัวใจส าคัญของการสืบสอบแล้วศึกษาอย่างเป็นระบบ เป็นการศึกษาปัญหาอย่างมีวิธีการและต้องท าทีละขั้น

ทิศนา แขมมณี (2558: 141) กล่าวว่าการจัดการเรียนการสอนโดยกระบวนการ สืบสอบ หมายถึง การด าเนินการเรียนการสอนโดยครูผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดค าถาม ความคิด และลงมือเสาะแสวงหาความรู้ เพื่อน ามาประมวลหาค าตอบหรือข้อสรุปด้วยตนเอง โดยที่ผู้สอน ท าหน้าที่ช่วยอ านวยความสะดวกในการเรียนรู้ด้านต่างๆ ให้แก่ผู้เรียน

นิราศ จันทรจิตร (2558: 233) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้

หมายถึง การมีปฏิสัมพันธ์ระดับสูงระหว่างผู้เรียน ผู้สอน สื่อและแหล่งเรียนรู้ เนื้อหาและสถานการณ์

แวดล้อม ซึ่งผู้เรียนเป็นผู้ค้นหาค าตอบด้วยวิธีการที่หลากหลาย จนค้นพบความรู้ใหม่ รวมทั้งสามารถ สรุปผลการค้นหาความรู้จากสถานการณ์

สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ หมายถึง กระบวนการ จัดการเรียนรู้ที่พัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญที่ท าให้ผู้เรียนเกิดการคิด

18 อย่างเป็นระบบ เป็นวิธีการที่สามารถพัฒนาผู้เรียนให้เข้าถึงความรู้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ผู้สอนช่วย อ านวยความสะดวกในการเรียนรู้ โดยตั้งค าถามประเภทกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ความคิดหาวิธีแก้ปัญหา ค้นหาค าตอบหรือข้อเท็จจริงต่างๆ ผู้เรียนสรุปรวบรวมความรู้ที่ค้นพบอย่างมีเหตุผลด้วยตนเอง

2. ประเภทของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้

พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2544: 69-73) ได้จัดประเภทของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ หาความรู้ โดยพิจารณาจากบทบาทของครูและผู้เรียนเป็นเกณฑ์ แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้

1. วิธีให้ผู้เรียนท างานหรือปฏิบัติทดลอง (Guided inquiry ครูเป็นผู้ก าหนดประเด็น ปัญหา วางแผนการทดลอง เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือไว้เรียบร้อย ผู้เรียนมีหน้าที่ปฏิบัติการทดลองตาม แนวทางที่ก าหนดไว้ หรือเรียกว่าเป็นวิธีสอนที่มีค าแนะน าปฏิบัติการหรือกิจกรรมส าเร็จรูป

(Structured laboratory) ล าดับขั้นการการเรียนการสอน ดังนี้

ขั้นที่ 1 ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน ครูเป็นผู้น าอภิปรายโดยตั้งปัญหาเป็นอันดับแรก ขั้นที่ 2 ขั้นอภิปรายก่อนการทดลอง อาจจะเป็นการตั้งสมมติฐาน ครูอธิบายหรือ ให้ค าแนะน าเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จะใช้ในการทดลองว่ามีวิธีการใช้อย่างไรจึงจะไม่เกิดอันตรายและ มีข้อควรระวังในการทดลองแต่ละครั้งอย่างไรบ้าง

ขั้นที่ 3 ขั้นท าการทดลอง ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือกระท าการทดลองเองพร้อมทั้ง บันทึกผลการทดลอง

ขั้นที่ 4 ขั้นอภิปรายหลังการทดลอง เป็นขั้นของการน าเสนอข้อมูล และสรุปผล การทดลอง ในตอนนี้ครูต้องน าการอภิปรายโดยใช้ค าถามเพื่อน าผู้เรียนไปสู่ข้อสรุป เพื่อให้ได้แนวคิด หรือหลักเกณฑ์ที่ส าคัญของบทเรียน

2. วิธีที่ครูเป็นผู้วางแผนให้ (Less guide inquiry) เป็นวิธีที่ครูเป็นผู้ก าหนดปัญหา แต่ให้ผู้เรียนหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยเริ่มตั้งแต่การตั้งสมมิฐาน วางแผนการทดลอง และปฏิบัติ

ทดลองจนถึงสรุปผลการทดลอง โดยมีครูเป็นผู้อ านวยความสะดวก หรือเรียกวิธีนี้ว่า วิธีสอนแบบ ไม่ก าหนดแนวทาง (Unstructured laboratory) ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้

ขั้นที่ 1 สร้างสถานการณ์หรือปัญหา ซึ่งอาจใช้ค าถาม ใช้สถานการณ์จริง โดยการสาธิตเพื่อเสนอปัญหา ใช้ภาพปริศนา หรือภาพยนตร์เพื่อเสนอปัญหา

ขั้นที่ 2 ผู้เรียนวางแผนแก้ปัญหา โดยครูเป็นผู้แนะแนวทาง ระบุแหล่งความรู้

ขั้นที่ 3 ผู้เรียนด าเนินการแก้ปัญหาตามแผนที่วางไว้

ขั้นที่ 4 รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผลการแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยมีครูเป็นผู้ด าแลร่วมในการอภิปรายเพื่อให้ได้ความรู้ที่ถูกต้องสมบูรณ์

19 3. วิธีที่ผู้เรียนเป็นผู้วางแผนเอง (Free inquiry) เป็นวิธีการที่ผู้เรียนเป็นผู้ก าหนด ปัญหา วางแผนการทดลอง ด าเนินการทดลอง ตลอดจนสรุปผลด้วยตัวผู้เรียนเอง ผู้เรียนมีอิสระเต็มที่

ในการศึกษาตามความสนใจ ครูเป็นเพียงผู้กระตุ้นเท่านั้น ซึ่งอาจเรียกได้ว่าวิธีสืบสอบแบบอิสระ วิธีนี้

ครูอาจใช้ค าถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนก าหนดปัญหาด้วยตนเองได้ การด าเนินกิจกรรมอาจท าเป็น รายบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ โดยมีครูเป็นที่ปรึกษาและให้ก าลังใจ

สุวิทย์ มูลค า และอรทัย มูลค า (2545ก: 137) ได้แบ่งประเภทของการจัดการเรียนรู้

แบบสืบเสาะหาความรู้ 3 ประเภท ดังนี้

1. Passive Inquiry การสอนแบบนี้ผู้สอนจะเป็นผู้ถามน า โดยมีผู้เรียนเป็นฝ่ายตอบ เป็นส่วนใหญ่ ผู้สอนจะเป็นผู้ตั้งค าถาม 90 เปอร์เซ็นต์ ผู้เรียนจะเป็นผู้ตั้งค าถาม 10 เปอร์เซ็นต์

การสอนประเภทนี้เหมาะส าหรับการเริ่มสอนแบบสืบเสาะเป็นครั้งแรกหรือในช่วง 3 เดือนแรก เพราะผู้เรียนในระบบการศึกษาไทยยังไม่คุ้นเคยกับการเป็นผู้ซักถามผู้สอน

2. Combined Inquiry การสอนแบบนี้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนเป็นผู้ถามค าถาม คือ ผู้สอนจะเป็นผู้ตั้งค าถาม 50 เปอร์เซ็นต์ และผู้เรียนจะเป็นผู้ตั้งค าถาม 50 เปอร์เซ็นต์ การสอนชนิดนี้

ใช้ในโอกาสที่ผู้เรียนเริ่มคุ้นเคยกับการซักถามผู้สอนมากขึ้น เป็นช่วงเวลาที่ผู้สอนได้ส่งเสริมให้ผู้เรียน ตั้งค าถามมากขึ้น ให้ผู้เรียนได้คิดก่อนการถามค าถาม และหลักส าคัญคือ ผู้สอนพยายามไม่ให้ค าตอบ แต่จะส่งเสริมการถามต่อเพื่อให้ผู้เรียนค้นพบค าตอบด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่

3. Active Inquiry การสอนแบบนี้ผู้เรียนจะเป็นผู้ถามและตอบเป็นส่วนใหญ่ ผู้สอน มีหน้าที่แนะน าหรือเน้นจุดส าคัญที่ผู้เรียนอาจมองข้าม โดยไม่ได้อธิบายอย่างเพียงพอ สรุปก็คือผู้สอน จะเป็นผู้ตั้งค าถาม 10 เปอร์เซ็นต์ และผู้เรียนจะเป็นผู้ตั้งค าถาม 90 เปอร์เซ็นต์ การสอนชนิดนี้ผู้เรียน มีความช านาญในการใช้ค าถามแบบสืบสวนสอบสวนแล้ว ผู้เรียนจึงสามารถตั้งค าถามและหาค าตอบ ด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่

ประสาท เนืองเฉลิม (2557: 132-134) ก าหนดแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ หาความรู้ได้โดยพิจารณาจากบทบาทของผู้สอนและผู้เรียนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน มากน้อยเพียงไร ซึ่งก าหนดเป็น 3 แนวทาง ดังนี้

1. การสืบเสาะหาความรู้แบบชี้แนะ (Guided inquiry) เป็นวิธีจัดการเรียนการสอน ที่ผู้สอนด าเนินการเป็นส่วนใหญ่ โดยเป็นผู้ก าหนดประเด็นปัญหา วางแผนการทดลอง เตรียมอุปกรณ์

ผู้เรียนท าหน้าที่ปฏิบัติการทดลองตามแนวทางที่ผู้สอนก าหนดไว้ โดยมีล าดับขั้นตอนการสอน ดังนี้

ขั้นที่ 1 ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน ผู้สอนเป็นผู้น าประเด็นปัญหาที่ตนสนใจมาแนะน า ให้ผู้เรียนสนใจ โดยผู้สอนตั้งประเด็นปัญหาในชั้นเรียน และกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ร่วมกันวางแผน ปฏิบัติการตามที่ก าหนด

Garis besar

Dokumen terkait